บทที่ 41 ปิดล้อมแน่นหนา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 41 ปิดล้อมแน่นหนา

ที่รกร้าง

สวี่ชิงร่างปราดเปรียว พุ่งทะยานไปด้านหน้า

เขาวิ่งทะยานมาตลอดทางสองวันเต็ม ด้วยความสามารถการฟื้นฟูของเขาเป็นเหตุ ดังนั้นสำหรับความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการเร่งความเร็วต่อเนื่องของคนทั่วไป จึงไม่ปรากฏขึ้นกับตัวสวี่ชิง

กระทั่งเขายังรู้สึกว่าร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่

ระหว่างนั้น เขายังสังเกตเห็นเงาผู้บำเพ็ญสำนักวัชระที่สวมชุดเหมือนกับหัวหน้าฐานอยู่ไกลๆ อีกด้วย แต่ด้วยการหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว จึงปลีกตัวออกมาได้

เวลานี้ยังห่างจากเมืองเขากวางที่หมายอยู่อีกราวหนึ่งวันเต็ม เส้นทางที่สวี่ชิงพุ่งไปด้านหน้าจนมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง

ด้านซ้าย คือเมืองที่เขาพำนักอยู่ถึงหกปี ที่นั่นเวลานี้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว มองอยู่ห่างๆ เป็นทิวมืดผืนหนึ่งท่ามกลางแสงยามเย็น

ส่วนอีกด้านก็คือเมืองเขากวาง

สวี่ชิงยืนอยู่จุดนี้ หันหน้าไปมองพื้นที่ต้องห้ามผาดหนึ่ง นิ่งเงียบไปหลายอึดใจ ร่างเขาไหววูบ ตั้งท่าจะทะยานไปเมืองเขากวาง ทว่าตอนนี้เองเขาก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายย่อตัวลงซ่อนตัวเข้าไปในพุ่มไม้

สวี่ชิงหรี่ดวงตาลง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ห่างไกล

ตรงนั้น มีสายรุ้งยาวสีทองสายหนึ่งกำลังหวีดหวิวผ่านมา

เนื่องจากห่างกันพอควร สวี่ชิงจึงมองเห็นเพียงแสงทองแยงตา มองไม่เห็นเงาที่อยู่ด้านใน แต่คลื่นพลังวิญญาณของอีกฝ่ายเป็นแบบเดียวกับหัวหน้าฐาน ซ้ำยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า สิ่งนี้ทำเอาจิตใจเขาสั่นสะเทือนเลยทีเดียว

“แรงกดดันนี้ มีมากกว่าหัวหน้าฐานเสียอีก…”

จนกระทั่งสายรุ้งยาวผ่านไป สวี่ชิงจึงสูดลมหายใจลึก ในดวงตาเกิดความลังเล

สองวันนี้ เขาพบกับผู้บำเพ็ญสำนักวัชระถึงสามกลุ่มแล้ว เขาล้วนเลี่ยงออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ครั้งนี้สร้างความรู้สึกอันตรายที่สุดให้แก่เขาอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้าเดินทางต่อ ในหนึ่งวันก็สามารถไปถึงเมืองเขากวาง…” สวี่ชิงหรี่ตาลงครุ่นคิด เขาก็รู้ว่าจุดได้เปรียบเวลานี้ของตนเองก็คือไม่มีใครรู้ว่าบนตัวเขามีป้ายแนะนำสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดหมายจึงถูกคาดเดาได้ยาก

แต่ตนเองก็ยังมีข้อดีอีกหนึ่ง นั่นก็คือไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความเข้มข้นของไอพลังประหลาดในพื้นที่ต้องห้าม หากระวังตัวเสียหน่อย ก็สามารถพักอยู่ในนั้นได้ในระยะยาว

ข้อดีแรก ตนเองจำเป็นต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้สำนักวัชระรับมือไม่ทัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถออกไปจากเมืองเขากวางได้

แต่ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน หากตนเองถูกพบตัวระหว่างตรงไปเมืองเขากวาง เช่นนั้นก็จะเสียข้อได้เปรียบนี้ไปทันที ขณะที่คนอื่นสามารถเดาเป้าหมายได้ ความปลอดภัยของตนเองก็คงจะถูกคุกคามด้วยเช่นกัน

ส่วนข้อได้เปรียบหลัง อยู่ในด้านการถ่วงเวลา

หลังจากที่ถ่วงเวลาจนสำนักวัชระเริ่มเหนื่อยล้า ก็จะสะดวกให้ตนเองใช้งานข้อได้เปรียบแรก แล้วตรงไปยังเมืองเขากวางได้ปลอดภัยกว่า ซ้ำช่วงนี้หากพบเข้ากับอันตราย ตนเองก็ยังมีทางหนีทีไล่ในพื้นที่ต้องห้ามอยู่

“สองวิธี สองตัวเลือก…” สวี่ชิงครุ่นคิด

ตอนวิเคราะห์ผลดีผลเสียในใจ จู่ๆ แสงทองสายนั้นที่อยู่บนท้องฟ้าเมื่อครู่ ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วครั้งนี้ก็รวดเร็วกว่าเดิม

ฉากที่ผิดปกตินี้ ทำให้สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นทันที ซ่อนตัวสังเกตอย่างละเอียด กระทั่งแสงทองสายนั้นก็ลดความเร็วลงมาอย่างชัดเจน

เรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงมองเห็นเงาในแสงทองได้ชัดเจน นั่นเป็นผู้บำเพ็ญวัยกลางคนคนหนึ่ง

คนผู้นี้ขาขวามียันต์แปะอยู่ แผ่คลื่นพลังวิญญาณออกมา เหมือนกำลังแบกรับร่างกายเขาให้บินได้

ด้านหน้าเขายังมียันต์อีกแผ่นหนึ่ง เป็นที่มาของแสงทองนั้นนั่นเอง

เวลานี้ยันต์ก็สาดแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้านในมีร่างที่เลือนรางร่างหนึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียด ร่างเงานั้นก็คือองครักษ์จวนหัวหน้าฐานที่สวี่ชิงสังหารลงไปแล้วนั่นเอง

ราวกับร่างวิญญาณกำลังดมกลิ่นเหมือนสุนัขล่าเนื้ออยู่ในแสงทอง

ความเร็วของผู้บำเพ็ญกลางคนช้าลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังสังเกตบริเวณรอบๆ ครู่ต่อมาจึงเปลี่ยนทิศทาง ออกค้นหาห่างออกไป

ฉากนี้ ทำให้ใจสวี่ชิงกระตุก

“ของวิเศษอักขระ!”

เขามองออกว่ายันต์อักขระสองแผ่นนั้น แม้จะไม่รู้ถึงลักษณะเฉพาะ แต่ก็เดาบทบาทส่วนใหญ่ของพวกมันได้

“ใช้คนที่ข้าสังหาร เพื่อตามหาตัวตนของข้าหรือ แต่เห็นได้ชัดว่าอาณาเขตไม่กว้างมาก สัมผัสเองก็เลือนราง…” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความมหัศจรรย์และความยอดเยี่ยมของวิชาเวท การวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในใจเวลานี้ จึงเกิดแนวโน้มเอียงขึ้นมาทันที

“ตรงไปเมืองเขากวางต่อไม่ได้แล้ว เวลาหนึ่งวันเต็มเสี่ยงที่จะถูกพบตัวมาก หากถูกพบตัวเข้า ไม่ใช่แค่ข้าจะตกอยู่ในอันตราย แต่ยังเปิดเผยจุดหมายอีกด้วย” สวี่ชิงตัดสินใจ ถือโอกาสตอนที่อีกฝ่ายห่างออกไป ไหววูบเข้าไปทางพื้นที่ป่าต้องห้าม

เขาคิดจะไปหลบอยู่ในนั้นพักหนึ่งแล้วค่อยตัดสินใจ

และขณะที่สวี่ชิงพุ่งทะยาน ผ่านไปไม่นาน ตอนที่เขาห่างจากพื้นที่ต้องห้ามหนึ่งชั่วก้านธูป บนท้องฟ้าด้านหลังเขามีแสงทองปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

สวี่ชิงซ่อนตัวทันที หันหน้ากลับไปมอง ดวงตาก็หดลงฉับพลัน

แสงทองสายนั้นเวลานี้เหมือนพุ่งเป้ามาทางเขา ความเร็วที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้น พุ่งทะยานตรงมาทางเขา และยังมีแสงกระบี่อีกสายพุ่งหวีดหวิวเข้ามาด้วยความเร็วที่ไวกว่า

ฉากนี้ทำเอาสวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างไหววูบโดยไม่คิดหลบเลี่ยงอีก

พริบตาที่เขาปลีกตัวออกมา เสียงครืนครันดังขึ้น แสงกระบี่สายนั้นพุ่งลงมายังจุดที่เขาเพิ่งหลบอยู่เมื่อครู่จนดินโคลนสาดกระจาย แรงปะทะกระพือบ้าคลั่งขึ้นมา

ขณะเดียวกันแสงทองสายนั้นก็ร่อนลงมาจนมีเสียงดังก้อง

“ไอ้หนู ในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว ที่แท้เจ้าก็จะมาที่นี่นี่เอง!”

จากเสียงที่ลอดออกมา แสงทองที่เข้ามาใกล้ เงาชายกลางคนด้านในก็เผยแจ่มชัด

คนผู้นี้หน้าเหลี่ยม สวมชุดคลุมยาวสีทอง ร่างสูงมาตรฐาน หน้าตาธรรมดา มีเพียงคิ้วที่เข้มหนาที่ดูแล้วชัดเจนมาก

ดวงตาใต้คิ้วเข้มหนาเวลานี้แฝงความเย็นชาและจิตสังหารเอาไว้ด้วย จดจ้องไปทางทิศที่สวี่ชิงอยู่จากบนท้องฟ้า

แทบจะตอนพริบตาที่ก้มหน้า เท้าขวาสวี่ชิงก็กระทืบพื้นอย่างรุนแรง ร่างทั่งร่างทะยานพุ่งหวีดหวิวไปทางชายกลางคนบนอากาศ

ผู้บำเพ็ญกลางคนยิ้มเย็นชา ก่อนหน้าเขาผ่านทางนี้คราแรก ยันต์สืบรอยก็ปรากฏความผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงค้นหาอย่างละเอียด และพุ่งเป้ามายังสวี่ชิงทางนี้ พอเห็นว่าสวี่ชิงเข้ามา ร่างเขาก็ลอยสูงขึ้นทันควัน

เมื่อถึงระดับความสูงที่สวี่ชิงเอื้อมไม่ถึง ขณะที่พลังปะทะของร่างสวี่ชิงสลายหายไป ร่างผู้บำเพ็ญกลางคนก็พุ่งลงมาฉับพลัน ยกมือขวาขึ้น

ลมพายุรอบด้านปรากฏขึ้น เขาก็จรดนิ้วลงมาอย่างรุนแรง

ลมพายุพัดลงมาพริบตานั้น กลืนร่างของสวี่ชิงเอาไว้ด้านใน

สวี่ชิงร่อนลงมาบนพื้นอย่างคลอนแคลนท่ามกลางเสียงครืนครัน ร่างก็ไหววูบทะยานไปทางพื้นที่ต้องห้าม

เมื่อผู้บำเพ็ญกลางคนคิดจะไล่ตามไป พริบตาต่อมาแสงเย็นวาบสายหนึ่งก็สว่างขึ้นจากทางสวี่ชิง กลายเป็นกริชเล่มหนึ่งที่มีความเร็วน่าตกตะลึงพุ่งตรงไปทางผู้บำเพ็ญกลางคน

ผู้บำเพ็ญกลางคนหรี่ตาลง ทะยานร่างสูงเพื่อหลบหลีก

“กลปาหี่!”

สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญคนนี้อย่างพินิจบนพื้นดิน ไม่เอ่ยปากใด ระเบิดความเร็วทั้งร่าง เพิ่มความเร็วทะยานต่อไปเบื้องหน้า

เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของคนผู้นี้

ถ้าหากอีกฝ่ายไม่บิน เขายังตาต่อตา ฟันต่อฟันจนทำให้เขาตายได้

แต่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่บินได้เช่นนี้ สวี่ชิงมีวิธีไม่มากนัก

คนหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกคนอยู่บนพื้น การต่อสู้เช่นนี้ เขาไม่มีข้อได้เปรียบใดเลย

ตอนนี้สวี่ชิงวิ่งทะยานสุดกำลัง ระหว่างระเบิดความเร็ว ชายกลางคนชุดทองหัวเราะเย็นชาบนท้องฟ้าด้านหลัง ล้วงเอาแผ่นหยกส่งกระแสเสียงไปถึงบรรพจารย์ จากนั้นก็เร่งความเร็วไล่ตาม ทำปางมือแล้วสาดแสงวิชาเวทหลายสายพุ่งไปทางพื้นดิน

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่รวมปราณขั้นเก้า พลังวิญญาณของเขาเต็มเปี่ยมอย่างมาก วิชาเวทที่รู้ก็มีมากยิ่ง

มองอยู่ไกลๆ จะเห็นเพียงลูกไฟกับคมวายุหลายสายระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สวี่ชิงที่วิ่งทะยานอยู่บนพื้น รับมือได้ลำบาก ต่อให้หลบพ้นก็ยังถูกคลื่นพลังกระแทกใส่ จนมุมปากเริ่มมีรอยเลือดไหลออกมา

“ท่านบรรพจารย์จะระวังตัวเกินไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามาเองหรอก แค่ตัวข้าก็สังหารเจ้าทิ้งได้” ผู้บำเพ็ญกลางคนบนอากาศ หัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ร่อนลงพื้น แม้ทางสวี่ชิงนั้นจะล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายหน เขาก็ยังคงรักษาความสูงไว้ระดับหนึ่ง สองมือบีบปาง ลมพายุคลั่งกระพือขึ้นอีก ซัดโครมไปบนพื้นดิน

จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย การถูกเล่นงานเช่นนี้ ทำให้จิตสังหารในใจเขายิ่งแรงกล้าขึ้น

แต่ก็ทราบชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายที่เหมือนจะมีแค่คนเดียวน่าจะมีวิธีติดต่อกับสำนักแน่นอน หากไม่รีบเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามให้ไวที่สุด ผ่านไปนานเข้า จนสำนักวัชระคนอื่นๆ ตามมาทัน สถานการณ์ของฝั่งตนก็จะยิ่งอันตรายขึ้น โดยเฉพาะบรรพจารย์ที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็ทำให้สวี่ชิงสั่นสะเทือนขึ้นมาในใจ

ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ลดระดับความสูงลงมาเลย นี่ก็ทำให้สวี่ชิงตอบโต้กลับไม่ได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแสดงความอ่อนแอออกมาหลายครั้ง แต่ก็ยังล่ออีกฝ่ายลงมาไม่ได้

“คนผู้นี้ระมัดระวังเสียเหลือเกิน รอต่อไปไม่ได้แล้ว”

พอคิดถึงจุดนี้ ดวงตาสวี่ชิงก็มีแสงม่วงสว่างวาบ ตอนที่พายุของอีกฝ่ายพัดลงมา พริบตาที่กลืนร่างของเขาทั้งหมด เงาดาบสีม่วงวูบหนึ่ง ก็ปรากฏออกมาจากด้านในลมพายุทันควัน

สวี่ชิงกระอักเลือดสดในลมพายุ ฝืนอาการบาดเจ็บจากวิชาเวทของอีกฝ่าย กดมือขวาลง

พริบตานั้น ดาบสวรรค์ปรากฏ ฟาดผ่าลงมาฉับพลัน

วิกฤตความเป็นความตายขีดสุดระเบิดขึ้นในใจผู้บำเพ็ญกลางคนที่อยู่กลางอากาศอย่างรุนแรง หน้าเขาถอดสี ร่างกายถอยฉากฉับพลัน หยิบยืมพลังยันต์บินทะยานลอยขึ้นสุดกำลัง

และตอนที่เขาลอยขึ้น ความว่างเปล่าด้านล่างมีเสียงครืนครันน่าตกตะลึง เงาดาบที่พุ่งเข้ามาราวกับตัดขาดได้ทุกสรรพสิ่ง อันตรายเสียยิ่งกว่าอันตราย หวีดหวิวขึ้นมาจากด้านล่างของเขา

ถ้าหากเขาหลบช้าไปนิด หรือก่อนหน้านี้ลดระดับความสูงลง เกรงว่าตอนนี้คงถูกดาบนี้ฟันร่างทิ้งอย่างรวดเร็วราวสายอัสนีไปแล้ว

แม้ตอนนี้จะเลี่ยงความเป็นความตายได้ แต่เท้าซ้ายของเขาก็โดนฟันเข้าเล็กน้อย ฉีกขาดจนเนื้อหนังเหวอะหวะ

ชายกลางคนหายใจหอบถี่ฝืนสะกดความเจ็บปวด จิตสังหารในดวงตาแรงกล้า ทว่าความระแวดระวังและความพรั่นพรึ่งในใจกลับรุนแรงยิ่ง เขาเข้าใจดี ถ้าหากไม่มียันต์บินทะยาน ตนเองที่ถูกดาบน่าตกตะลึงนั่นฟาดลงบนตัว ถ้าไม่ตายก็คงจะเจ็บสาหัสแน่นอน

“บรรพจารย์พูดไว้ไม่ผิดเลย เจ้าเด็กคนนี้มันร้ายกาจจริงๆ!”

สวี่ชิงที่อยู่บนพื้นดินเช็ดเลือดที่มุมปาก จ้องมองผู้บำเพ็ญกลางคนที่เท้าซ้ายเหวอะหวะกลางอากาศผาดหนึ่ง สะกดความเสียดายในใจ หมุนตัวไหววูบ พุ่งทะยานต่อไปยังพื้นที่ต้องห้าม

ชายกลางคนบนอากาศตอนนี้ก็บาดเจ็บจนทนไม่ไหว หลังผนึกบาดแผลก็ก้มหน้าลงมองสวี่ชิง แม้จิตสังหารในใจจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังลังเล ไม่กล้าเข้าประชิดตัว และควบคุมความสูงทิ้งห่างไว้ ใช้วิชาเวทเข้ารบกวนแทน

เขาไม่คิดที่จะลงมือเพียงคนเดียว เทียบกับภารกิจของสำนักแล้ว ชีวิตตนเองยังสำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นเขาจึงคิดถ่วงเวลา ต่อให้อีกฝ่ายเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามได้ ก็ต้องยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

“รอบรรพจารย์มาก่อน เจ้าเด็กนี้ต้องตายแน่นอน!”

ในสถานการณ์ที่เขาไม่กล้าประชิดตัว ถึงแม้วิชาเวทจะสร้างอาการบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้ แต่สวี่ชิงมีพลังฟื้นฟูน่าตกตะลึง ดังนั้นจึงส่งผลกระทบไม่มากนัก ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งสวี่ชิงมองเห็นชายขอบพื้นที่ต้องห้าม ร่างกายจึงไหววูบ ทะยานตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกพื้นที่ต้องห้าม เงาของชายกลางคนในอากาศหยุดลง ขณะที่ลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ท้องฟ้าด้านหลังเขาก็ปรากฏอัสนีครืนครันก้องขึ้น มีร่างเงาสองสายพุ่งหวีดหวิวเข้ามา

คนแรกสวมชุดคลุมสีแดง ผมขาวปลิวสยาย แม้ไร้ความโกรธาแต่ท่าทีน่าเกรงขาม

เงาวานรยักษ์ด้านหลัง กลายเป็นลมพายุกระจายไปทั่วสารทิศ บรรพจารย์สำนักวัชระนั่นเอง

ด้านหลังมีผู้อาวุโสสำนักวัชระอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว