บทที่ 35 อาจารย์กับลูกศิษย์

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

นางตาฝาดไปรึ หน้าของนังคนชั้นต่ำนั่นดูขาวขึ้นหรือเปล่า 

เฮ่อเหลียนเหมยอารมณ์เสียเป็นที่สุดเมื่อความสนใจของนางถูกคนไร้ค่าเช่นนั้นแย่งไป ความเย็นชาวาบผ่านดวงตาของนาง “ไม่รู้ว่านังคนไร้ค่านั่นหาอาจารย์มาสอนตัวเองได้อย่างไร แต่นางดูต่างออกไปจากเดิมอย่างน่าประหลาด” 

“น้องสาว เจ้าไม่ต้องห่วง” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่ารอบตัวไม่มีใครอยู่ นางก็ประสานมือเข้าหากัน แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่เตรียมการทุกอย่างเอาไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้จับคู่กับนังคนไร้ค่านั่น ต่อให้เจ้าไม่ทำอะไร แต่เมื่อถึงเวลาทดสอบ เจ้าก็ยังสามารถทำให้นางขายหน้าได้ นางยังทำให้ลูกแก้วส่องแสงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” 

เมื่อเฮ่อเหลียนหมยนึกถึงภาพนั้นมุมปากของนางก็กระตุกขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย… 

“ข้าขอประกาศว่าการทดสอบพลังลมปราณเริ่มขึ้นแล้ว!” 

เมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศ ชายชราผมสีดอกเลา และมู่หรงฉางเฟิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้พร้อมกัน เสื้อคลุมสีขาวของพวกเขาโบกสะบัด 

สายลมจากทั้งสี่ทิศคล้ายหยุดนิ่งอยู่กับที่ บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ทำให้จิตใจของทุกคนสงบลงโดยไม่รู้ตัว 

วัตถุโปร่งใสคล้ายทรงกระบอกค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากบริเวณกึ่งกลางของเวทีประลอง มันมีพื้นผิวเป็นสีเงิน และส่องแสงสว่างจางๆ ออกมา ด้านบนสุดของมันมีลูกแก้วขนาดพอๆ กันวางอยู่ ลูกแก้วลูกนั้นใสจนมองทะลุได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

ทุกคนค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวทีทีละคนเหมือนกับตอนที่ตรวจร่างกายในยุคปัจจุบัน พวกเขาเพียงแค่วางมือของตนลงบนลูกแก้ว ปลุกพลังที่อยู่ในร่าง แล้วถ่ายเทมันเข้าไปในนั้น วัสดุชนิดพิเศษภายในลูกแก้วจะแสดงปฏิกิริยากับผู้ที่สัมผัสมัน หากธาตุของคนคนนั้นเป็นทอง ลูกแก้วจะเปลี่ยนเป็นแสงสีเหลืองกระจ่าง แต่หากคนคนนั้นเป็นธาตุไฟ ลูกแก้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิง ส่วนระดับพลังสูงหรือต่ำนั้นจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสงที่ลูกแก้วเปล่งออกมา ยิ่งสว่างมากเพียงใด ระดับพลังปราณก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น แต่ยิ่งลูกแก้วหม่นแสงเพียงใด ระดับพลังปราณก็จะยิ่งต่ำไปด้วยนั่นเอง 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองลูกแก้วที่สว่างบ้างมืดบ้าง และมองแสงที่สะท้อนไปรอบบริเวณนั้น นางคิดในใจแค่ว่า วันใดที่นางออกจากสำนักไท่ไป๋ นางจะต้องเอาลูกแก้วคริสตัลลูกนี้ติดมือไปด้วย ลูกแก้วที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างไร้ที่ติเช่นนี้คงไม่โผล่มาให้เห็นบ่อยนัก… 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันหน้ามามองนาง ดวงตาอันลึกล้ำของเขาดูเหมือนจะมองทุกคนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่าเขาจะรู้ถึงสิ่งที่นางคิดอยู่ในหัวหรือไม่ มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แสงในดวงตาของนางเป็นประกายวิบวับ 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็นท่าทางของนาง คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงหมุนถ้วยชาในมือช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย… 

“คู่ต่อไป เฮ่อเหลียนเหมยจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ พบกับ เฮ่อเหลียนเวยเวย!” 

น้ำเสียงเย็นชาของมู่หรงฉางเฟิงดังกังวาน และฟังดูราบเรียบราวกับว่าเขากำลังอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาในเวลานี้มีความดูถูกแฝงอยู่เล็กน้อย 

เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นจากที่นั่ง นางพับแขนเสื้อข้างซ้ายของตนขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย 

ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่นางอีกครั้ง ทุกคนต่างจ้องมองเด็กสาวเพียงผู้เดียวที่มีสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ แต่กลับเกิดมาโดยไร้ซึ่งพลังปราณ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยสายตาดูแคลน 

เฮ่อเหลียนเหมยยิ้มพลางมองไปรอบๆ ความพึงพอใจที่อยู่บนใบหน้าของนางนั้นยากที่จะปิดบังเอาไว้ได้ นางรอจนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจึงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “นังคนชั้นต่ำ เจ้าคงไม่ได้คิดอะไรโง่ๆ อย่างการกลับไปมองมู่หรงซื่อจื่ออีกแล้วใช่ไหม ข้าขอแนะนำให้เจ้าเลิกฝันกลางวันไปเสียดีกว่า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าท่านปรมาจารย์ที่ยืนอยู่บนนั้นคือผู้ใด” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองชายชราที่ยืนอยู่ข้างลูกแก้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจเรื่องที่เฮ่อเหลียนเหมยยกขึ้นมาพูดเลยด้วยซ้ำ 

เฮ่อเหลียนเหมยทนเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางไม่ไหว นางมองอีกฝ่ายด้วยความหยิ่งยโส”เขาเป็นถึงปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลงเชียวนะ ความแข็งแกร่งของเขานั้นต่อให้ใช้ทั้งชีวิตของเจ้าก็ยังเทียบเขาไม่ติดฝุ่นด้วยซ้ำ แต่ท่านผู้นี้กลับปฏิบัติกับพี่รองต่างจากคนอื่น แล้วเจ้ายังคิดที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่รองอยู่อีกหรือ น่าขันสิ้นดี!” 

นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปเล็กน้อย 

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของเฮ่อเหลียนเหมยไปได้ นางเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจราวกับตนเป็นผู้ชนะว่า “หืม ตอนนี้เจ้ารู้จักกลัวเป็นแล้วหรือ ว่ากันว่าปกติท่านปรมาจารย์จะปิดบังตัวตนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ และเขาก็ไม่เคยเปิดเผยตัวต่อหน้าใครมาก่อน ครั้งนี้เขามาปรากฏตัวที่นี่ก็เพราะพี่รองแน่ๆ ฮ่าๆเจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ ขอเดาว่าเจ้าคงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นท่านปรมาจารย์มาก่อนเลยล่ะสิ” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ แต่ทำเพียงปรายตาขึ้นมองชายชราที่กำลังมองนางอยู่เท่านั้น มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย นางควรบอกเฮ่อเหลียนเหมยหรือเปล่าว่าท่านปรมาจารย์ที่เฮ่อเหลียนเหมยบอกว่านางคงไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสได้เห็นหน้ามาก่อนนั้น แท้จริงแล้วเป็นอาจารย์ของนางเอง… 

เมื่อเฮ่อเหลียนเหมยเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้า นางก็ยิ่งได้ใจ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังรู้จักกลัวเป็นเหมือนกัน แบบนี้ล่ะดี! 

เพียงแต่นางไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ก้มลงต่ำของเฮ่อเหลียนเวยเวย มุมปากของนางเหยียดกว้างขึ้น รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย ไม่สนใจ และยากจะหยั่งถึง ซ้ำยังดูไม่แยแสสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งเดียวที่นางไม่มีก็คือความกลัว 

ในตอนนี้ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณด้านข้างของลูกแก้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหลียนเหมยรับลูกแก้วมาก่อนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย นางส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาไปทางผู้เฒ่าทั้งสอง พลางโค้งคำนับอย่างสุภาพ “คารวะท่านผู้เฒ่าทั้งสองเจ้าค่ะ” 

เมื่อเทียบกับเฮ่อเหลียนเหมย เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยดูท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าใดนัก 

ท่านปรมาจารย์จ้องมองนางด้วยสีหน้าเศร้าใจ เขาคิดว่าลูกศิษย์คนดีของตนจะดีใจมากที่ได้พบเขาที่นี่จนกระโดดตัวลอยโผเข้ามากอดเขา แล้วทำให้เจ้าพวกนั้นอิจฉาจนกระอักเลือดตายเสียอีก! 

แต่ทำไมลูกศิษย์… ทำไมนางถึงได้ทำตัวเฉยชากับเขาถึงเพียงนี้ 

เป็นไปได้หรือไม่ว่านางไม่พอใจที่เขามาดูการทดสอบของนางด้วยตัวเอง 

ลองคิดดูแล้วก็น่าจะเป็นไปได้ทีเดียว ลูกศิษย์คนนี้ของเขาก็ไม่ได้ชอบทำตัวเด่นมาแต่ไหนแต่ไร และก่อนหน้านี้ก็เคยเตือนเขาเอาไว้ด้วยว่าอย่าเปิดเผยเรื่องที่เขากับนางเป็นศิษย์อาจารย์กันกับผู้อื่น 

เฮ้อ… ในที่สุดเขาก็รับลูกศิษย์ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่นางกับเขายังต้องทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ 

“อะแฮ่ม!” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นข้างๆ ปาก แล้วพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาโศกเศร้าของชายชราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก่อนการทดสอบ ข้าอยากจะพูดอะไรกับท่านปรมาจารย์เป็นการส่วนตัวสักสองสามคำ” 

เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฉางเฟิงไม่คิดมาก่อนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะขออะไรเช่นนี้ หลังจากตั้งสติได้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ 

ทุกคนเบ้ปากด้วยความรังเกียจ เพราะการกระทำในเวลานี้ของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น ในสายตาของพวกเขาทุกคนต่างก็มองว่ามันเป็นแค่การประจบประแจงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งพวกเขาเห็นสายตาของนางแล้วก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นเรื่อยๆ หึ รอให้นังคนไร้ค่านั่นทำให้ตัวเองหน้าแตกก็แล้วกัน ใครๆ ก็รู้ว่าท่านปรมาจารย์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนมากเพียงใด เขาไม่มีความเอ็นดูต่อคนที่อายุน้อยกว่า และยังเกลียดชังคนช่างประจบเอาใจแบบนี้เป็นที่สุด รอดูแล้วกันว่าท่านปรมาจารย์จะจัดการกับนางอย่างไร! 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง นิ้วทั้งห้าที่เท้าคางอยู่แตะคางของตนเป็นจังหวะ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ในดวงตาของเขามีแสงแสงหนึ่งวาบขึ้น… 

มู่หรงฉางเฟิงที่ดูท่าทางไม่อยากจะพูดอะไรกับเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วหนาของตนเข้าหากัน และกำลังจะอ้าปากตอบ 

แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงทุ้มลึกของท่านปรมาจารย์ดังขึ้นเสียก่อน “ได้สิ” 

คำพูดเพียงคำเดียวขัดขวางคำพูดทุกคำของมู่หรงฉางเฟิงเอาไว้ แต่ก็เห็นว่าสีหน้าของท่านปรมาจารย์ดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง จะต้องเป็นเพราะความโกรธที่เขามีต่อนังคนไร้ค่านั่นเป็นแน่ 

เป็นอีกครั้งที่มู่หรงฉางเฟิงรู้สึกว่าโชคดีที่ตนยกเลิกการหมั้นกับนางไป 

เพราะผู้หญิงช่างประจบสอพลอเช่นนี้ หากได้รู้จักแล้ว ไม่ว่าใครก็คงอยากจะเอาออกไปจากชีวิตกันทั้งนั้น นางไม่คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว!