ตอนที่ 45 ลำเอียง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 45 ลำเอียง

เดือนสอง อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว!

เซียวอี้ยังไม่ตาย เขามีชีวิตอยู่อย่างดี

คนที่จะฆ่าเขา ต่อแถวกันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าตั้งแต่สำนักองครักษ์จินอู่ถึงประตูเมืองอย่างไม่ขาดสาย แต่ล้วนล้มเหลว

ทำให้คนอดพึมพำด้วยความตกตะลึงไม่ได้ ช่างดวงแข็งเสียจริง!

กลางวัน ผู้คุมถือสำรับอาหารมาให้เซียวอี้

เนื้อสองอย่าง ผักสองอย่าง ข้าวสองชาม นอกจากนี้ยังมีสาโทอีกหนึ่งเหยือก

เป็นอาหารที่เขาสั่งไว้เมื่อวาน

เขาอยากกินสิ่งใด เพียงแค่บอกคำเดียว องครักษ์จินอู่ล้วนตามใจเขา

ห้องขังเดี่ยวในส่วนลึกของคุกหลวง ภายในห้องนั้นมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ เตียง ผ้าห่ม เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ครบครัน

นอกจากนี้ยังมีหน้าต่างขนาดเล็กบริเวณเพดานให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาได้

ผู้คุมหากุญแจของห้องขังนี้จากพวงกุญแจได้อย่างแม่นยำ เขาไขกุญแจแล้วผลักประตูห้องขังเข้าไป

“นายน้อยหก อาหารกลางวันของท่านขอรับ”

เซียวอี้ที่กำลังอ่านตำราหันมองมาทางผู้คุมด้วยรอยยิ้ม “ฮัวเตียว[1]!”

“นายน้อยหกสามารถ ยังไม่ทันเปิดเหยือก เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นฮัวเตียว”

ผู้คุมคุ้นเคยกับเขาแล้วจึงพูดอย่างเป็นกันเอง บางครั้งยังสามารถหยอกล้อได้บ้าง

เซียวอี้วางตำราลง กวักมือเรียกอีกฝ่าย “มาๆๆ กินด้วยกัน”

ผู้คุมหวั่นไหว แต่ยังคงปฏิเสธ “ขอบคุณนายน้อยหกที่ให้เกียรติ ข้าดื่มแก้วเดียวก็เพียงพอ ไม่บังอาจร่วมกินอาหารกับนายน้อยหก”

“เหตุใดจึงไม่ได้! ถึงเวลากินข้าวพอดี เจ้ายังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่”

“หากให้เบื้องบนรู้ว่าข้าร่วมกินอาหารกับนายน้อย คงจะต้องโดนโบย ไม่ได้ ไม่ได้ นายน้อยอย่าทำให้ข้าเดือดร้อนเลยขอรับ”

“เรียกให้เจ้ากินข้าวกลายเป็นข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนเสียอย่างนั้น เอาเถิด ข้าไม่รั้งเจ้าแล้ว ดื่มแก้วเดียว จากนั้นรีบไปเถิด”

“ขอบคุณนายน้อยหก”

ฮัวเตียวที่หมักเป็นเวลานาน กลิ่นหอมอย่างมาก

ผู้คุมกินหมดจอกภายในหนึ่งคำ รู้สึกแสบร้อนไปทั้งคอ

วันนี้คุ้มค่าแล้ว!

เซียวอี้กินเหล้าแกล้มกับอาหาร แสร้งถามอย่างไม่ตั้งใจ “ด้านนอกมีข่าวใหม่หรือไม่”

ผู้คุมหัวเราะ พูดขึ้น “ยังคงเหมือนเดิม ราชสำนักเอะอะโวยวายทุกวัน อวี้สื่อประณามท่านโหวผิงอู่ สือุนราวกับสุนัขที่บ้าคลั่ง ตระกูลเถาเร่งเร้าให้องครักษ์จินอู่อย่างพวกเราทำคดี ลงโทษประหารนายน้อย!”

เซียวอี้เลิกคิ้ว สีหน้าเสียดสี “ก่อนเดินทางมาเมืองหลวง ผู้คนต่างบอกว่าตระกูลเถาลึกลับ แต่ข้ากลับใช้มีดเล่มเดียวในการลองเชิงความตื้นลึก ตระกูลเถาส่งมือสังหารมาลอบฆ่าข้าไม่สำเร็จ ทำได้เพียงกดดันองครักษ์จินอู่ พวกเจ้าลำบากแล้ว รอข้าออกไป ข้าจะเลี้ยงเหล้าพวกเจ้า”

“ดีเสียจริง! ขอบคุณนายน้อยหกที่ไม่รังเกียจ ข้าจะรอดื่มสุราของท่าน”

เซียวอี้โยนเงินก้อนหนึ่งให้ผู้คุม

ผู้คุมดีใจอย่างมาก ชั่งน้ำหนักด้วยมือ อย่างน้อยมีหลายสิบตำลึง

สมัยนี้เงินทองมีมูลค่าอย่างมาก

เงินสิบตำลึงจึงมีมูลค่ามาก

ผู้คุมพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนายน้อยหก! นายน้อยหกใจกว้างเสียจริง”

เซียวอี้ยิ้ม “หากคนของจวนท่านโหวผิงอู่มาถึงเมืองหลวง อย่าลืมมาบอกข้าในทันที”

“นายน้อยวางใจ ข้าให้คนในจวนจับตามองจวนของท่านโหวผิงอู่ในเมืองหลวงไว้แล้ว หากมีการเคลื่อนไหว ย่อมรู้ได้ทันที”

เมื่อพูดจบผู้คุมเดินจากไป

เซียวอี้รินเองดื่มเอง

คำนวณเวลา ข่าวที่เขาลอบฆ่านายท่านรองตระกูลเถาคงแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินแล้ว

เพียงแค่ไม่โง่เขลา กองกำลังจากทุกทิศทางควรฉวยโอกาสนี้เคลื่อนไหว

ถึงแม้ไม่แทรกแซงเรื่องภายในเมืองหลวง แต่ก็ควรส่งคนมาจับตาดูสถานการณ์ในเมืองหลวง เพื่อง่ายต่อการครอบครองข่าวสาร

ตระกูลสือ ตระกูลหลิง ตระกูลเยียน…

เมื่อนึกถึงตระกูลเยียน ภายในหัวของเซียวอี้ปรากฏร่างของหญิงใบ้ตัวน้อยอย่างเยียนอวิ๋นเกอ

จิ๊…

เซียวอี้สะบัดหัว

คิดไม่ได้ คิดไม่ได้

เจ้าเด็กคนนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยหนาม!

จวนท่านหญิงจู้หยาง

จดหมายของเยียนโส่วจ้านเพิ่งส่งมาถึงมือของเซียวฮูหยิน

หลังจากเกิดเรื่องเซียวอี้ลอบสังหารนายท่านรองตระกูลเถา ภายในวันนั้นเซียวฮูหยินก็ส่งข่าวกลับไปยังตระกูลเยียนในแคว้นซ่างกู่ทันที

ม้าเร็วส่งสาร ไปกลับใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่า จดหมายตอบกลับของเยียนโส่วจ้านก็เดินทางมาถึง

ในจดหมาย เยียนโส่วจ้านแสดงถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

เพื่อพิสูจน์ว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เขาได้ทำการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ด้วยการส่งบุตรชายคนโตเยียนอวิ๋นฉวนมาเมืองหลวง

หากระหว่างทางราบรื่น เยียนอวิ๋นฉวนจะสามารถเดินทางถึงเมืองหลวงในปลายเดือนสอง

นอกจากนี้เยียนโส่วจ้านยังปลอบประโลมเซียวฮูหยินผ่านจดหมาย ส่งเยียนอวิ๋นฉวนมาเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจนาง หากแต่เป็นห่วงนาง จึงให้เยียนอวิ๋นฉวนมาแบ่งเบาหน้าที่ของนาง

สตรีออกจากจวนกระทำการสิ่งใดล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย

สถานการณ์บางอย่าง ผู้ชายออกหน้าเหมาะสมยิ่งกว่า

เมื่ออ่านจดหมายจบ เซียวฮูหยินก็หัวเราะเสียงเย็น

“พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”

เยียนโส่วจ้านนับวันยิ่งไร้ยางอาย

เป็นห่วงนาง แบ่งเบาหน้าที่ของนางอันใดกัน ล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น

สาเหตุที่แท้จริงคือให้เยียนอวิ๋นฉวนมารับช่วงเส้นสายของนางในเมืองหลวงต่อ สร้างโอกาสให้เยียนอวิ๋นฉวนได้สานสัมพันธ์กับผู้อื่น

หากเยียนอวิ๋นฉวนมีเส้นสายในเมืองหลวงเมื่อใด ภายหน้ากระทำการสิ่งใดล้วนไม่ต้องพึ่งพาเซียวฮูหยิน เขาย่อมสามารถทำได้ด้วยตนเอง

ช่างเป็นแผนการที่ดี!

เยียนอวิ๋นเกออ่านเนื้อหาในจดหมาย นางกลอกตาระรัว

นางเขียนด้วยความขุ่นเคือง ‘ตาเฒ่านับวันยิ่งไร้ยางอาย ต้องตีเขาสักที!’

เซียวฮูหยินมองเนื้อหาบนกระดาษด้วยมุมปากที่กระตุก

เยียนโส่วจ้านมีเกียรติได้รับฉายา ‘ตาเฒ่า’ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

นางยกถ้วยชา พูดอย่างไม่รีบร้อน “ท่านพ่อของเจ้าห่างไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ เรื่องตีเขาค่อยว่ากันในภายหน้า เยียนอวิ๋นฉวนอยู่ระหว่างทางมาเมืองหลวงแล้ว ท่านพ่อเจ้าทำก่อนแล้วแจ้งทีหลังทำให้พวกเราไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนมาถึงเมืองหลวง เขาย่อมต้องเข้าพักในจวนท่านหญิง

ตามคำกล่าวที่ว่า ศาลาที่ใกล้น้ำมักเห็นดวงจันทร์ก่อน แขกเหรื่อไปมาภายในจวน เขาในฐานะบุรุษออกหน้าต้อนรับย่อมสมเหตุสมผล ถึงแม้ข้าจะรั้งเอาไว้ แต่เขาก็ยังมีโอกาสได้รู้จักผู้คน พึ่งพาความสำคัญที่ท่านพ่อของเจ้ามีต่อเขา คนจากทุกทิศทั่วทางย่อมต้องให้เกียรติเขาบ้าง อีกทั้งเยียนอวิ๋นฉวนรู้จักวิธีการวางตัว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีความละเอียดรอบคอบ เขามีโอกาสที่จะสร้างกองกำลังของตนเองภายในเมืองหลวง”

เยียนอวิ๋นเกอถาม ‘ท่านแม่คิดจะทำอย่างไร จะส่งคนไปลอบสังหารเยียนอวิ๋นฉวนระหว่างทางหรือไม่’

เซียวฮูหยินคิ้วกระตุก รู้สึกจุกอกเล็กน้อย

นางพูด “ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารเยียนอวิ๋นฉวนระหว่างทาง เมื่อเราห้ามไม่ให้เขาเดินทางมาไม่ได้ สู้เปิดประตูต้อนรับเขาอย่างเปิดเผยจะดีกว่า”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยเพียงนั้น กว่าจะขยับขยายกองกำลังในเมืองหลวง ทำให้คนใหม่กับคนเก่าติดต่อกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือเราจะมองดูเยียนอวิ๋นฉวนขโมยผลงานไปอย่างง่ายดาย ท่านพ่อลำเอียงนัก มีประโยชน์อันใดล้วนนึกถึงแต่พี่ใหญ่ เขาไม่กลัวน้องสี่ลอบฆ่าเยียนอวิ๋นฉวนกลางดึกหรือ”

เซียวฮูหยินยิ้ม “ท่านพ่อของพวกเจ้าไม่ได้ลำเอียงเป็นวันแรก”

ปัง!

เยียนอวิ๋นเกอตบโต๊ะ

นางเขียน ‘เยียนอวิ๋นฉวนอยากมาก็มา หากเขาสามารถสานสัมพันธ์กับผู้คนในเมืองหลวงได้ย่อมเป็นความสามารถของเขา แต่หากเขาคิดจะลักขโมย อย่าหวัง! ท่านแม่ ข้ารู้ว่าที่ใดมีจวนขาย ราคาไม่แพง เราซื้อจวนหลังหนึ่งให้เยียนอวิ๋นฉวนอาศัย เขาอยากจะอยู่ในศาลาที่ใกล้น้ำก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถหรือไม่’

เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า นางเห็นด้วยกับความคิดของน้องสี่ ให้เยียนอวิ๋นฉวนเข้ามาอาศัยไม่ได้

เซียวฮูหยินครุ่นคิด “เรื่องซื้อจวนเป็นไปได้! อวิ๋นเกอข้าให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้”

เยียนอวิ๋นเกอเผยยิ้ม มือทั้งสองข้างทำท่าทาง ‘ท่านแม่วางใจ ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสม’

การซื้อจวนเป็นเรื่องง่าย

แค่เพียงมีเงิน ปัญหาใดย่อมไม่ใช่ปัญหา

เงินเสียไปแล้ว จวนก็ถึงมือ

ภายในใจของเยียนอวิ๋นเกออัดอั้นไปด้วยความโกรธ นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้คนควบม้าเร็วส่งกลับไปให้เยียนโส่วจ้าน

ไม่ถึงครึ่งเดือน จดหมายก็มาถึงมือของเยียนโส่วจ้าน

เยียนโส่วจ้านอ่านเนื้อหาในจดหมาย เขาโกรธจนบ้าคลั่ง

“เจ้าเด็กไร้มารยาท!”

“ไร้กฎไร้เกณฑ์!”

“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

“เหลวไหลอย่างมาก!”

“ขาดการสั่งสอน!”

“บังอาจด่าข้าว่าเป็นชายชั่ว ไม่ทำเรื่องที่คนอื่นเขาทำ ข้าต้องตีนางจนขาหักให้ได้”

เขาคับข้องใจยิ่งนัก!

ความสามารถในการยั่วยุคนของเยียนอวิ๋นเกอร้ายกาจกว่าความสามารถในการตีคนของนางเสียอีก

เยียนโส่วจ้านโกรธจนเจ็บหน้าอก

แม้แต่คำกล่าวประณามเขาของอวี้สื่อในราชสำนักยังไม่น่าโมโหเพียงนี้

“เหตุใดข้าจึงเลี้ยงบุตรสาวที่ไม่รู้ชั่วดีเช่นนี้!”

อ้ากๆๆ …

เยียนโส่วจ้านโกรธอยู่สามวัน ความโกรธที่อัดแน่นอยู่ภายในใจค่อยบรรเทาลง

เขาเสียใจ

เสียใจที่ให้เยียนอวิ๋นเกอไปเมืองหลวง

“สร้างแต่ปัญหา ระยะทางห่างไกล ตีก็ไม่ได้ ช่างน่าโมโหนัก!”

“คราก่อนพังทลายจวนองค์หญิงเฉิงหยาง ครานี้จะกระทำการใดอีก”

เยียนโส่วจ้านกลุ้มใจยิ่งนัก!

เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าการส่งเจ้าใหญ่ เยียนอวิ๋นฉวนไปเมืองหลวงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

แต่แล้ว เฉินฮูหยินกลับไม่ยอม

นางกลัว!

กลัวเซียวฮูหยินจะลงมือกับบุตรชายอันเป็นที่รักของนาง

แต่การตัดสินใจของท่านโหว ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้

เฉินฮูหยินทำได้เพียงมองดูบุตรชายคนโตจากไปด้วยใจที่ขมขื่น!

เพื่อปลอบประโลมนาง เยียนโส่วจ้านมอบสิ่งของล้ำค่า เงินทองเพชรพลอยเป็นจำนวนไม่น้อย

เมื่อเฉินฮูหยินเห็นสิ่งของมีค่าเป็นกอง ในที่สุดก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

คุณหนูสามเยียนอวิ๋นจือพึมพำ “ท่านแม่สามารถยิ่งนัก! เพียงแค่ร้องไห้ ก็มีเงินทองจำนวนมากเข้ามา”

เฉินฮูหยินถลึงตา พูดเหลวไหลอันใดกัน

คุณหนูสามเยียนอวิ๋นจือยู่ปากด้วยความไม่พอใจ นางก็อยากไปเมืองหลวง แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ก็ไม่ยอมตกลง

เฉินฮูหยินรู้ความคิดของนาง “เจ้าเด็กโง่ บอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจ เจ้าเป็นสตรี หากเจ้าติดตามไปเมืองหลวง ไม่กลัวว่าจะถูกฮูหยินส่งต่อให้ตระกูลที่ตกต่ำหรือ ถึงเวลาเจ้าคงไม่มีแม้แต่ที่ร้องไห้”

เยียนอวิ๋นจือไม่ยอม “มีพี่ใหญ่อยู่ ฮูหยินอยากขับไล่ข้า คงต้องถามความเห็นของพี่ใหญ่ อีกอย่าง ข้าไม่เชื่อว่าพี่ใหญ่จะปล่อยให้ข้าถูกขับไล่ไปอยู่ในตระกูลที่ตกต่ำ”

“เจ้าจะรู้อันใด! พี่ใหญ่ของเจ้าเพิ่งเดินทางถึงเมืองหลวง ยังไม่คุ้นชินพื้นที่ ตระกูลผู้ใดเป็นของผู้ใดยังไม่รู้ หากฮูหยินต้องการขับไล่ไปอยู่ในตระกูลที่ตกต่ำจริง พี่ใหญ่ของเจ้าจะแยกแยะได้อย่างไร เมื่อรอพี่ใหญ่ของเจ้าคุ้นชินพื้นที่แล้ว มีเส้นสายแล้ว เจ้าค่อยไปเมืองหลวงก็ยังไม่สาย”

เยียนอวิ๋นจือได้ยินดังนี้จึงดีใจ “ข้าไปเมืองหลวงได้จริงหรือ”

เฉินฮูหยินพูด “จะไปก็ต้องเป็นปีหน้า”

“ปีหน้าก็ปีหน้า ข้าไม่รีบ” เยียนอวิ๋นจือเผยยิ้มออกมา ดีเสียจริง ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้ไปเห็นเมืองหลวงแล้ว

[1] ฮัวเตียว หมายถึง เหล้าเหลืองชั้นดีของเมืองเส้าซินเนื่องด้วยบรรจุในกระปุกที่สลักลายต่างๆ