ตอนที่ 33 แม่เถียหนิวถามราคาบ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 33 แม่เถียหนิวถามราคาบ้าน

หลินม่ายรีบตรงกลับบ้าน วางของที่ซื้อมาไว้ในห้องของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งปรี่ไปยังท่าเรือเยวี่ยฮั่นอย่างไม่หยุดพัก

แม่เถียหนิวเห็นหลินม่ายแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เธอกลับมาแล้ว วันนี้จู่ ๆ ก็มีร้านขายธัญพืชคั่วผุดขึ้นมาหลายร้าน เล่นงานจนกิจการของเราเงียบเหงาไปเลย”

วันนี้พวกนางสองแม่ลูกเปิดร้านมาได้เกินครึ่งวันก็ยกเลิกความคิดที่จะแยกตัวออกไปเปิดร้านของตัวเองโดยสิ้นเชิง

อย่าว่าแต่ความเฉลียวฉลาดของชาวเมืองที่รับมือได้ยากแล้ว เจอคนซื้อเยอะเข้าหน่อย พวกเขายังทำไม่ได้แม้แต่จะคิดเงิน เรื่องค้าขายคงไม่เหมาะกับพวกเขาแล้ว

แต่แม่เถียหนิวใช้ชีวิตโดยไม่เสียชาติเกิด นางพูดความจริงกับหลินม่ายไม่ได้ แบบนั้นเท่ากับว่าพวกเขาสองแม่ลูกไร้ความสามารถอย่างชัดเจน จึงทำเพียงผลักภาระไปให้คนรอบข้าง

โชคดีที่วันนี้มีร้านขายธัญพืชคั่วผุดออกมามากมาย ไม่อย่างนั้นนางคงปัดความรับผิดชอบนี้ไม่ได้

หลินม่ายยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด เปลี่ยนหน้าที่กับแม่เถียหนิวแทน

เธอเริ่มตะโกนโหวกเหวกในพื้นที่แห่งนี้ “เกาลัดคั่วจ้ะ เกาลัดหอม ๆ หวาน ๆ ชั่งละห้าเหมาจ้ะ”

สองแม่ลูกเถียหนิวยืนอึ้งไปชั่วขณะ “ม่ายจื่อ ชั่งละสี่เหมาก็ยังขายไม่ออกเลยนะ มาขายชั่งละห้าเหมา จะมีคนซื้อเหรอ?”

หลินม่ายคันปากอยากพูดมากว่าถึงพวกคุณขายไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะขายไม่ได้

เธอยิ้ม “ลองดูน่ะค่ะ”

ลูกค้าประจำคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมเกาลัดพวกเธอยิ่งขายยิ่งแพง?”

หลินม่ายเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เธอคิดว่าฉันอยากขึ้นราคาเหรอ ราคาเกาลัดดิบต่างก็เพิ่มสูงขึ้นทั้งนั้น ฉันก็แค่เพิ่มราคาตาม และต่อให้ราคาเกาลัดดิบจะเพิ่มขึ้น แต่ก็รับมาได้ไม่เยอะ วันนี้แย่งมาได้ไม่ถึงสองพันชั่ง แล้วไอ้จำนวนสองพันชั่งนี่ก็ไม่รู้จะขายได้กี่วันด้วย”

ลูกค้าประจำคนนั้นมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครุ่นคิด แต่ไม่ซื้อ

เดินออกไประยะหนึ่งแล้วก็วกหัวกลับมาอีกครั้ง ซื้อเกาลัดไปครึ่งชั่ง พลางพูดแก้หน้าว่า “ฉันน่ะชอบกินเกาลัดร้านเธอที่สุดแล้ว ไม่ซื้อก็เสียดาย”

หลินม่ายตอบ ‘อื้อ ๆ ’ สองเสียง แต่กลับไม่ได้โน้มน้าวให้หล่อนซื้อเพิ่ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อเพิ่มไปอีกหน่อยแล้ว

ลูกค้าที่มาซื้อเกาลัดคนนั้น เดินพลางหันกลับมามองหลินม่าย

พร้อมกับครุ่นคิดในใจ ‘หรือว่าที่ร้านนี้พูดจะเป็นความจริง เกาลัดหล่อนเหลือไม่เยอะแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมด กังวลว่าจะขายไม่พอ เลยไม่ได้โน้มน้าวให้ซื้อเยอะขึ้น’

เมื่อลูกค้าคนนั้นเดินจากไป หลินม่ายก็ยื่นเงินให้แม่เถียหนิว ให้หล่อนช่วยไปซื้อกระทะใบเล็ก ทัพพีเหล็กสำหรับทอดขนมฉาวเมี่ยนวอ แล้วก็ตะแกรงสแตนเลสสสะเด็ดน้ำมันในตลาดมืด พรุ่งนี้เธอจะทอดขนมฉาวเมี่ยนวอขาย

ทั้งยังกำชับหล่อนอีกว่า ถ้าซื้อของเหล่านี้ไม่ได้ ให้เรียกหญิงสาวในหมู่บ้านไปเป็นเพื่อนหล่อน

แม่เถียหนิวรับเงินจากไป

ตกบ่ายประมาณสี่โมงเศษ คุณปู่ฟางก็นั่งรถแทรกเตอร์มาส่งของ

หลินม่ายจึงนำของบำรุงที่ซื้อให้เขากับคุณย่าฟางรวมทั้งเสื้อขนสัตว์ฝากไปกับเขาด้วย 

คุณปู่ฟางบ่นอุบอิบ “เธอจะสิ้นเปลืองทำไม เธอยัง….”

สามคำที่ว่า ‘ต้องซื้อบ้าน’ สุดท้ายเขาไม่ได้โพล่งออกมา เพราะยังมีคนอื่นร่วมอยู่ด้วย

วันนี้สองแม่ลูกเถียหนิวทำการค้าค่อนข้างถ่วงแข้งถ่วงขา หลินม่ายขายเกาลัดที่เหลือจำนวนแค่สี่ร้อยกว่าชั่งจนถึงสองทุ่มก็เก็บร้าน

โชคดีที่เกาลัดที่เหลือนั้นมีไม่มากนัก เพราะเหตุนี้หลินม่ายจึงไม่ค่อยร้อนใจ

ตกค่ำเก็บของกลับบ้าน แม่เถียหนิวได้จัดการส่งเด็กน้อยเข้านอนแล้ว ตัวหล่อนนั่งกะเทาะเปลือกเกาลัดอยู่ใต้แสงไฟ

ก่อนจะเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “ม่ายจื่อ เธอรีบซื้อมันเทศมากมายขนาดนี้ไปทำไม?”

“ทำขนมฉาวเมี่ยนวอขายค่ะ”

“ขนมฉาวเมี่ยนวอคืออะไร?” แม่เถียหนิวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

ขนมฉาวเมี่ยนวอเป็นขนมกินเล่นของเมืองเจียงเฉิง แม้เมืองซื่อเหม่ยจะอยู่ห่างเมืองเจียงเฉิงไม่ไกลลัก แต่ก็ไม่มีขนมชนิดนี้ให้เห็น ดังนั้นนางจึงไม่รู้จัก

หลินม่ายอธิบายคร่าว ๆ จากนั้นก็ไปล้างทำความสะอาดมันเทศ เพื่อเตรียมไว้สำหรับทำขนมฉาวเมี่ยนวอในวันพรุ่งนี้

แม่เถียหนิวให้เถียหนิวกะเทาะเปลือกเกลัด ส่วนนางกับหลินม่ายช่วยกันล้างทำความสะอาดมันเทศ

ขนมฉาวเมี่ยนวอหนึ่งชิ้นต้องใช้มันเทศประมาณสองลูก หลินม่ายตั้งใจว่าจะขายให้กับกลุ่มวัยทำงานที่ต้องเดินทางไปทำงานด้วยเรือข้ามฟากในตอนเช้า ดังนั้นจึงวางแผนไว้ว่าจะขายมันเทศแค่หนึ่งร้อยชั่งเท่านั้น

ขนมฉาวเมี่ยนวอต้องใช้มันเทศที่ปอกเปลือกแล้ว

มันเทศหนึ่งร้อยชั่งหลังจากปอกเปลือกแล้วเหลือน้ำหนักเพียงแปดสิบชั่งเท่านั้น น่าจะพอทอดขนมฉาวเมี่ยนวอได้ประมาณสี่ร้อยชิ้น

เมื่อถึงเช้าตรู่ ขนมฉาวเมี่ยนวอจำนวนสี่ร้อยชิ้นน่าจะขายหมดอย่างง่ายดาย

แม่เถียหนิวล้างมันเทศพลางถามว่า “ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกัน ว่าเธอซื้อบ้านหลังนี้ เรื่องจริงไหมจ๊ะ?”

ในเมื่อรู้กันแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

หลินม่ายเอ่ยว่า “ไม่ได้ซื้อจ๊ะ แค่เซ็นสัญญากับเจ้าของบ้านไว้ ถ้าฉันไม่จ่ายเงินตามกำหนด บ้านหลังนี้จะตกเป็นของเจ้าของเหมือนเดิม”

แม่เถียหนิวตั้งใจซักถามถึงต้นตอ “แล้วบ้านหลังนี้ราคาเท่าไหร่?”

หลินม่ายกัดฟันตอบกลับ “คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางยังไม่เคยถามถึงเรื่องนี้เลยนะคะ”

แม่เถียหนิวยิ้มอย่างลำบากใจ แต่ในใจกลับคิดว่าหลินม่ายจะต้องจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้จนครบแล้วแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนในหมู่บ้านจะเที่ยวพูดว่าบ้านหลังนี้เป็นของเธอทำไม

แต่เธอกลับปิดบังนาง จึงบังเกิดอุบายลึก ๆ ในใจ

นางเกิดความกังวลลึก ๆ ในใจ  หลินม่ายซื้อบ้านในเมืองแล้ว คาดว่าคงยากจะตกหลุมรักลูกชายจอมโง่เขลาของนางแล้ว

เมื่อถึงตอนตีห้าในวันรุ่งขึ้น หลินม่ายก็ตื่นนอนแล้ว ก่อนจะเดินย่องให้เบาที่สุดไปยังห้องครัว

เธอนำมันเทศที่ล้างจนสะอาดแล้วเมื่อคืนมาปอกเปลือกอีกห้าสิบชั่ง หั่นเป็นลูกเต๋า ใส่เครื่องปรุงเตรียมไว้

จากนั้นก็นำอุปกรณ์สำหรับไว้ขายขนมฉาวเมี่ยนวอขนขึ้นรถเข็น แล้วแอบไปเปิดแผงขายที่ท่าเรือเพียงลำพัง

เวลาประมาณหกโมงเศษก็มาถึงท่าเรือแล้ว นอกจากพนักงานทำความสะอาด ก็แทบไม่เห็นใครเลย

แต่หลินม่ายรู้ดี รอให้เรือข้ามฟากเที่ยวแรกตอนหกโมงมาถึงท่าเรือ เหล่าผู้โดยสารต่างต้องลงเรือ ท่าเรือแห่งนี้ก็จะเริ่มคึกคัก

หลินม่ายรีบทำเวลาในการเตรียมตัว ในตอนที่ผู้โดยสารกลุ่มแรกต้องลงเรือเธอก็ทอดขนมฉาวเมี่ยนวอไปได้หลายชิ้นแล้ว

กลิ่นหอมของน้ำมันพืชอวลกระจาย หลังจากที่ทอดจนร้อนแล้วมันก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

ประกอบกับในตอนที่ยกขนมฉาวเมี่ยนวอสะเด็ดน้ำมันขึ้นมา มันก็ส่งกลิ่นหอมหวานเย้ายวนชวนน้ำลายสอ ดึงดูดกลุ่มคนวัยทำงานที่กำลังหิวเข้ามาไม่น้อย

ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่พุ่งตัวเข้ามาคือวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน วัยรุ่นเหล่านี้ยังไม่มีภาระต้องดูแลครอบครัว ความกดดันน้อย ดังนั้นจึงตัดใจซื้อกินอย่างง่ายดาย

วัยรุ่นเหล่านั้นได้รุดหน้าเข้ามาเอ่ยถามยังแผงขายของหลินม่ายว่า “ขนมฉาวเมี่ยนวอชิ้นละเท่าไหร่?”

“ชิ้นล่ะหนึ่งเหมาจ้ะ ไม่ต้องใช้คูปองธัญพิชด้วย”

ขนมฉาวเมี่ยนวอนั้นอมน้ำมันมาก ชิ้นละหนึ่งเหมาไม่ถือว่าแพง 

เด็กสาวผู้ไม่ค่อยกินข้าวซื้อหนึ่งชิ้นก็ถือว่ากำลังดี ส่วนเด็กผู้ชายที่กินข้าวเป็นกะละมังเห็นจะได้ซื้อมากสุดสามชิ้นก็อิ่มแล้ว

ยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมฉาวเมี่ยนวอหรือปาท่องโก๋ ล้วนแต่มีกันเกลื่อนกลาดกว่าสิบปีก่อน

สิ่งสำคัญเลยคือการไม่ใช่คูปองธัญพืช

คนในเมืองไม่ค่อยได้ใช้คูปองธัญพืช แต่กลับใช้เงินเป็นปัจจัยหลัก 

การไม่รับคูปองนั้นหมายความว่าไม่เอาเปรียบผู้อื่น ขนมฉาวเมี่ยววอของหลินม่ายมีแค่เงินก็ซื้อได้

ขนมฉาวเมี่ยนวอที่ทอดเสร็จแล้วหลานสิบชิ้นถูกขายจนหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสองนาที คนที่มาช้าทำได้แค่ต้องรอ

หลังจากที่ผู้โดยสารกลุ่มแรกสลายตัวไป หลินม่ายได้ขายขนมฉาวเมี่ยววอไปแล้วหกสิบชิ้น

ทิ้งระยะห่างจากเรือข้ามฟากเที่ยวละยี่สิบนาที หนึ่งชั่วโมงมีสามรอบ สามรอบก็น่าจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอได้เกือบสองร้อยชั่ง

จากหกโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า ขายไปแล้วประมาณสี่ร้อยชั่ง เมื่อขายขนมฉาวเมี่ยนวอจำนวนหนึ่งร้อยชั่งหมด ก็เปิดร้านขายเกาลัดต่อ สมบูรณ์แบบ!

เวลาล่วงเลยมาถึงเจ็ดโมงเศษ แม่เถียหนิวพาสองจิ๋วกินข้าวจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ยกมันเทศหนึ่งถาดใหญ่มา นี่คือมันเทศที่หลินม่ายได้มอบหมายให้นางทำเมื่อคืน

แม่เถียหนิวบ่นอุบที่หลินม่ายไม่ปลุกนางมาช่วย

แต่เมื่อเห็นสองจิ๋วจ้องมองขนมฉาวเมี่ยนวอที่วางอยู่บนตะแกรงสะเด็ดน้ำมันด้วยความอยากกระหาย จึงหยิบให้คนละชิ้น กรำชับพวกเขาระวัง เดี๋ยวจะลวกมือ

แล้วก็เอ่ยกับแม่เถียหนิว่า “เสร็จเรื่องแล้ว พี่เถียหนิวช่วยฉันคั่วเกาลัดขาย ส่วนคุณป้าก็ช่วยจัดการงานบ้านและกะเทาะเปลือกเกาลัด เพิ่มงานให้คุณป้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

แม่เถียหนิวเอ่ย “คนกันเองทั้งนั้น จะอะไรนักหนา?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เพราะคนกันเองนี่แหละค่ะ ถึงเอาเปรียบกันไม่ได้”

แม่เถียหนิวยื่นอาหารเช้าที่นำมาให้แก่หลินม่าย ให้เธอรีบกินตอนร้อน ๆ 

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่มีเวลากินแล้ว ประเดี๋ยวขายเสร็จค่อยกินขนมฉาวเมี่ยนวอก็แล้วกัน”

แม่เถียหนิวทำได้แต่เก็บข้าวกล่อง และพาสองจิ๋วกลับบ้าน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขนาดปู่ย่ายังไม่ถามมากขนาดนี้เลย แล้วป้าเป็นใครคะ ทำใจเถอะ ม่ายจื่อไม่มองลูกป้าแน่นอน

ขายขนมไปด้วยขายเกาลัดไปด้วยท่าจะรุ่งนะคะ

ไหหม่า(海馬)