บทที่ 17 ฆาตกรในคืนฝนตก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 17 : ฆาตกรในคืนฝนตก

หลินเจี๋ยจำได้ว่าตนมีเก้าอี้อาบแดดแบบพับได้เก็บเอาไว้ในห้องใต้ดิน ถึงมันจะแคบและไม่เหมาะกับการนอนเป็นเวลานาน แต่ก็น่าจะสามารถเอามาใช้พักผ่อนเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ได้

ชายหนุ่มลงไปชั้นล่างทันที เพื่อยกเก้าอี้ผ้าใบนั้นขึ้นมา ด้วยที่เขามีนิสัยชอบทำความสะอาดห้องใต้ดินเป็นระยะ ๆ เก้าอี้ผ้าใบจึงสะอาดและสามารถนำมาใช้งานได้ทันที

“ก็คิดอยู่ว่าเขาน่าจะหนัก แต่ไม่คิดเลยว่าจะหนักถึงขนาดนี้…” หลินเจี๋ยพึมพำพลางทบทวนความผิดพลาดของตน หลังจากล้มเหลวสามครั้งในการพยายามยกโจเซฟขึ้นมาจากพื้น

“เขาเหมือนหมีกริซลี่สูงสองเมตร ที่ทั้งตัวมีแต่กล้ามชัด ๆ!”

ความแตกต่างด้านความสูงยังไม่ชัดเจนนัก ในตอนที่หลินเจี๋ยนั่งเก้าอี้ และโจเซฟยืน แต่ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวใหญ่

โจเซฟสูงอย่างน้อยสองเมตร และมีร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ กำปั้นของเขามีขนาดเท่า ๆ กับกระสอบทราย หลินเจี๋ยมั่นใจเลยว่าหมัดเดียวจากชายชราคนนี้รุนแรงพอที่จะบดหัวมนุษย์ให้แหลกได้

แม้ว่าผมจะหงอกเป็นสีขาวไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวมาก คนสูงอายุทั่ว ๆ ไปมักจะอ่อนแอ และผอมแห้งเหมือน ๆ กับ…เฒ่าไวลด์ไม่ใช่เหรอ ? หลินเจี๋ยสงสัยขณะมองดูโจเซฟที่นอนแผ่อยู่บนพื้น

เราควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี? เราทิ้งเขาไว้แบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ! ถ้ามีลูกค้าคนอื่นแวะเข้ามา เราก็อาจจะพอขอให้ช่วยเรายกร่างของเขาได้ แต่สภาพอากาศที่เลวร้ายแบบนี้ลูกค้าที่ไหนจะแวะมา?

“ฮ่า…ช่างมันเถอะ ผมเสียใจจริง ๆ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หวังว่าคุณจะยกโทษให้ผมนะ” หลินเจี๋ยขอโทษอย่างจริงใจ

จากนั้นเจ้าของร้านหนุ่มก็เอื้อมมือไปคว้าเสื้อสูทของโจเซฟ แล้วค่อย ๆ ลากร่างที่หนักอึ้งขึ้นไปบนเก้าอี้ผ้าใบ

แกร๊ง

แขนขวาของโจเซฟตกลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ผ้าใบ ทำให้เกิดเสียงโลหะกระแทกกันดังก้อง

หลินเจี๋ยตกใจและเหลือบมองไปที่ข้อมือขวาของโจเซฟในทันที

ความแวววาวของโลหะสีเงินโดดเด่นเป็นพิเศษภายใต้แสงไฟอันอบอุ่น เครื่องหมายที่เหมือนเกล็ดอันละเอียดอ่อนดูประณีตสวยงาม แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันยอดเยี่ยมของช่างที่สร้างแขนกลนี้

สีหน้าของหลินเจี๋ยเปลี่ยนไป ลุงคนนี้… พิการเหมือนกับเฒ่าไวลด์งั้นเหรอ?

ยิ่งกว่านั้น แขนเทียมที่วิจิตรงดงามแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่จะนำมาใช้แน่ ๆ แม้แต่หลินเจี๋ยก็ยังมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแขนขาเทียมประเภทนี้

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเคยทำวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีในโลกนี้ เนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจด้านวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้ทำให้หลินเจี๋ยเข้าใจขนบธรรมเนียมและอุดมการณ์ของผู้คนในโลกนี้ ช่วยให้เขาสามารถปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

แม้ว่าอาซีร์จะคล้ายกับโลกในยุค 80 และ 90 แต่เทคโนโลยีบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกลไกและชีววิทยานั้นเหนือกว่าโลกเก่าของชายหนุ่มมาก ก่อให้เกิดสาขาวิทยาศาสตร์ที่แปลกประหลาดบางอย่าง

หนึ่งในนั้นก็คือแขนขากล

อย่างไรก็ตามแขนกลส่วนมากมักจะเป็นสินค้าที่มีราคาสูงระดับไฮเอนด์ ทำให้คนส่วนใหญ่แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้มัน แต่นั่นก็ยังดูดีเทียบกับแขนกลของโจเซฟไม่ได้เลย

แขนกลนี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน

“ระดับความแม่นยำและน้ำหนักนี้เกินความต้องการทั่วไปในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน” หลินเจี๋ยพึมพำกับตัวเอง “นอกจากนี้ด้วยสภาพร่างกายอันน่าทึ่งและรัศมีที่ท่วมท้นแล้ว หรือว่าเขาจะเป็น…”

เจ้าของร้านหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้แล้ว “…เจ้าหน้าที่ระดับสูงวัยเกษียณงั้นเหรอ?”

หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างคาดหวัง อันที่จริงเขาเคยเจอบุคลากรทางการทหารมาก่อน และบรรยากาศที่พวกเขาแสดงออกมาก็คล้ายกับของคุณลุงคนนี้จริง ๆ พวกเขาทุกคนล้วนมีรังสีที่ดูเข้มงวดและเที่ยงธรรม

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่แข็งแกร่งและความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ หลินเจี๋ยรู้สึกว่ามันเป็นไปได้สูงที่ลุงคนนี้จะเป็นทหารผ่านศึก ผู้ทุกข์ทรมานจากอาการ PTSD*[1]

เขาคนนี้อาจจะเสียแขนขวาไปในสนามรบก็เป็นได้!

“ไม่แปลกใจเลยที่เขามีท่าทีแปลก ๆ ตอนที่เราพูดถึงข้อต่อ” หลินเจี๋ยตระหนักได้ทันที

ก็จริงอยู่ที่แขนกลนั้นทำมาจากโลหะ แต่สิ่งที่ทำให้มันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระก็คือสัญญาณไฟฟ้าจากระบบประสาทที่ส่งไปยังเส้นประสาทและกล้ามเนื้อสังเคราะห์ในแขนเทียม แม้หลินเจี๋ยจะยังไม่ค่อยแน่ใจในหลักการเบื้องหลังการทำงานของมัน แต่ชายหนุ่มรู้ว่าจุดเชื่อมต่อของโลหะกับข้อต่อนั้นลัดวงจรได้ง่ายจากความชื้น ดังนั้นสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักเช่นนี้จึงมักจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะเทียม เทียบเท่าได้กับโรคไขข้อ

“มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยแฮะ ฮ่าฮ่า… บางทีเขาอาจจะเป็นลม เพราะว่าอวัยวะเทียมมีปัญหางั้นเหรอ? ไม่แน่ถ้าไฟฟ้ารั่วอย่างต่อเนื่อง… มันก็อาจส่งผลต่อเส้นประสาทได้เหมือนกัน”

หลินเจี๋ยถอนหายใจและดึงแขนกลของโจเซฟออก

เจ้าของร้านหนุ่มถอยกลับไปสองก้าวและมองดูโจเซฟผู้หมดสติบนเก้าอี้ผ้าใบแคบ ๆ ภายใต้แสงไฟสลัว ขณะที่ลมและฝนยังคงโหมกระหน่ำอยู่ข้างนอก

“ทำไมจู่ ๆ เราก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังทำอะไรแปลก ๆ …”

จู่ ๆ หลินเจี๋ยก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิตในคืนฝนตก

ฆ่าใครซักคนในคืนที่ฝนตกหนัก ลากศพหนักไปยังห้องลับ เพื่อชำแหละศพ ก่อนที่จะชื่นชมผลงานของตน ปล่อยเลือดให้ไหลเป็นสายยาวทาพื้นเป็นสีแดง

นี่คือความรู้สึกของชายหนุ่มในตอนนี้

“ฮ่า ๆๆ” หลินเจี๋ยส่ายหัวและหัวเราะ จินตนาการของเขาฟุ้งซ่านเกินไปจริง ๆ คนธรรมดา ๆ คงไม่มีความคิดอะไรแบบนี้หรอกมั้ง?…

อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นคนใจดีและตรงไปตรงมา หลินเจี๋ยค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะไม่มีใครจะสงสัยในบุคลิกของเขาแน่ ต่อให้เห็นสถานการณ์นี้ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดก็ตามที!

เจ้าของร้านหนุ่มเหยียดหลังให้ตรง ก่อนจะตระหนักได้ว่าหนังสือเจ้าชายน้อยนั้นยังอยู่ในมือของโจเซฟ แม้ว่าอีกฝ่ายจะหมดสติไปแล้ว แต่มือของชายชราก็ยังไม่คลายออก

หลินเจี๋ยยิ้ม “แม้แต่ผู้ชายที่ดุดันและไม่ยอมใครง่าย ๆ ก็สามารถมีความฝันเหมือนในเทพนิยายได้สินะ พักผ่อนให้พอนะครับ”

ตึง!

เสียงดังมาจากด้านนอกร้านหนังสือเหมือนมีอะไรหล่นลงกับพื้น ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยและหันกลับไปมอง

สิ่งที่ดูเหมือนเงามัวของชายคนหนึ่งแวบผ่านหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพยายามจะหนีไปให้ไวที่สุด

“มีใครอยู่ตรงนั้นไหม?” หลินเจี๋ยขมวดคิ้วและร้องเรียก

เจ้าของร้านหนุ่มเดินไปเปิดประตู แต่ก็ไม่มีใครอยู่ข้างนอก สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแมวดำที่กำลังวิ่งหนีฝน จากนั้นครู่ต่อมามันก็หายไป

“อะไรกัน… แค่แมวหรอกเหรอ?”

หลินเจี๋ยโบกมือให้แมวและหัวเราะ “รีบกลับบ้านซะนะ ข้างนอกมันอันตราย!”

[1]โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง