บทที่ 27 คู่หมั้นตัวจริงกับคู่หมั้นตัวปลอม

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ผมเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ? ” พิชิตจ้องมองไปที่วารุณี “ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจังเลย ”

วารุณีก็มองไปที่เขา แล้วส่ายหัว “แต่คุณผู้ชาย ฉันไม่รู้จักคุณ”

“ไม่รู้จักจริงๆเหรอ ? คุณคิดให้ดี ”พิชิตชี้ไปที่จมูกของตัวเอง แล้วขยับใบหน้าเข้ามาใกล้เธอ

วารุณีถอยห่างไปอย่างไม่รู้จะทำยังไง “คุณผู้ชาย ฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อนจริงๆ”

ความจำเธอดีมาตั้งแต่เด็ก หากเคยเจอกัน ไม่มีทางที่เธอจะนึกไม่ออก

“ไม่น่าจะเป็นไปได้” พิชิตขมวดคิ้วแน่น

เขารู้สึกคุ้นกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ

เพียงแต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหน

“พี่อารัณ ทำไมคุณอาคนนี้ต้องถามหม่ามี๊ด้วยว่ารู้จักเขาไหม เขาชอบหม่ามี๊หรือเปล่า อยากเป็นพ่อของเราเหรอ ?”ไอริณจ้องมองไปที่พิชิตอย่างระแวดระวัง กัดฟันพูดเสียงเบากับอารัณที่อยู่ข้างๆ

เธอไม่มีวันลืม อาผมทองที่อยู่ต่างประเทศเหล่านั้น ใช้วิธีนี้พูดจีบหม่ามี๊ของเธอ จากนั้นก็อยากจะแต่งงานกับหม่ามี๊ แล้วมาเป็นพ่อของเธอ

มืออารัณจับไปที่คาง มองไปที่พิชิตตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า“ พี่ไม่เอาเขามาเป็นพ่อของเราเด็ดขาด หน้าตาไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามั่นคงและปลอดภัยอะไรเลยสักนิดยังไงพี่ก็อยากให้คุณอานัทธีมาเป็นพ่อของเรามากกว่า ”

นัทธีที่ยืนอยู่ข้างหลังของเด็กทั้งสอง และได้ยินในสิ่งที่เด็กพูดคุยกัน มุมปากก็ยกขึ้นอย่างไร้ร่องรอย ในใจรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

“หนูก็ชอบคุณอานัทธีเหมือนกัน คุณอานัทธีหน้าตาเหมือนพี่เลย”ไอริณที่กำลังดูดนิ้วอยู่พูดออกมา

คนพูดไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังกลับคิดไปไกลแล้ว

ไอคิวของอารัณเหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก เขารู้มาตลอดว่าพ่อแท้ๆของเขากับไอริณนั้นอยู่ประเทศจีน

เพราะมีครั้งหนึ่งเขาบังเอิญได้ยินที่หม่ามี๊กับพ่อบุญธรรมคุยกัน พ่อบุญธรรมถามหม่ามี๊ว่ากลับมาประเทศจีนคราวนี้จะตามหาพ่อแท้ๆของเขากับไอริณไหม

หม่ามี๊ตอบพ่อบุญธรรม ว่าพ่อแท้ๆของเขากับไอริณเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนี้คุณอานัทธีก็หน้าตาเหมือนเขามาก จะเป็นไปได้ไหม ที่คุณอานัทธีจะเป็นพ่อของเขากับไอริณ ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อารัณก็มองไปที่นัทธีแวบหนึ่ง ดวงตากลอกไปมาอยู่หลายครั้ง

ไม่ได้การแล้ว เขาต้องหาทางเก็บตัวอย่าง DNA ของคุณอานัทธี

รอพ่อบุญธรรมกลับมา ให้พ่อบุญธรรมช่วยตรวจดีเอ็นเอให้

ทางฝั่งนี้ พิชิตก็ได้ตรวจบาดแผลให้วารุณีเรียบร้อยแล้ว และกำลังพันแผลให้อยู่

หลังจากที่พันแผลเสร็จ เขาก็ยื่นนามบัตรมาใบหนึ่ง “ในช่วงนี้ก็ระวังอย่าให้โดนน้ำ นี่คือที่อยู่โรงพยาบาลของผม พรุ่งนี้มาฉีดยากันบาดทะยัก แล้วมาเปลี่ยนผ้าพันแผลด้วยเลยนะครับ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณคุณหมอพิชิตนะคะ”วารุณีรับนามบัตรมาด้วยสองมือ

พิชิตหยิบทิชชูออกมาสองสามแผ่นแล้วเช็ดไปที่มือ ขณะเดียวกันก็จ้องมองไปที่อารัณกับไอริณสองพี่น้อง“คุณเป็นแม่ของพวกเขา ? ”

“ใช่ค่ะ”วารุณีโอบแขนไปที่เด็กคนละข้าง แล้วมือลูบไปที่ศีรษะของเด็กน้อย

“พวกเขาน่ารักมาก โดยเฉพาะเจ้าเด็กคนนี้” พิชิตมองไปที่อารัณ “เหมือนนัทธีอย่างกับแกะ หากเพราะรู้ว่านัทธีไม่มีลูก ผมคงคิดว่าเขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ”

“มันเป็นเรื่องบังเอิญค่ะ”วารุณีหันมองไปที่นัทธีโดยไม่รู้ตัว

อันที่จริงครั้งแรกที่เธอเจอเขา ก็รู้สึกว่าเขาคล้ายกับอารัณมาก แต่เธอก็รู้ดีว่า เขาไม่มีทางเป็นพ่อของอารัณแน่

เพราะชายคนนั้น เป็นชายชราที่อายุราวๆห้าสิบปีได้

“อ๋อลืมเลย ยังไม่ได้ถามคุณเลยว่าคุณชื่ออะไร” พิชิตทิ้งทิชชูแล้วเอ่ยถามออกไป

“ฉันชื่อวารุณีค่ะ”วารุณีตอบ

“วารุณี……นามสกุลศรีสุขคํา……”พิชิตทวนคำพูดนั้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และรู้สึกขนลุกขึ้นมา “นัทธี ผิดแล้ว เราต่างก็ผิดแล้ว !”

“อะไรผิด?”นัทธีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

พิชิตรีบดึงเขาออกไป“นัทธี นายยังจำเมื่อหลายปีก่อนได้ไหม ที่คุณปู่ของนายให้นายหมั้นกับคุณหนูใหญ่ตระกูลศรีสุขคํา?”

“พิชญาทำไม?”นัทธีมองไปที่เขา

พิชิตยิ้มอย่างขมขื่น “ปัญหาอยู่นี่แหละ คนที่หมั้นกับนายไม่ใช่พิชญา แต่เป็นเธอ!”

เขาชี้ไปที่วารุณีที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

วารุณีเอียงศีรษะไปมา

ดูเหมือนพวกเขากำลังจะพูดถึงเธออยู่

“นายรู้ไหมว่านายกำลังพูดอะไรอยู่ ? ”ดวงตาของนัทธีหรี่ลง จ้องมองไปที่พิชิตอย่างอาฆาตมาดร้าย

พิชิตคลึงไปที่ขมับ “ฉันรู้ เมื่อครู่ฉันก็ยังบอกอยู่เลยว่าหน้าตาเธอคุ้นมาก นั้นมันเป็นเพราะ เธอต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของนายจริงๆ คุณปู่ของนายเคยให้รูปถ่ายคู่หมั้นนายมาใบหนึ่ง ตอนนั้นฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย นายไม่ได้ดูรูปใบนั้นแต่ฉันดูมัน คนในรูปก็คือเธอ!”

เขายังจำได้อีกว่า ตอนนั้นเขายังชมเลยว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลศรีสุขคําสวยมาก

“แล้วเรื่องของพิชญามันยังไงกัน ?”สีหน้าของนัทธีดำดิ่งขึ้นมาทันที

พิชิตเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่เด็ก

เขาเชื่อพิชิต

เพราะฉะนั้นตระกูลศรีสุขคําโกหกเขา!

“ฉันไม่รู้ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ พิชญาไม่ใช่คู่หมั้นของนาย สถานะคุณหนูใหญ่ตระกูลศรีสุขคําของเธอ ต้องมีปัญหาแน่นอน ” พิชิตตอบกลับ

เท่าที่รู้ ตระกูลศรีสุขคํามีลูกสาวหนึ่งคน และลูกชายหนึ่งคน

รูปถ่ายที่คุณท่านสุทธิพงษ์ให้มาเป็นรูปของวารุณี เพราะฉะนั้นวารุณีเป็นลูกสาวของตระกูลศรีสุขคํา

ส่วนสถานะของพิชญา ก็คงต้องรอตัดสินแล้ว !

สิ่งที่พิชิตคิดได้ นัทธีเองก็ย่อมต้องคิดได้ เขาก้าวเดินไปหาวารุณี “คุณเป็นลูกสาวของตระกูลศรีสุขคํา?”

วารุณีรูม่านตาหดเล็กลง ราวกับสงสัยว่าเขารู้ได้ยังไง

“ใช่ใช่ไหม?”นัทธีกำหมัดแน่น

ดวงตาของวารุณีหรี่เล็กลง “ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ”

“หมายความว่าไง?”นัทธีเม้มปากแน่น

วารุณีส่ายหัว ยิ้มอย่างขมขื่น “ประธานนัทธี ฉันพูดไม่ได้”

“พูดไม่ได้……”เห็นได้ชัดว่านัทธีไม่พอใจมากกับคำตอบนี้ของเธอ

แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะบังคับอะไรเธอ

ในเมื่อเธอไม่ยอมพูด งั้นเขาก็จะสืบเอาเอง !

เรื่องคู่หมั้นตัวจริงและตัวปลอมนี้ เขาต้องให้มันกระจ่างให้ได้ !

เมื่อคิดได้ดังนั้น นัทธีก็หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกมานอกร้านอาหาร

“หม่ามี๊ ตระกูลศรีสุขคําที่คุณอานัทธีพูดถึง เป็นที่ที่หม่ามี๊โตมาใช่ไหม ?”อารัณเอ่ยถามออกไป

ไอริณกะพริบตาปริบๆ “ไอริณก็อยากรู้เหมือนกัน”

วารุณีลูบไปที่ศีรษะของเด็กทั้งสอง และไม่ได้พูดอะไร

เธอไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวของตระกูลศรีสุขคําให้ลูกทั้งสองคนได้รู้ และไม่คิดที่จะพูดมันด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องเจ็บปวดที่เธอกับแม่ของเธอและน้องชายไม่อยากที่จะพูดถึง

นานวันเข้า เธอเองก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอคือคนของตระกูลศรีสุขคํา

ในตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนได้เข็นรถเสบียงอาหารมา

บนรถเสบียงเต็มไปด้วยของขวัญทั้งกล่องเล็กและกล่องใหญ่ ที่เห็นเด่นชัดที่สุด ก็คือตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุด

เมื่อไอริณเห็นตุ๊กตาหมี ดวงตาก็เป็นประกาย

“คุณผู้หญิง นี่เป็นของขวัญแทนคำขอโทษของทางร้านเรา ได้โปรดรับเอาไว้ด้วยครับ ”ชายวัยกลางคนถูมือไปมา แล้วพูดออกมาด้วยความจริงใจ

วารุณีพยักหน้ารับ “ของขวัญแทนคำขอโทษนี้ฉันรับไว้ค่ะ แต่ฉันคงต้องไปแล้ว ”

นัทธีคุยโทรศัพท์เสร็จก็เดินกลับเข้ามา และได้ยินคำพูดของเธอพอดี เขาหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนมันไปให้กับพิชิต“ นายไปขับรถออกมา ”

พิชิตเองก็รู้ดีว่าเขาควรจะทำอะไร หมุนกุญแจรถไปมาแล้วตอบตกลง

หลังจากที่เขาไปแล้วนัทธีก็มองไปที่วารุณี “ผมจะไปส่งพวกคุณเอง”

“งั้นก็รบกวนประธานนัทธีแล้ว”วารุณียิ้มออกมาอย่างเกรงใจ

หากเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ เธอก็คงจะปฏิเสธเขา

แต่ตอนนี้เท้าของเธอไม่สามารถที่จะเดินได้ และเธอก็คงไม่โง่พอที่จะพาลูกทั้งสองคนไปโบกรถแน่นอน

นัทธีอุ้มวารุณีขึ้นเหมือนกับที่ทำเมื่อครู่ แล้วเดินไปทางประตูหน้าร้าน

เด็กทั้งสองคนก็เดินจูงมือและตามอยู่ข้างหลัง ภาพนี้ช่างดูเหมือนครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกจริงๆ

ไม้พุ่มที่อยู่ตรงนอกร้านอาหาร มีชายที่ยืนถือกล้องอยู่และรู้จักกับนัทธี เมื่อเห็นเขาอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกมา และในจังหวะที่พาเด็กๆอีกสองคนขึ้นรถ เขาก็ยกกล้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แล้วเก็บภาพทุกอย่างเอาไว้