ตอนที่ 39 ขับไล่สองผัวเมีย ลงโทษผู้อาวุโส (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 39 ขับไล่สองผัวเมีย ลงโทษผู้อาวุโส (2)

แรงกดดันจากหนิงเซ่าชิงเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งลานบ้านพลันเงียบเชียบลง

หวังเอ้อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ยังคงแสดงท่าทีดิ้นรนอย่างไม่พอใจ “แต่นาง…”

“คนของข้า ไม่ว่าถูกหรือผิด ข้าก็ต้องเป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนเอง คนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาว่านางเช่นนี้” ใบหน้าเย็นชาเอ่ยวาจาเฉียบคม

การปรากฏตัวของหนิงเซ่าชิงทำให้สถานการณ์ทุกอย่างพลิกผัน

หลังจากได้ยินเสียงเย็นชาของเขา หวังเอ้อร์จึงไม่มีความคิดที่จะโต้แย้งต่อไป กลับกันหัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยที่จมดิ่งสู่ก้นบึ้ง เวลานี้ราวกับถูกสายธารชโลมใจ หล่อเลี้ยงร่างกายให้มีชีวิตขึ้นทีละนิดทีละน้อย ค่อยๆ แทรกซึมอย่างทะนุถนอม

เมื่อกล่าวจบประโยค หนิงเซ่าชิงไม่สนใจหวังเอ้อร์ที่สำลักไอออกมาอย่างเก้อเขิน แต่กลับเดินไปหาร่างบางตรงหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักทะนุถนอม

เขายื่นมือออกมาพลางกระซิบ “เจ้าเสียใจแย่สินะ”

เพียงหนึ่งประโยคจากเขา ส่งผลให้จู่ๆ จมูกของมั่วเชียนเสวี่ยก็เกิดอาการคัดคล้ายจะร้องไห้ขึ้นมา อย่างน้อยในโลกใบนี้ก็ยังมีคนที่คอยปกป้องนางอยู่

มือเล็กๆ อ่อนนุ่มวางบนมือเรียวยาวอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณ”

“อืม” หนิงเซ่าชิงบีบคลึงมือเล็กเบาๆ เพื่อปลอบประโลม พลางดึงมั่วเชียนเสวี่ยไปที่ด้านหลังของเขาอย่างปกป้อง

หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยสั่นไหว คนที่เข้าข้างคนของตัวเองคนนี้ก็คือสามีนางนี่เอง

เพียงประโยค ‘คนของเขา เขาก็ต้องเป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนเอง ผู้อื่นหาได้มีสิทธิ์ไม่’ นั่นแสดงให้ผู้คนเห็นว่า ไม่ว่านางจะถูกหรือผิด จะมีเขาคอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนนาง

ในเวลานั้นสายตาแน่วแน่ดูแคลนของหนิงเซ่าชิง คล้ายกลับถูกส่งไปถึงสองสามีภรรยาตระกูลจ้าว ทันใดนั้นคิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากันแน่น…

หนิงเซ่าชิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับมุมปากยกขึ้น ท่าทางนี้ไม่ได้ทำให้คนเห็นรู้สึกดีแต่ราวกับถูกจู่โจม “สองคนนี้ พวกเขาได้ประพฤติตัวล่วงเกินและใส่ร้ายชื่อเสียงของภรรยาข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า คงไม่คู่ควรที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาอีกต่อไป”

ดวงตาแข็งกร้าวของหนิงเซ่าชิงมองไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน “หากพวกท่านไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนแก่พวกเราสองสามีภรรยาและตัดสินเรื่องราวอย่างยุติธรรม วันรุ่งขึ้นข้าและภรรยาจะออกจากหมู่บ้านหวังจยา บุญคุณของทุกท่าน พวกข้าจะชดใช้ให้ในภายหลัง”

ความหมายของคำพูดเหล่านี้ชัดเจนแล้วว่าหากมีอีกฝ่ายก็จะไม่มีเขาและหากจะมีเขาก็ต้องไม่มีอีกฝ่าย

มั่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าเขาเหนื่อยแค่ไหนและต้องการมีชีวิตที่เงียบสงบเพียงใด แต่ยามนี้เพื่อนางแล้ว เขากลับยินดีที่จะละทิ้งความสุขสบายและพร้อมที่จะพานางไปท่องทั่วสุดหล้าฟ้าดิน

หากหมู่บ้านหวังจยาต้องการรักษาทั้งคู่ไว้ พวกเขาจะต้องเลือกขับไล่สองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ออกจากหมู่บ้าน

กระบวนท่านี้เด็ดเดี่ยวนัก เหนื่อยเพียงหนเดียวแต่กลับสบายไปได้ทั้งชาติ

แม้นที่แห่งนี้จะไม่ต้องการนาง แต่ย่อมมีที่ให้นางไป! นางมีฝีมือในการทำเต้าหู้และเขาก็มีความสามารถในการสอน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

ในแผ่นดินนี้ การถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านนั้นเทียบเท่ากับการขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล ถือเป็นการปฏิเสธและดูหมิ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อหน้าผู้คน เป็นความอัปยศที่ไม่สามารถลบล้างได้ชั่วชีวิต

เพียงประโยคเดียว ทำเอาสองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ปากอ้าตาค้าง ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้

เพียงประโยคเดียว ทำเอาถ้วยชาในมือของหัวหน้าหมู่บ้านสั่นระรัว

จ้าวเอ้อร์ตื่นตระหนก จึงรีบวิ่งหน้าตั้งไปด้านหน้า พ่นคำพูดไม่ผ่านสมอง “มารดาเจ้าสิ พวกเจ้าทั้งสองเป็นคนนอกตระกูล มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย…”

“บังอาจ!” หัวหน้าหมู่บ้านโยนถ้วยชาลงพื้น น้ำเสียงคมชัดกระแทกกระทั้นปะทุขึ้น จ้าวเอ้อร์ตกใจจนรีบคุกเข่าลง

“เดิมทีข้าในฐานะหมู่บ้านอยากดื่มน้ำชาเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะดำเนินมาถึงขั้นนี้” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ตะโกนว่า “จ้าวเอ้อร์ประพฤติผิดหลักคุณธรรม นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขับเขาออกจากหมู่บ้านหวังจยา ต้องย้ายออกไปจากหมู่บ้านหวังจยาก่อนรุ่งสาง มิฉะนั้นจะถูกโบยตี”

สิ้นเสียงตวาดของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่หนิงเซ่าชิงกลับยังไม่ลดละ ดวงตาของเขามองลอดไปที่หวังเอ้อร์ “ข้าได้ยินคนพูดเสมอว่าผู้อาวุโสนั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา มีเหตุผลและยุติธรรม รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เมื่อได้เห็นกับตาตนเองในวันนี้ ข้าน้อยปลื้มใจยิ่งนัก ไม่เพียงแต่เอาใจใส่ปกป้องทุกข์สุขของคนในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังใจกว้างและปฏิบัติต่อผู้ที่กล่าววาจาโป้ปดให้ร้ายคนอื่นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ น่าเสียดายที่หัวใจของหนิงเซ่าชิงผู้นี้ไม่กว้างใหญ่เทียบเท่าท่าน ดูเหมือนว่าจากนี้ข้าน้อยคงจะต้อง ‘คิดทบทวน’ ตัวเองหน่อยแล้ว…”

หนิงเซ่าชิงไม่โต้เถียง ไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นเคือง แต่กลับสร้างแรงกดดันให้หัวหน้าหมู่บ้านอย่างมหาศาล ทางหวังเอ้อร์นั้น ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

หัวหน้าหมู่บ้านหน้าเคร่งขรึม “ท่านหวังเอ้อร์ ในฐานะที่ท่านเป็นถึงหัวหน้าผู้อาวุโสตระกูล แต่กลับลำเอียงและฟังความข้างเดียวเช่นนี้ ต้องลงโทษท่านโดยการกักขังให้ใคร่ครวญความผิดในหอบรรพชนเป็นเวลาเจ็ดวัน”

ในหัวของหวังเอ้อร์คิดไตร่ตรองนับร้อยพันตลบ

สามีภรรยาคู่นี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาหมู่บ้านหวังจยาและไม่ว่าอย่างไรพวกเขาห้ามไปจากที่นี่ พวกเขาต้องอยู่! ต้องรักษาน้ำใจของทั้งสองไว้ เขายินดีเป็นแพะรับบาป! ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอายุปูนนี้แล้ว เขายังจะถูกลงโทษโดยการกักบริเวณสำนึกตนในหอบรรพชน ช่างขายหน้าเสียจริง

หวังเอ้อร์หันหลังกลับอย่างเงียบเชียบ สองขาเดินออกจากลานบ้านไปยังหอบรรพชน ท่าทางง่อนแง่นหลังงอราวกับอายุแก่ลงสิบปีในคราวเดียว

ในเวลานี้จ้าวเอ้อร์และอาซ้อจ้าวเอ้อร์รู้แล้วว่ากลอุบายของตนใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงคุกเข่าลงบนพื้นอ้อนวอนอย่างขมขื่น

หัวหน้าหมู่บ้านเพิกเฉยต่อการกระทำของพวกเขาพลางมองไปที่สองสามีภรรยาแซ่หนิง พร้อมเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ “อาจารย์หนิง หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ตัดสินเช่นนี้ยุติธรรมหรือไม่”

“อุปนิสัยนิสัยของท่านไม่ต้องบอกก็รู้กันดี ในภายภาคหน้าพวกเราสองสามีภรรยาคงต้องพึ่งพาของท่านอีกมาก ขอขอบคุณท่านไว้ที่นี้ แต่อาการไอไม่หยุดของท่าน คงต้องรักษาให้หายขาดเสียจะดีกว่า”

ใบหน้าหัวหน้าหมู่บ้านแดงฉาด เขาไอออกมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมพูดขึ้นอย่างเก้อเขิน “อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็จบลงแล้ว ข้าไม่รบกวนเวลาทานอาหารของท่านอาจารย์แล้วล่ะ”

หลังสิ้นสุดบทสนทนา เขาหันกลับมาพบว่าสองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ยังคงคุกเข่าขอความเมตตาอยู่บนพื้น ความโกรธปะทุขึ้น ความวุ่นวายทั้งหมดนี้เป็นเพราะตัวดีทั้งสอง หัวหน้าหมู่บ้านตวาด “พวกเจ้านำตัวสองคนนี้ตามมา นำตัวพวกมันไปโบยที่หลังยี่สิบทีแล้วจับโยนออกไปจากหมู่บ้านเสีย!”

คำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านหนักแน่นราวตอกตะปู ทั้งไม่เคยลวงหลอก ทั้งสองล้มลงกับพื้นในทันใด

อาซ้อจ้าวเอ้อร์กวาดสายตามองผู้คนโดยรอบอย่างเลื่อนลอย ทันใดนางก็วิ่งฝ่าฝูงชนไปหาชายชรา “ท่านพ่อ ท่านต้องขอร้องท่านหัวหน้าหมู่บ้านนะ…”

ชายชราไม่รอให้อาซ้อจ้าวเอ้อร์พูดจบ เขาง้างมือตบไปที่แก้มนง “วันนี้ให้พี่น้องในหมู่บ้านเป็นพยาน จากนี้ไปความสัมพันธ์พ่อลูกของเราเป็นอันจบสิ้น ข้าไม่มีลูกสาวอกตัญญูเช่นเจ้าและเจ้าก็ไม่ใช่คนของหมู่บ้านหวังจยาอีกต่อไป”

พ่ออาซ้อจ้าวเอ้อร์ตบแก้มลูกสาว ตัดขาดสัมพันธ์แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวจะทำให้หนิงเซ่าชิงขุ่นเคือง ถูกเขาหาว่าไม่มีสั่งสอนบุตรสาวของตน หากเป็นเช่นนั้นคนทั้งตระกูลของเขาอาจจะถูกท่านหัวหน้าหมู่บ้านขับไล่ออกไปด้วย

เมื่อจ้าวเอ้อร์ได้สติคืนมา ขาข้างหนึ่งวาดขึ้นเตะภรรยาของตนทันที “เป็นเพราะหญิงโสโครกเช่นเจ้า…”

อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็ไม่ยอม นางง้างกรงเล็บที่แหลมคมขีดข่วนบนใบหน้าของจ้าวเอ้อร์เต็มแรง

“ความคิดนี้มาจากเจ้านี่…”

ตัวดีทั้งสองเริ่มตบตีกันพัลวัน

หนิงเซ่าชิงเหล่มอง ส่งเสียง เหอะ พร้อมกับเอ่ยอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าโบยตีอย่างเดียงท่ายังไม่เพียงพอ…”

ท่านหัวหน้าหมู่บ้านที่ได้ยินก็กระแอมไอขึ้นมาเสียงดัง ทันใดนั้นชายร่างกำยำแซ่หวังหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ลานบ้าน ชุดกระฉากสองสามีภรรยาออกจากัน หามทั้งคู่ออกจากสถานที่นั้นไป

บัดนี้ภายนอกลานบ้าน ได้ยินเพียงเสียงปึงปังปนกับเสียงร้องโหยหวน การโบยตีเริ่มขึ้นแล้ว

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ หากฟ้ามืดแล้วพวกเจ้ายังไม่ไป ก็จะใช้ไม้ไล่…”

หัวหน้าหมู่บ้านยังไม่ทันเอ่ยจบ สองสามีภรรยาตัวดีถูกทุบตีจนมึนหัวที่นอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตาย ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน ยืนขึ้นและพร้อมก้นที่เปื้อนเลือด วิ่งแจ้นไปที่บ้านตนประหนึ่งมีฝูงหมาป่าชั่วร้ายวิ่งไล่ตามพวกเขาอยู่