แย่แล้ว แย่แล้ว ราส แบบนี้แย่มาก ๆ เลย

‘มันแน่นอนสิ รู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรลงไปน่ะ เจ้าเด็กผี’

ราสตะโกนขึ้นอัดใส่ซะจนทำเอาผมสะดุ้งตัวหงอ ยังไม่นับเสียงโวยวายอีกจำนวนมากที่ตามมาจากเรื่องที่ผมเผลอก่อไปอย่างไม่รู้ตัว

อย่ามาว่าผมนะ ใครจะไปรู้ล่ะว่าการเสริมพลังของนักบุญมันจะรุนแรงทะลวงขีดจำกัดจนคุมไม่ได้เบรกแตกแบบนี้น่ะ ถ้ารู้ผมก็ไม่ใช้มันหรอก

แต่เรื่องของเจ้านกปากมากนี่ช่างมันไปก่อน สิ่งที่จำเป็นของผมตอนนี้ก็คือหาทางทำอย่างไรเพื่อแก้สถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อน เพราะสภาพตอนนี้ที่เกิดขึ้น ขืนปล่อยไปเขาจะหาว่าเด็กรังแกผู้ใหญ่

ใช่แล้ว สภาพของผมตอนนี้คือออโรร่าน้อยที่กำลังยืนชี้ดาบใส่ท่านอาจารย์ของซิลเวียซึ่งกำลังพยายามประคองตัวขึ้นจากหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยพลังดาบศักดิ์สิทธิ์ที่คุมไม่อยู่

หากสภาพมันยังเลวร้ายไม่พอก็ขอให้เพิ่มฉากของดาบที่เรืองแสงจ้าให้อารมณ์พร้อมระเบิดพลังอยู่ตลอดเวลาสิ ฉิบหายกว่าเดิมมากเท่าตัว แบบนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนออโรร่าน้อยพร้อมสับคอท่านอาจารย์เป็นแน่

“ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทกับท่านนักบุญ ดูเหมือนจะทำผิดครั้งใหญ่แล้วสิ”

“เรื่องนั้น….”

‘ก่อนจะพูดอะไร ช่วยคลายพลังก่อนได้ไหมยัยหนู ไม่งั้นเพื่อนเจ้าที่อยู่ตรงนั้นคงสงบสติไม่ได้’

หลังเจ้าราสพูดก็เรียกสายตาของผมให้หันไปทางซิลเวียที่ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพลนลานคุมตัวไม่อยู่ ใบลหน้าของเธอทั้งเต็มไปด้วยความสับสนและความหมองหม่นจนผมรู้สึกผิดมาก ๆ เพราะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ

คิดได้แบบนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ก็สลายไปตามความต้องการของผม นั่นทำให้สายตาระวังของท่านอาจารย์ดูคลายลงไปพอสมควร

“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เพราะว่าเรานั้นไม่ถือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้นหรอก”

“แต่ก็เล่นเอาซะข้าย่ำแย่เลยนะ”

“นั่นน่ะ…. หนูไม่ได้คิดอยากจะให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ”

“หมายความว่าอย่างไรเหรอท่านนักบุญ”

นั่นสิ จะอธิบายเขาอย่างไรดีนะ ขืนบอกว่าตัวเองคุมพลังไม่ได้ไป มีหวังโดนเอาไปนินทาตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยแน่เลย ให้ตายสิ

“จริงอยู่ว่าหนูอยากประลองดาบ แต่ว่าพลังอันมหาศาลนั่นน่ะมาจากพระเจ้าค่ะ พระองค์ที่ส่งพลังอันมากมายเกินกว่าที่หนูควรจะได้รับก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรอกนะคะ… ประสงค์ของท่านน่ะยากจะคาดเดาจริง ๆ ค่ะ”

ใช่ พอนึกได้ว่าพลังมหาศาลนี่ที่มาเยอะกว่าที่ควรจะเป็น มันต้องเป็นแผนแกล้งผมของพระเจ้าแน่ ๆ ถึงจะอยากบ่นไปก็บ่นไม่ได้ ไม่งั้นได้กลายมาเป็นการสรรเสริญมันพอดี เพราะงั้นพูดความจริงแค่บางส่วนไปคงพอแล้วล่ะมั้ง

“งี้นี่เอง เพราะข้าลบหลู่นักบุญที่พระองค์รักที่สุด จึงลงทัณฑ์ข้าผ่านท่านนักบุญเองสินะ นึกไม่ถึงว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง”

ไหงมันมาทางนั้นได้ล่ะ

อาจารย์ท่านจู่ ๆ ก็มองเรื่องความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของผมกลายเป็นการลงโทษจากพระเจ้าซะอย่างงั้น นี่ผมควรปล่อยไปเลยหรือแก้ไขกันนะเนี่ย

‘ให้พูดตามตรงนะ ยัยหนู… เจ้าไม่พูดอะไรจะเป็นกุศลของโลกที่สุดแล้วล่ะ’

จ้า ท่านอาจารย์ที่เคารพ

“เอ่อเรื่องนั้นหนูว่าเราไปทำแผลกันก่อนดีกว่าไหมคะ”

ซิลเวียเดินเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ตรงที่ผมกับอาจารย์กำลังจ้องกันอยู่ ซึ่งใบหน้าของเธอนั้นดูสั่นเทาคล้ายร้องไห้จริงจังมาก ไม่พอยังเห็นได้ชัดเจนว่าเธอกำลังหลบหน้าผมอยู่

เหมือนจะเป็นเรื่องแล้วสิเนี่ย

แน่นอนว่าพวกเราหยุดการประลองกันไว้ก่อนเพื่อไปทำแผลให้ท่านอาจารย์ก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าซิลเวียจะเป็นคนจัดการให้แต่ผมก็รู้สึกผิดจึงอาสาใช้เวทรักษาในการจัดการทว่าท่านอาจารย์ขอปฏิเสธโดยให้เหตุผลมาว่า

“ข้าเพิ่งโดนพระองค์ท่านลงโทษมา ไม่รู้ว่าพระองค์ให้อภัยข้าเหรอยัง เช่นนั้นแล้วข้าว่าอย่าเลยดีกว่าท่านนักบุญ”

ให้ตายสิ ถึงเจ้าหมอนั่นจะเป็นพระเจ้าที่ขี้ใจน้อยแต่ก็คงไม่สติแตกแอบเปลี่ยนเวทรักษาเป็นเวททำลายล้างหรอก

อ๊ะ…

“พระองค์นั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าความผิดอันใดท่านนั้นเปี่ยมล้นด้วยเมตตา มิมีวันที่จะแปรเปลี่ยนการรักษาเป็นการทำร้ายผู้คนได้ค่ะ”

“สมเป็นนักบุญผู้เปี่ยมล้นด้วยศรัทธาจริง ๆ”

ผมไม่อยากให้เรื่องมันมั่วไปกว่าเดิม จึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มแห้ง ๆ ให้กับท่านอาจารย์ไป

“ข้าลืมแนะนำตัวไปเลยท่านนักบุญ ข้าเอลดราน วัลเตอร์ นักดาบพเนจรคนหนึ่งน่ะ”

“ออโรร่าค่ะ”

หลังจากเข้ามาในบ้านพักของอาจารย์เอลดราน ซิลเวียก็ได้จัดเเจงทำแผลให้เขา ส่วนผมก็ได้แต่นั่งแกว่งขาเล่นในห้องนั่งเล่นแก้เบื่อ ตาที่กวาดไปมองรอบ ๆ ก็มองเห็นว่าบ้านของเอลดรานนั้นช่างเป็นบ้านที่จืดเอามาก ๆ

ทำไมน่ะเหรอ เพราะนอกจากข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันกับดาบที่ตั้งแขวนเอาไว้ก็แทบไม่มีของอย่างอื่นเลยน่ะสิ

ไม่สิ บางทีผมอาจจะอยู่กับความหรูหรามากไปจนมองบ้านปกติเป็นแปลกประหลาดไปแล้ว นี่เหรอเขาบอกไว้ว่าความหรูหรามันเปลี่ยนคนได้

‘ข้าว่าปัญหาน่าจะเป็นที่เจ้ามากกว่าความหรูหรานะ’

เงียบนะ

‘ไม่ ในฐานะผู้ดูแลนักบุญข้าจะต้องเตือนเจ้าว่าความประมาทของเจ้านั้นเกือบสร้างความใหญ่หลวงไปแล้วรู้ไหม’

ราสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทีเล่นแบบก่อนหน้านี้ ทำเอาผมตัวหงอเศร้าไปพลางได้แต่ขอโทษเขาแบบไม่มีข้อโต้แย้งอะไร

เรื่องนี้ผมผิดเองล่ะ ใครจะไปรู้ว่าการอธิษฐานขอพลังมันจะได้พลังมาเวอร์ขนาดนั้นกันล่ะ

‘นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าบอกว่าเจ้ายังขาด จริงอยู่ว่าเจ้าเป็นที่รักของพระเจ้าจนไม่ต้องสนการร่ายเวทแบบปกติ ทว่าด้วยสิ่งนี้เองทำให้เจ้าไม่รู้ซึ่งพื้นฐาน และเมื่อไร้ฐาน สักวันมันก็จะพังทลายลง’

อูววว เข้าใจแล้ว

‘หลังจากนี้ข้าคิดว่ากลับไปเจ้าคงต้องตั้งใจฝึกแล้วล่ะ’

รับทราบแล้วท่านอาจารย์ราสสสส

‘ฟังแล้วเหมือนเจ้าตอบขอไปทีเลย’

บ้าน่า ผมออกจะจริงใจ นี่ก็รู้ตัวแล้วนะว่าตัวเองทำพลาดไปเพราะงั้นหลังกลับจากกรอริเอลแล้วจะตั้งใจเรียนจากท่านอาจารย์ราสเอง

“ท่านออโรร่าคะ”

เสียงเรียกของซิลเวียทำเอาผมสะดุ้งก่อนหันไปมองเธอ พร้อมกันก็เห็นว่าเธอนั้นยังคงหน้าหม่นหมองพร้อมกันก็ก้มหน้าไม่มองหน้าผมสักที ไหนยังคำเรียกที่เปลี่ยนไปนั่นด้วยอีก

“เป็นอะไรมากไหมคะ ซิลวี่”

!!

ตัวเธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อผมเรียกเธอด้วยคำอันแสนสนิทเหมือนเดิม ซิลเวียนิ่งไปอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอค่อยพูด

“ท่านอาจารย์ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ แต่ตอนนี้นอนพักไปแล้ว”

“ไม่ค่ะ ฉันหมายถึงซิลวี่ต่างหาก”

ตาลุงเอลดรานน่ะผมไม่กังวลหรอก ก็เห็น ๆ อยู่ว่าตอนเดินกลับมายังพูดกับผมได้สบาย ๆ แถมตอนที่สู้กันก็เหมือนบาดแผลของเขาเริ่มสมานตัวเองไปเล็กน้อยแล้วด้วย นี่หากจำไม่ผิด ถ้านักดาบที่มีวิชาเก่งกล้ามาก ๆ ก็พอจะเดินพลังเวทรักษาตัวเองได้เล็กน้อย คุณพ่อของผมก็ทำได้เหมือนกัน

“คะ?”

“ตั้งแต่ตอนฉันประลองกับท่านเอลดราน ซิลวี่ก็ร้องไห้ตลอดนี่นา แถมตอนนี้ยังไม่มองหน้าฉันอีกด้วย เป็นอะไรเหรอเปล่าคะ”

“เรื่องนั้น….”

ซิลเวียก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ดวงตาของเธอเริ่มดูสั่น ๆ พร้อมกันนั้นเสียงที่เปล่งออกมาเองก็บ่งบอกได้ถึงความกลัวในใจอย่างชัดเจน

“ฉันน่ะทำผิดมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งต่อท่านอาจารย์แล้วก็ท่านออโรร่าด้วย”

“ทำผิดงั้นเหรอคะ?”

คำพูดของซิลเวียทำเอาผมถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เพราะผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเธอทำผิดอะไรต่อผม มีแต่ผมนั่นล่ะที่ทำผิดต่อเธอ อย่างการซัดอาจารย์เธอเกือบตายอะไรแบบนั้นน่ะ

“ฉันผิดสัญญาต่อท่านออโรร่าค่ะ ทั้งที่สัญญาไว้แล้วว่าจะเก็บรักษาความลับเรื่องตัวตนของท่านออโรร่าไว้แต่กลับพูดออกมาเอง แถมยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้จนท่านอาจารย์เกือบโดนพระองค์ลงโทษที่ดูหมิ่นท่านออโรร่าอีก”

เอาแล้วไง ไอ้ความคิดเป็นตุเป็นตะของเอลดรานดันทำซิลวี่เครียดไปแล้ว นี่คงคิดว่าเพราะไม่บอกว่าผมเป็นใครจนอาจารย์เอลดรานพูดหมิ่นผมจนพระเจ้าลงโทษแล้วนับมาเป็นความผิดตัวเองแหง ๆ

“ผิดสัญญาต่อท่านนักบุญ… ฉันน่ะเป็นคนบาปแล้วสินะคะ”

ไม่ ๆ นั่นมันออกจะเกินไปหน่อยนะซิลเวีย

ไอ้การเกี่ยวก้อยสัญญาของเด็กน่ะ มันมีเกิดมาไว้เพื่อให้ผิดสัญญาเลยล่ะ ทั้งขอกินคำเดียวเอย ทั้งบอกว่าจะไม่เอาความลับนี้ไปบอกใครเอย ของพวกนี้เคยมีใครรักษาไว้ได้บ้าง ไม่มีหรอก

‘ข้าว่านั่นมันไม่ใช่คำให้กำลังใจที่ดีเลยนะ’

อันนี้มันแค่เปรียบเทียบน่าราส

แต่ว่านะ ถึงขั้นเป็นคนบาปเลยงั้นเหรอ แค่ผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ระดับเด็กสัญญากันมันทำให้คิดไปทางนั้นได้ไงเนี่ย

‘อย่าลืมตัวตนของเจ้าแล้วก็ปาฏิหาริย์ที่เจ้าเพิ่งสร้างไปสิ สิ่งนี้มันมีผลมากนักโดยเฉพาะคนของราสเวนน่า เช่นนั้นทุกการกระทำก็จงคิดให้ดี’

เข้าใจแล้วน่า จะพยายามระวังให้ดีนะ

“เรื่องนั้นน่ะ… อย่าคิดมากเลยซิลวี่ ไม่มีใครกลายเป็นคนบาปได้ด้วยเรื่องนั้นหรอกนะคะ”

“ไม่ค่ะ ท่านออโรร่าอุตส่าห์เชื่อใจและให้ฉันรักษาความลับแต่ฉันไม่สามารถรักษามันไว้ได้”

“แต่นั่นน่ะทำไปเพราะอยากช่วยอาจารย์ใช่ไหมล่ะ เพราะว่าถ้าไม่บอกแล้วปล่อยท่านเอลดรานต่อไปท่านคงอาจโดนพระองค์ลงโทษมากกว่านั้น”

“ใช่ค่ะ…”

“เช่นนั้นฉัน.. ไม่สิพระเจ้าไม่โกรธคุณหรอกค่ะ”

ไหน ๆ ก็เล่นผมไว้เยอะนะพระเจ้า ขอเอาชื่อมาใช้อ้างนิดอ้างหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก ถือซะว่ามีความผิดร่วมกันทั้งที ก็มาช่วยกันแก้นี่ล่ะ

“แต่ว่า……”

“หรือว่าซิลวี่ไม่เชื่อฉันงั้นเหรอคะ?”

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อท่านออโรร่าแต่ว่าแบบนั้นจะดีจริง ๆ เหรอคะ ผิดสัญญาแล้วก็ยังไม่สามารถหยุดท่านอาจารย์ได้อีก”

“ที่ทำไปก็เพราะเจตนาดีไม่ใช่เหรอคะ เช่นนั้นแล้วก็อย่าคิดมากเลยค่ะ”

“แต่ว่าในฐานะขุนนาง ไม่สิ ในฐานะบุตรีแห่งเดอ ฟรอเซียแล้วนั้น การแก้ปัญหาโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดคือสิ่งที่พึงกระทำ ฉันน่ะทำผิดพลาดในฐานะขุนนางไปแล้วล่ะค่ะ”

นี่คือความคิดของเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบจริง ๆ งั้นเหรอ ถามทีเถอะ!!!

จะคิดมากเกินไปแล้วนะซิลเวีย รู้ไหมหว่าตอนอายุเท่านี่ผมยังคิดมากสุดก็แค่เรื่องเล่นการ์ดกับหมากเก็บเองนะ โลกนี้มันต้องเลวร้ายขนาดไหนถึงทำให้เด็กน่ารักแบบนี้โตก่อนวัยได้แบบนี้กัน!!

‘ข้าว่าเจ้าดูนางไว้เป็นตัวอย่างก็ดีนะ เด็กไม่รู้จักโตอย่างเจ้าน่ะ’

เงียบน่า!!!

เขาเรียกว่าพยายามทำตัวให้สมวัยต่างหาก!!!

เอาล่ะ ผมขอช่างเจ้าราสมันก่อน ตอนนี้สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้ซิลวี่เลิกจิตตกก่อนเพราะไม่งั้นเพื่อนแสนดีคนแรกของผมคงได้ตีจากผมไปก่อน เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรผมจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

ผมพยายามใช้ความคิดทั้งหมดเพื่อหาทางให้เธอปล่อยวางจากความคิดเหล่านี้ให้ได้ แต่นั่นน่าจะยากมาก เพราะคำสอนของขุนนางคงปลูกฝังอย่างลึกไปถึงแก่นแล้ว จะให้แก้เลยก็คงยาก แถมไอ้การสอนคนน่ะ ผมทำเป็นที่ไหนกัน ปกติตอนอยู่วิหารแค่พูดอะไรนิดหน่อยคนก็ไปตีเอาเป็นคำสอนแล้ว มาเจอของจริงแบบนี้ก็ยากเลยสิ

เอาไงเอากัน!! ออโรร่า ท่องไว้ เพื่อเพื่อน ลุย!!!

“ก่อนจะเป็นขุนนาง ซิลวี่เป็นมนุษย์ ก่อนจะมีหน้าที่ ซิลวี่มีความรู้สึก หากสิ่งที่ทำนั้นเพื่อประสงค์ดีก็ไม่มีใครว่าหรอกนะคะ”

“แต่ว่าถึงเช่นนั้น ฉันก็ไม่สมบูรณ์ในฐานะขุนนาง”

“ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากเราเรียนรู้มัน ผู้ที่ไม่ผิดพลาดคือผู้ที่ไม่เคยเจอปัญหา และคนที่ไม่เคยเจอปัญหา ก็มีแต่คนที่ไม่ทำอะไร… แค่มีความคิดอยากแก้ปัญหา นั่นน่ะก็ถือว่าซิลวี่พร้อมจะเป็นขุนนางที่ดีแล้วนะ”

ผมพูดสอนเธอ โดยคำสอนทั้งหมดนี้ ผมได้นำมันมาจากสารพัดนิยายที่เคยอ่าน พวกตัวเอกททั้งหลายมักจะมีบทสอนใจเท่ ๆ ให้ผู้คนมากมาย แน่นอนว่าเด็กมัธยมทั้งหลายนั้นย่อมจำมาไว้ใช้เพื่อพูดเสริมหล่อให้ตัวเอง

‘พูดดี ๆ กับเขาก็เป็นนี่นายัยหนู ข้าล่ะภูมิใจจริง ๆ เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าในความมืดนั้นยังมีแสงสว่างอยู่ขึ้นมาเลย’

มันก็ต้องมีบ้างอะไรบ้างน่า ว่าแต่นี่แกสิ้นหวังกับผมขนาดนั้นเลยเหรอเจ้านกบ้า

“คิดแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอคะ?”

ซิลวี่ที่ได้เจอพลังของไลฟ์โค๊สอย่างผมไปเริ่มที่จะเริ่มเกิดอาการลังเล ความคิดที่ถูกปลูกฝังมานานเริ่มสั่นคลอน นี่เป็นจังหวะที่ดี ตีเหล็กมันต้องตีตอนที่ยังร้อน

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“คะ..”

“ก็เพราะคนเราน่ะ ถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาดไม่ใช่เหรอคะ ไม่ใช่เพราะเกิดมาเก่งกาจจึงได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่เพราะเติบโตจากความผิดพลาดเหล่านั้นได้จึงเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ฉันเชื่อว่าซิลว่าจะเติบโตแบบนั้นได้แน่นอนค่ะ”

และนั่นเองที่น้ำตาของเธอได้ไหลออกมา มันน่าจะถูกเก็บกั้นมาไว้อย่างเนิ่นนาน ส่วนผมทำสิ่งอื่นใดไม่ได้นอกจากยิ้มและให้กำลังใจเธอเท่านั้น

 

 

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจครับ