บทที่ 34 พี่ชายทั้งสอง (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 34 พี่ชายทั้งสอง (รีไรท์)

บทที่ 34 พี่ชายทั้งสอง (รีไรท์)

หนานกงฉีจวินโมโหสุด ๆ เขาจะต้องหาทางเปิดโปงแผนการของพี่หกให้จงได้ จากนั้นจึงรีบตามไปด้วยท่าทางดุดัน

หนานกงฉีรุ่ยยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเดินตามหลังไป

“นั่นผู้ใดอยู่กับเสด็จพ่อ?”

หนานกงฉีจวินมองอีกคนเหมือนจะตำหนิ “เจ้าคิดบ้าอันใด เสด็จพ่อจะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้อย่างไร?”

  

แม้จะยังเป็นเพียงเด็กแปดขวบ แต่หนานกงฉีจวินก็รู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร อีกอย่างเสด็จพ่อทั้งเย็นชาและน่าเกรงขามจนแทบไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ เรื่องพาคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวยิ่งเป็นไปไม่ได้

  

โอรสอย่างพวกเขายังไม่สามารถ นับประสาอะไรกับเหล่าสตรีในวังหลัง

  

“ไม่จริง มีอยู่ผู้หนึ่ง เจ้าไม่เคยได้ยินหรืออย่างไร?”

 

หนานกงฉีจวินสีหน้างุนงง วัน ๆ หนึ่งเขาก็เอาแต่เล่นสนุก หาได้สนใจเรื่องซุบซิบในวัง

  

หนานกงฉีรุ่ยพูดด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา “น้องสาวของเราอย่างไรเล่า”

  

ทั้งสองกระซิบกระซาบกันในระหว่างที่เดินตามเข้าไปด้านในโถงด้านข้าง เมื่อเห็นว่าหนานกงฉีเฉินเดินเข้าไปข้างใน ทั้งสองก็มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะตามเข้าไป ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาก็ได้ยินน้ำเสียงร่าเริงของเจ้าก้อนแป้งดังมาแว่ว ๆ

  

“ท่านพี่!”

  

ทันทีที่เสี่ยวเป่าเห็นหนานกงฉีเฉินก็วิ่งเข้าไปกอด

  

“ท่านพี่มาหาเสี่ยวเป่าอีกแล้ว”

  

เสี่ยวเป่าดีใจมากทั้งยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ท่านพี่ ต้นเฉ่าเหมยของเสี่ยวเป่าออกดอกเล็ก ๆ แล้ว อีกไม่นานมันคงจะโตเต็มที่… ”

  

เพียงได้ยินเสียงใส ๆ หัวใจก็พลันอ่อนยวบ

  

หนานกงฉีเฉินชอบใจกับการที่น้องสาวเดินวนรอบตัวเขา น้องสาวของเขาน่ารักที่สุดในโลก!

  

“ดูสิว่าข้าเอาสิ่งใดมาให้”

  

เขาหยิบแมลงปอไม้ไผ่ออกมาอย่างภูมิใจ “เจ้าสิ่งนี้เล่นสนุกมาก แต่เดี๋ยวข้าจะสอนให้ ข้ายังขอให้เสด็จแม่นำอาหารอร่อย ๆ จากข้างนอกเข้ามาในวังด้วย รออีกสักสองวันข้าจะนำมาให้เจ้าได้ลิ้มลองนะ”

“โอ้โห ท่านพี่ใจดีที่สุดเลย!”

  

เสี่ยวเป่าที่กำลังมองพี่ชายจู่ ๆ ก็ขมวดคิ้ว ทันใดนั้น สายตาก็ปะทะเข้ากับหัวสองหัวที่โผล่ออกมาจากหลังประตู ดวงตาของนางเบิกกว้างทันที

  

“ท่านพี่ พวกเขาเป็นผู้ใดหรือ?”

  

เจ้าก้อนแป้งน้อยชี้นิ้วไปตามทิศทางที่สองคนนั้นแอบอยู่พร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย

  

หนานกงฉีเฉินหันไปมอง ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา

  

“เสี่ยวชี เสี่ยวปา!”

  

เขาเอ่ยชื่อทั้งสองคนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังกัดฟันอยู่

  

เมื่อทั้งสองถูกจับได้ก็หันมองหน้ากัน ลอบสื่อสารกันว่า “เราคงไม่ต้องซ่อนแล้ว” ทั้งสองเดินเข้าไปช้า ๆ แต่สายตายังคงจับจ้องเสี่ยวเป่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

  

หนานกงฉีเฉินเอ่ยตำหนิด้วยความโมโห “พวกเจ้าสองคนแอบตามข้ามา!”

  

หนานกงฉีจวินพยายามกลบเกลื่อนความผิด “พี่หก หลังเรียนเสร็จท่านมักจะแอบออกมาแทบทุกวัน และไม่มาเล่นกับเรา เราย่อมสงสัยมาก หากถามไปตรง ๆ ท่านคงไม่บอก เราถึงได้มาหาคำตอบด้วยตนเอง”

  

หนานกงฉีเฉินมองพวกเขาทั้งสองอย่างไร้ความรู้สึก “ผู้ใดเป็นคนต้นคิด?”

  

หนานกงฉีรุ่ยชี้ไปที่คนข้าง ๆ อย่างไม่ลังเลด้วยสีหน้าเรียบเฉย

  

หนานกงฉีจวิน “!!!”

  

กล้าแทงข้างหลังกันอย่างนี้เลยหรือ?! เสี่ยวปาระเบิดอารมณ์ทันที

  

“ท่านพี่เจ็ด! เป็นท่านชัด ๆ ที่บอกให้แอบตามพี่หกมา!”

  

หนานกงฉีรุ่ยพูดอย่างใจเย็น “ข้าเปล่า”

  

หนานกงฉีเฉินหัวเราะเสียงเย็น “เสี่ยวชี เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าคือคนที่เฉลียวฉลาดที่สุด!”

  

หนานกงฉีรุ่ยเงยหน้ามองนกมองฟ้า* [1] ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่พี่หกพูด

  

แต่ก็เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว…

  

ทั้งสองไม่คิดจะกลับไปตอนนี้แน่ จากนั้นเสี่ยวชีก็มองเสี่ยวเป่าที่หลบอยู่ข้างหลังพี่หกอย่างอยากรู้อยากเห็น

พี่น้องทั้งแปดคนที่เกิดในวังหลวงแห่งนี้ล้วนแต่เป็นชายทั้งสิ้น แม้จะสงสัยในตัวน้องสาวที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า

  

มาวันนี้ได้พบนางแล้วถึงได้รู้ว่า นางช่างแตกต่างจากองค์ชายทั้งหลายยิ่งนัก

  

นางเป็นเด็กสามขวบที่ดูนุ่มนิ่มไปหมด ทั้งยังน่ารักน่าเอ็นดูมาก เนื้อตัวอวบอิ่ม ผิวขาวราวไข่ปอก มวยผมสีดำขลับประดับด้วยหวีอันเล็ก ๆ น่ารัก ขนตาหนางอนงาม แววตาสดใสดูเฉลียวฉลาดเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้

  

ทันทีที่ดวงตาดำขลับของเสี่ยวเป่ามองมาทางหนานกงฉีจวิน เขาก็ต้องตกที่นั่งลำบากเป็นเจ้าหมีน้อยกระสับกระส่ายไปมา

  

หนานกงฉีรุ่ยที่ดูใจเย็นและนิ่งขึ้นเอ่ยแนะนำตัวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเหมือนผู้ใหญ่

  

“ข้าเป็นพี่เจ็ดของเจ้า นามว่าหนานกงฉีรุ่ย”

  

แม้เสี่ยวเป่าจะหลบอยู่ข้างหลังพี่เพราะความประหม่า แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจากสายตาอยากรู้อยากเห็น

  

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเป่าก็เบิกตากว้าง “แล้วท่านเป็นพี่ชายของเสี่ยวเป่าด้วยหรือไม่?”

 

น้ำเสียงที่ใช้ถามทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน

  

น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นแตกต่างจากเสียงของเด็กผู้ชาย มันฟังดูออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ ซึ่งดูน่ารักมาก ๆ

  

หนานกงฉีจวินแทบรอไม่ไหวที่จะแนะนำตัว

  

“ขะ…ข้าเป็นพี่แปดของเจ้า นามว่าหนานกงฉีจวิน”

  

เสี่ยวเป่ายังเกาะติดพี่หกของนางไม่ปล่อย แต่มุมปากกลับค่อย ๆ ยกยิ้มอ่อนหวาน

  

“ท่านพี่เจ็ด ท่านพี่แปด ข้ามีนามว่าหนานกงจิ่นซี แต่เรียกข้าว่าเสี่ยวเป่าก็ได้”

  

จากนั้นทั้งพี่เจ็ดและพี่แปดก็พากันโห่ร้องอย่างดีอกดีใจ โดยเฉพาะเสี่ยวปาที่ตื่นเต้นจนแทบจะกระโดนโลดเต้นราวกับลิง

  

ในที่สุดเขาก็ได้เป็นพี่ชายแล้ว มิหนำซ้ำ เขายังมีน้องสาวที่น่ารักอ่อนโยนด้วย!

 

หนานกงฉีเฉินส่งเสียงฮึดฮัด “หากพวกเจ้าคลายความสงสัยแล้วก็กลับไปเสียเถอะ”

  

หนานกงฉีเฉินได้ยินเสี่ยวเป่าเรียกน้องชายทั้งสองว่าท่านพี่ เขาก็รู้สึกอารมณ์เสียอย่างไรไม่รู้

  

หนานกงฉีจวินไม่ได้เดินจากไปแบบปกติ เพราะเดินออกไปเหมือนไก่ชนที่คอตั้งตลอดเวลา

  

“ข้าไม่ไป เหตุใดถึงเป็นพวกเราที่ต้องไป แล้วท่านเล่าพี่หก เหตุใดถึงไม่ไป?”

  

ฮึ่ม! พี่หกร้ายกาจนัก คิดจะฮุบน้องสาวไว้คนเดียวถึงได้ไม่ยอมให้พวกเขาอยู่เล่นด้วย อีกทั้งยังเป็นน้องสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียด้วย!

  

มนุษย์ย่อมมีสายตาเฉียบแหลมเหมือนสัตว์ป่า แม้เป็นเด็กก็ไม่เว้น น้องสาวทั้งตัวเล็กนุ่มนิ่ม บอบบาง และงดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อย ๆ เพียงน้องสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม* [2] เรียกพวกเขาว่าท่านพี่ก็ได้ใจพวกเขาไปหมดสิ้น

  

ด้านหนานกงฉีรุ่ยก็เดินกลับเข้ามาเงียบ ๆ

  

หนานกงฉีเฉิน “…”

  

“น้องหญิง พวกเจ้าจะไปเล่นที่ใดกันหรือ?”  

เสี่ยวเป่าค่อย ๆ ก้าวออกมายืนข้างพี่หก “เสี่ยวเป่ากำลังจะไปรดน้ำผัก”

  

ก่อนที่หนานกงฉีเฉินจะมา คนตัวเล็กกำลังถือบัวรดน้ำอันเล็กสำหรับใช้รดน้ำผักในสวน

  

ยิ่งเห็นว่าพวกมันโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งพอใจ แม้แต่เหล่านางกำนัลก็ยังชอบมาดูสวนผักขนาดเล็กที่แสนเป็นระเบียบนี้เป็นบางครั้ง

  

เมื่อมาถึงก็พบว่าสวนผักที่ว่ามันสุดยอดมาก ที่นี่มีผักหลายชนิดที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

  

“นี่เป็นดอกไม้ชนิดใด?”

  

เสี่ยวเป่ารีบร่ายยาวถึงผักนานาชนิดในสวนให้คนทั้งสองฟัง ขณะที่สายตาของพวกเขากวาดมองสวนผักที่เขียวชอุ่มด้วยความประหลาดใจ พืชผักนานาสายพันธุ์ในสวนแห่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

  

พวกเขาเคยเห็นเพียงดอกไม้สวยงามในอุทยานหลวง พวกเขาถึงได้คิดว่าพืชพันธุ์ของเสี่ยวเป่าคือดอกไม้

  

“ฮึ่ม! ข้าไม่มีความรู้เรื่องนี้ แท้จริงแล้วเจ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่ดอกไม้นี่เอง”

  

หนานกงฉีเฉินที่รู้เรื่องพวกนี้จากเสี่ยวเป่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังเคยช่วยนางดูแลผักพวกนี้กอดอกมองอย่างภูมิใจ

  

“ทั้งหมดนี้เรียกว่าผัก พวกท่านดูสิ เจ้าพวกใบใหญ่ ๆ นั่นคือผักกาดขาว ส่วนใบเรียวยาวคือหูหลัวปัว แล้วก็มะเขือเทศลูกเล็ก และนั่นก็ถั่วฝักยาว… ”

[1] มองนกมองฟ้า หมายถึง ทำเป็นไม่สนใจ

[2] ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หมายถึง ยังเป็นเด็ก