“แล้วนี่สรุปว่าอาจารย์เขาสั่งให้พวกเราไปจัดเอกสารกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย?”
 

ย้อนกลับมาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทางด้านอัลเบิร์ตที่ดึงตัวรีซาน่าออกมาจากห้องพยาบาลเพื่อเปิดโอกาสให้พวกนากาได้มีโอกาสพูดคุยกันเองนั้นก็ต้องมาปวดหัวกับรีซาน่าที่กำลังโวยวายอยู่

 

“ให้ตายสิ นี่เธอรู้จักคำว่าอ่านบรรยากาศบ้างมั้ยเนี่ย?”

 

“อะไรกันล่ะคะ!? ก็จู่ๆ นายก็พูดขึ้นมาแบบนั้นซะเฉยๆ แล้วฉันจะรู้เรื่องด้วยมั้ยล่ะ!?”

 

“เฮ้อ… เอาเถอะๆ เอาเป็นว่าพวกนั้นน่าจะมีเรื่องอะไรที่ไม่ควรจะพูดกับคนนอกอย่างพวกเรานั่นล่ะ ถ้าเธออยากรู้นักจะกลับไปนั่งฟังดูก็ได้ แต่ฉันขอผ่านดีกว่า ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าจะเกี่ยวข้องกับยัยเด็กหัวเทาคนนั้นด้วย…”

 

“หมายถึงเด็กผู้หญิงชื่อคาร์เทียร์นั่นน่ะหรอคะ? ฉันว่าท่าทางเธอก็ดูเรียบร้อยดีไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่คะ”

 

คำตอบของรีซาน่านั้นทำให้อัลเบิร์ตได้แต่เหลือกตามองไปทางอื่น ก่อนที่เขาจะพูดชี้ถึงจุดที่หญิงสาวร่างยักษ์ข้างๆ เขาเหมือนจะคิดไม่ได้

 

“เธออยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้วเคยเจอยัยเด็กนั่นบ้างหรือเปล่าล่ะ!? เท่าที่ฉันรู้มาก็คือวันนี้น่ะมีเด็กนักเรียนใหม่มาสมัครกันทั้งหมดสี่คน แต่ว่าคนที่มาเข้าสอบน่ะมีแค่สามเองไม่ใช่หรือไง”

 

“เอ๋ะ? นายจะบอกว่าเด็กคนนั้นเขาไม่ได้ผ่านการทดสอบมางั้นหรอคะ?”

 

ซึ่งรีซาน่าที่ไม่เคยได้ยินว่ามีการรับนักเรียนใหม่เข้ามาโดยไม่ต้องรับการทดสอบก่อนเลยแม้แต่น้อยก็ถึงกับต้องเบิ่งตาถามอัลเบิร์ตกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

 

“ก็ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณประธานนักเรียนเขามาแจ้งให้ฉันรวมทีมจัดการทดสอบรอบพิเศษนี่ฉันก็เคยถามไปแล้ว แต่ว่าทางนั้นก็ยืนยันมาว่ามีผู้เข้ารับการสอบแค่สามคน ส่วนอีกคนนึงนั่นได้ผู้อำนวยการจัดการทำเรื่องให้เรียบร้อยไปแล้ว”

 

“ห—หะ— จากท่าน ผอ. คนที่ได้ชื่อว่าเที่ยงธรรมและโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์โรงเรียนรีมินัสคนนั้นนั่นน่ะหรอคะ?”

 

“ก็มีอยู่คนเดียวนั่นล่ะ ส่วนอันนี้เธออาจจะยังไม่รู้นะ… แต่ว่าพ่อของฉันได้ข่าวมาว่าก่อนหน้านี้คุณเอริกะเรียกค่าตอบแทนเป็นจดหมายแนะนำตัวจากทางวังหลวงไปจำนวนนึง ซึ่งเธอก็น่าจะเอามาให้ไอเจ้านากากับอีกสองคนที่เหลือใช้ในการสมัครเข้าเรียนนั่นล่ะ”

 

“เอ๋… จริงหรอคะนั่น? นี่คนที่ชื่อเอริกะเขาไปทำอะไรมาถึงได้ของแบบนั้นเป็นสิ่งตอบแทนคะเนี่ย?”

 

รีซาน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโตและร้องออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะต่อให้เป็นเธอก็รู้ดีว่าทางวังหลวงนั้นออกจดหมายแนะนำให้กับคนภายนอกยากขนาดไหน

 

“หึ… ก็นั่นคุณเอริกะซะอย่าง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นน่าแปลกใจตรงไหน”

 

ทางด้านอัลเบิร์ตที่ได้ยินคนพูดชมคุณเอริกะของเขาขึ้นมาก็รีบพูดยกยอต่อให้ในทันที ก่อนที่เขาจะรู้ตัวและรีบพูดกลับเข้าเรื่องเดิมต่อ

 

“…แล้วทีนี้มันก็อย่างที่เธอเห็น ขนาดพวกเจ้านากานั่นมีจดหมายแนะนำตัวจากวังหลวง ทางโรงเรียนก็ยังตามฉันที่เป็นอันดับต้นๆ ของโรงเรียนมาเพื่อจัดการสอบเลย ไหนจะยังมียัยเซซิลนั่นอีก ดูยังไงก็ไม่กะจะให้ผ่านได้ชัดๆ”

 

“ฝ—ฝีมือฉันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ…”

 

เมื่ออัลเบิร์ตได้ยินรีซาน่าตอบกลับมาแบบประหม่าๆ เขาก็ได้แต่เหลือบตาไปมองขวานศึกขนาดยักษ์ที่รีซาน่าแบกไว้บนหลังโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่เขาจะหันไปมองรอบๆ และแอบกระซิบกับรีซาน่าเบาๆ

 

“คิดดูละกันว่าขนาดสามคนนั้นยังต้องเข้ารับการทดสอบแบบโหดๆ เลย แล้วเธอคิดว่ายัยเด็กหัวเทานั่นมีความลับอะไรถึงขนาดทำให้ผู้อำนวยการยอมแหกกฎของโรงเรียนได้กันล่ะ… ถ้าเธออยากรู้ก็กลับเข้าไปฟังได้เลย แต่ฉันไม่ขอยุ่งด้วยดีกว่า…”

 

และทันทีที่อัลเบิร์ตกระซิบบอกรีซาน่าเสร็จ เขาก็ทำเป็นมองซ้ายมองขวาและพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาในทันที

 

“แล้วนี่ยัยเซซิลไปไหนแล้วเนี่ย? ไม่ใช่ว่าออกมาก่อนหน้าพวกเราไม่นานเองไม่ใช่หรือไง?”

 

“เอ๋ะ? นั่นสิคะ? จะว่าไปฉันก็ไม่เห็นเขาตอนระหว่างที่เดินมากันเลยนะ”

 

“ให้ตายสิ… ฉันได้ข่าวมาว่าเมืองเกิดของยัยนั่นมีเรื่องก็เลยกะจะถามสักหน่อยแท้ๆ … งั้นในเมื่อยัยนั่นไม่อยู่แล้วฉันก็ขอตัวกลับก่อนก็ละกัน”

 

“อ่ะ พี่อัลเบิร์ตกลับมาแล้วหรอ~”

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่อัลเบิร์ตจะได้หันตัวกลับไปทางหอพัก ชื่อของเขาก็ได้ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงอันสดใสของเด็กสาวคนนึงขึ้นมาซะก่อน

 

และเมื่อทั้งสองหันกลับไปก็พบกับเด็กสาวร่างเล็กที่มีหูแมวและเส้นผมสีฟ้ายาวถึงกลางหลังโดยที่เธอได้มัดเส้นผมส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นทรงทวินเทลและประดับด้วยริบบิ้นสีแดงอันเล็กๆ

 

ซึ่งเธอก็ได้ใช้นัยน์ตาสีเหลืองสว่างมองตรงมายังพวกเขาและโบกบัวรดน้ำอันเล็กๆ ในมือไปมาด้วยรอยยิ้มร่าเริง

 

“อ่าว พี่รีซาน่าก็อยู่ด้วยนี่นา~ สวัสดีค่ะ~”

 

“ว่าไงจ๊ะซิลจัง กำลังจะออกไปรดน้ำต้นไม้หรอ?”

 

“บัวรดน้ำบ้านเธอใช้ทำกับข้าวหรือไงหะ? เห็นกันอยู่ชัดๆ แบบนี้ยังจะต้องถามอีกเรอะ?”

 

“พี่อัลเบิร์ตอย่าไปแกล้งพี่รีซาน่าแบบนั้นสิ!”

 

ทันทีที่เด็กสาวหูแมวผมฟ้าได้ยินอัลเบิร์ตพูดประชดใส่รีซาน่าแบบนั้น เธอก็รีบพูดดุเขาออกมาพร้อมกับตีแขนของเขาไปเบาๆ สองสามที

 

“เฮ้อ… ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้นแหล่ะซิลเวส ไม่ได้กะจะแกล้งอะไรยัยนี่หรอก อีกอย่างรีซาน่าก็ไม่ถือสาอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?”

 

“ค…ค่ะ ถ้าไม่นับเรื่องที่พูดเหมือนกับว่าฉันเป็นควายเมื่อก่อนหน้านี้น่ะนะคะ…”

 

“พี่อัลเบิร์ต——–”

 

คำตอบของรีซาน่านั้นทำให้เด็กสาวหูแมวผมสีฟ้าที่ชื่อว่าซิลเวสหันไปหรี่ตาจ้องอัลเบิร์ตอย่างดุๆ จนทำให้เขาต้องรีบพูดเปลี่ยนเรื่องในทันที

 

“อ่ะ— จริงด้วย! จะว่าไปเธอเห็นเซซิลรึบ้างเปล่า? ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับยัยนั่นหน่อยน่ะ”

 

“ถ้าพี่เซซิลล่ะก็หนูเห็นพี่เขายืนอ่านอะไรก็ไม่รู้อยู่สักพักแล้วก็พกดาบเดินออกนอกเขตโรงเรียนไปทางสวนผักน่ะค่ะ คิดว่าน่าจะไปฝึกแถวนอกเมืองเหมือนเดิมนั่นแหล่ะค่ะ”

 

“ถ้าเป็นจุดฝึกแถวนอกเมืองของคุณเซซิลน่าจะเป็นป่าทางทิศตะวันออกไม่ก็ทางเหนือล่ะมั้งคะ เมื่อวันก่อนฉันเคยเห็นคุณเซซิลพกดาบเดินเล่นอยู่แถวนั้นน่ะค่ะ”

 

“เห… รู้ไปถึงขนาดนั้นเลยหรอน่ะ? แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ พวกบ้านนอกก็มักจะดึงดูดกันอยู่แล้ว จะสนิทกันถึงขั้นนั้นแล้วก็ไม่แปลกหรอก”

 

เมื่ออัลเบิร์ตพูดจบซิลเวสที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาก็หรี่ตาและพูดออกมาอย่างดุๆ เท่าที่หน้าตาน่ารักของเธอจะสามารถทำได้พร้อมกับยกมือขึ้นมาตีแขนของเขาในทันที

 

“พี่อัลเบิร์ตล้อพี่รีซาน่าเขาอีกแล้วอ่ะ!!”

 

“โอ๊ย— อะไรอีกล่ะยัยแมวนี่!? แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยเลิกเรียกฉันว่าพี่สักทีได้มั้ยหะ เพราะยังไงอายุของพวกเราก็น่าจะห่างกันแค่ปีเดียวไม่ใช่หรอไง!?”

 

“บู่ววววววว~!”

 

“น่าๆ โดนเรียกว่าพี่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ… แล้วนี่อัลเบิร์ตจะเอายังไงต่อล่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกับคุณเซซิลเขานี่นา จะออกไปตามหาตัวเธอกันมั้ยล่ะคะ?”

 

รีซาน่าที่เหมือนจะทำใจกับความปากเสียของอัลเบิร์ตได้แล้วนั้นได้พยายามพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาพร้อมกับหันไปถามความเห็นของอัลเบิร์ตดู แต่ก็เหมือนว่าเขาจะไม่มีความคิดที่จะออกไปตามหาเซซิลที่น่าจะเข้าไปหมกตัวฝึกอยู่ในป่าเลยแม้แต่น้อย

 

“เฮ้อ… นี่เธอคิดว่าป่าแถบนั้นมันกว้างขนาดไหนกันล่ะ ต่อให้ตามไปจริงๆ วันนี้ทั้งวันก็หากันไม่เจอหรอกมั้ง เอาไว้เดี๋ยวยัยนั่นกลับมาฉันค่อยหาเวลาไปคุยดูละกัน”

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นทางด้านนากาที่เพิ่งจะส่งคาร์เทียร์กลับไปยังคลินิกเสร็จก็ได้เดินกลับมาถึงบ้านของเอริกะพอดี

 

และหลังจากที่พวกเขาเคาะประตูบ้านไปได้ไม่นาน คอนแนลในชุดเสื้อยืดกับผ้ากันเปื้อนที่ถือทัพพีสำหรับคนซุปไว้ในมือก็ได้เปิดประตูออกมาต้อนรับพวกเขา

 

“กลับมากันแล้วหรอครับทุกคน อ่ะ… โมโกะสภาพดูไม่ค่อยได้เลยนะครับเนี่ย”

 

ซึ่งทุกคนที่อยู่หน้าประตูนั้นก็นิ่งกันไปสักพักก่อนที่โมโกะที่ถูกเอ่ยปากแซวขึ้นมาจะตั้งสติได้เป็นคนแรกและพูดกลับไปด้วยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

 

“พูดมากหน่า…”

 

และหลังจากนั้นไม่นานสองพี่น้องก็ได้สติและกะพริบตาปริบๆ มองอัศวินคอนแนลในคราบพ่อบ้านที่เหมือนกับว่ากำลังทำอาหารอยู่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง โดยนากาก็ได้พูดขึ้นมาแบบที่เขาพยายามจะถนอมน้ำใจ ในขณะที่พรีมูล่านั้นได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาชนิดที่ว่าไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย

 

“คอนแนลนี่นาย… เลิกเป็นอัศวินแล้วมาเป็นพ่อบ้านแล้วหรอ?”

 

“ฮะฮะฮะ! ม—ไม่เหมาะกับพี่คอนแนลสักกะนิดเลยอ่ะ!”

 

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ! แล้วพรีมูล่าเล่นหัวเราะซะขนาดนี้ผมก็เสียใจเป็นเหมือนกันนะครับ!”

 

ถึงแม้ว่าคอนแนลจะพูดปฏิเสธออกมาเสียงดัง แต่ว่าเมื่อดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ทุกคนก็คิดว่าเขาค่อนข้างจะมีความสุขที่ถูกเรียกเป็นพ่อบ้านของเอริกะอยู่มาก ก่อนที่เขาจะเดินหลบไปให้ทั้งสามคนได้เข้ามานั่งพักด้านในตัวบ้านกัน

 

“เรื่องอาชีพของผมน่ะช่างมันไปก่อนเถอะครับ พวกนากาเพิ่งกลับมาจากการสอบคงจะเหนื่อยกันสินะครับ เอาเป็นว่าเข้ามานั่งพักกันก่อนแล้วเดี๋ยวผมขอเข้าครัวไปทำอาหารต่อให้เสร็จละกันนะครับ”

 

“เย้~ ขอบคุณค่ะพี่คอนแนล~”

 

“อื้ม ขอบใจนายมากนะคอนแนล”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นนากาก็เดินอุ้มโมโกะเข้าไปในตัวบ้านและวางเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันซ้ายหันขวามองหาเอริกะที่เขาคิดว่าน่าจะกลับมานอนแผ่อยู่ในห้องนั่งเล่นนี่ตั้งนานแล้วซะอีก

 

“แล้วนี่เอริกะเขากลับมาดูอาการของอลิซจริงๆ หรือว่าขึ้นไปนอนอยู่บนห้องแล้วล่ะเนี่ย?”

 

“ถ้าเป็นคุณเอริกะก็กลับมาได้สักพักแล้วนะครับ แต่เห็นเข้าไปหาอลิซในห้องออฟฟิศแล้วก็ยังไม่ได้ออกมากันทั้งสองคนเลยน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่”

 

“อื้ม…แบบนั้นเองหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินว่าเมื่อเอริกะกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็ไม่ได้แอบกลับมานอนอู้อย่างที่เขาคิดเอาไว้แต่กลับไปดูอาการของอลิซเข้าจริงๆ ก็อดที่จะรู้สึกนับถือเธอขึ้นมามากกว่าเดิมเป็นไม่ได้

 

แต่ว่าด้วยความที่เขารู้ว่าเอริกะนั้นโหมงานมาติดต่อกันหลายวันแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมานิดหน่อยจึงได้เดินไปทางออฟฟิศและเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณว่าขอเข้าไปด้านใน

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“อ่ะ เข้ามาได้เลยจ้ะ~”

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงของเอริกะตอบกลับมาจากภายในห้อง เขาก็เปิดประตูเข้าไปแบบไม่รอช้าในทันที

 

“อ่าว นากาเองหรอ ว่าไงๆ ”

 

“คอนแนลเขาทำ— …ทำอะไรกันอยู่เนี่ยเอริกะ?”

 

ยังไม่ทันที่นากาจะได้พูดบอกเรื่องอาหารฝีมือคอนแนลเสร็จเขาก็ชะงักไป ก่อนจะเปลี่ยนไปถามคำถามขึ้นมาแทน เพราะว่าสภาพของสองสาวที่อยู่ในห้องนั้นเป็นอะไรที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นมาก่อนเลยแม้แต่น้อย

 

โดยอลิซที่ควรจะบาดเจ็บจนยืนแทบไม่ไหวนั้นกำลังยืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทีสบายๆ และที่ท่อนล่างของเธอนั้นได้มีโครงเหล็กอะไรบางอย่างครอบเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเอวลงมาจนถึงปลายเท้าทั้งสองข้าง ในขณะที่ด้านหลังเอวของเธอนั้นก็มีอุปกรณ์หน้าตาคล้ายๆ กับพาร์ทที่ใช้ในการบินที่เวก้าขโมยไปใช้ติดอยู่

 

และเมื่อเอริกะได้ยินคำถามของเขาเข้าไป เธอก็หยุดไขควงในมือที่กำลังใช้ไขโครงเหล็กบริเวณเข่าของอลิซอยู่และพูดตอบกลับมาแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

 

“อ๋อ… ก็พาร์ทส่วนขาแบบเดียวกับที่เวก้าขโมยไปใช้แค่ว่าเป็นคนละประเภทกันก็แค่นั้นแหล่ะ แล้วฉันเห็นว่าอลิซกำลังว่างๆ อยู่พอดีแถมพลังยังเข้ากันได้อีกก็เลยขอให้เธอมาช่วยทดลองใช้มันดูหน่อยน่ะ ไหนอลิซลองขยับดูหน่อยสิ”

 

กรึก กรึก

 

ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะ อลิซก็ได้ลองส่งพลังเข้าไปเพื่อควบคุมให้มันขยับไปมาดูในทันที

 

“ฝืดๆ อยู่นิดหน่อยแต่ว่าก็ดีกว่าเมื่อกี้แล้วล่ะ”

 

“แล้วเวลาขยับหรือว่ายืนอยู่เฉยๆ นี่รู้สึกเจ็บแผลบ้างหรือเปล่า?”

 

“ไม่ค่อยนะ… เหมือนกับว่าได้ตัวโครงเหล็กพวกนี้พยุงเอาไว้น่ะ ไม่สิ… ต้องบอกว่ารู้สึกประหลาดๆ ซะมากกว่า…”

 

อลิซพูดบรรยายความรู้สึกของเธอออกมาหลังจากที่ได้ทดลองขยับมันดูเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะลองย่อตัวขึ้นลงและหมุนตัวออกแรงเตะขาข้างที่บาดเจ็บอยู่เฉี่ยวหน้านากาไปจนทำให้เขาร้องออกมาอย่างตกใจ

 

“เหวอ!? …ระวังหน่อยสิอลิซ ขยับรุนแรงแบบนั้นเดี๋ยวแผลก็เปิดอีกรอบหรอก”

 

“คิดมากน่า… ฉันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้นนะ…”

 

“เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ งั้นก็เหลือแค่ระบบขับเคลื่อนแล้วก็ส่วนล้อ… ไหนๆ แล้วก็จัดการให้เสร็จไปเลยละกัน… นากา หยิบไขควงบนตู้เอกสารนั่นมาให้ฉันหน่อย”

 

“เอ๋ะ— อันนี้หรอ?”

 

นากาที่อยู่ๆ ก็ได้กลายเป็นลูกมือของเอริกะไปนั้นได้เดินไปหยิบไขควงอันที่เอริกะร้องขอและส่งมันไปให้เธอ ก่อนที่เขาจะเดินถอยออกมามองดูเอริกะที่กำลังจ้องมองโครงเหล็กบริเวณส่วนเท้าของอลิซอย่างครุ่นคิดอยู่

 

แล้วหลังจากนั้นสักพักก็เหมือนว่าเอริกะจะคิดหาวิธีได้ เธอจึงได้หันไปคว้าเอาประแจที่วางอยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมาถือไว้คู่กับไขควงและก้มหน้าลงไปใช้พวกมันจัดการบริเวณเกราะเท้าอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ และร้องสั่งอลิซอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ ไหนเธอลองใช้งานมันหน่อยสิอลิซ”

 

“หือ…? อื้อ”

 

อลิซที่กำลังมึนงงกับความเร็วในการจัดการของเอริกะอยู่นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อย และลองส่งพลังลงไปในเกราะส่วนเท้าที่หน้าตาคล้ายๆ รองเท้าบู๊ทขนาดใหญ่ที่ทำจากเหล็กที่ซึ่งบริเวณหลังส้นเท้าทั้งสองข้างนั้นได้มีล้อขนาดเล็กถูกพับติดเอาไว้ข้างละหนึ่งอัน

 

แกร๊ก แกร๊ก!

 

ทันทีที่อลิซส่งพลังของเธอเข้าไป ล้อทั้งสองอันบริเวณส้นเท้าก็ได้ดีดตัวลงมาด้านล่างในทันที พร้อมๆ กับที่มีล้ออีกสองอันยื่นออกมาจากบริเวณส่วนใต้ของพื้นเกราะเท้าจนทำให้ร่างของอลิซถูกดันจนสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

 

“ฟู่ว— ระบบเปิดล้อเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ ติดตรงที่ว่าหน้าตาตลกไปหน่อยแต่คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง…”

 

เมื่อเอริกะเห็นว่าอุปกรณ์ของเธอสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเธอก็ถอนหายใจและพูดติดตลกออกมาเล็กน้อย ในขณะที่นากานั้นกำลังจ้องมองมันอยู่อย่างตกตะลึง

 

“น—นี่มันอะไรเนี่ยเอริกะ!?”

 

“อ่ะ จริงด้วยนายยังไม่รู้นี่เนอะ~ ไอเจ้าเนี่ยมันคือพาร์ทส่วนล่างรุ่นทดลองอีกอันนึง แต่ว่าไม่เหมือนกับอันก่อนหน้านี้ที่เป็นรุ่นสำหรับการบินหรอกนะ อันนี้น่ะมันสำหรับการเคลื่อนที่ภาคพื้นดิน ชื่อของมันก็คือ Prototype Lower Part Type.U ver.F ยังไงล่ะ~”

 

“โปรโ…. เอาเถอะ แล้วนี่มันทำอะไรได้บ้างล่ะ? มีล้อแบบนี้อย่าบอกนะว่าเอาไว้ใช้คู่กับตัวปล่อยไอพ่นที่เอวนั่นน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินชื่อยาวๆ ของมันเข้าก็มึนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปก้มดูอุปกรณ์สำหรับเคลื่อนไหวภาคพื้นดินอะไรสักอย่างนั่นด้วยท่าทีตื่นเต้นเหมือนกับพรีมูล่าที่เห็นขนมไม่มีผิด

 

แต่ก็เหมือนกับว่าการมองดูมันอย่างเดียวจะไม่พอใจเขา นากาจึงได้ลองยื่นมือเข้าไปลูบๆ ดูจนมือของเขาเผลอไปสัมผัสกับต้นขาของอลิซเข้า ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอสะดุ้งเฮือกและเผลอสะบัดขาเตะไปที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง

 

ผลัวะ

 

“ท—ทำบ้าอะไรของนายเนี่ยหะ!?”

 

“หึหึ~ จะบอกให้นะว่าเจ้านี่น่ะมันสามาร——–”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่เอริกะจะได้โอ้อวดถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่เธอสรรค์สร้างขึ้นมาให้นากาได้ฟัง ก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะเธอเข้าซะก่อน

 

“ประตูไม่ได้ล็อกเข้ามาได้เลยจ้ะ~”

 

“ผมเองครับคุณเอริกะ”

 

และผู้ที่เปิดประตูออกมานั้นก็คือคอนแนลนั่นเอง โดยเขาได้แง้มประตูเล็กน้อยและโผล่หัวเข้ามาในห้องพร้อมกับเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเข้ามารบกวนเธอ

 

“มีคนมาขอพบคุณเอริกะน่ะครับ เขาบอกว่าเป็นเรื่องด่วนที่จะต้องพบให้ได้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นใครแต่เหมือนว่าจะไม่ได้มาจากทางวังหลวงนะครับ”

 

“…เรื่องด่วนหรอ?”

 

เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะเดินออกจากห้องออฟฟิศไปในทันที

 

ในขณะที่คอนแนลกำลังจะปิดประตูลงไปนั่นเอง เขาก็หันไปเห็นอลิซที่กำลังหมุนตัวไปมาบนล้อที่ติดอยู่ใต้รองเท้าเพื่อทรงตัวหลังจากที่เธอเหวี่ยงขาเตะใส่นากาไปอยู่ เขาจึงได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“ว่าแต่คุณอลิซทำท่าแบบนั้นไม่เจ็บขาแย่หรอครับ? ให้ผมไปเอาไม้ค้ำมาให้มั้ยครับ?”

 

“ก็ไม่นะ… ก่อนหน้านี้ฉันกินยาที่ได้มาจากอารอนไปแล้วด้วย แล้วยังได้อุปกรณ์นี่ช่วยพยุงเอาไว้จนขาฉันไม่ได้รับน้ำหนักตรงๆ อีกต่างหาก”

 

“อุปกรณ์? อย่าบอกนะครับว่านั่นเป็นอุปกรณ์ใหม่ของคุณเอริกะน่ะครับ ขอผมดูใกล้ๆ หน่อยสิครับ!”

 

ทันทีที่คอนแนลได้ยินคำว่าอุปกรณ์ สายตาของเขาก็สะบัดไปยังโครงเหล็กที่ขาของอลิซในทันที และเมื่อเขาเห็นว่ามันน่าจะเป็นอุปกรณ์ชนิดใหม่ของเอริกะที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาก็ได้รีบพุ่งตัวเข้าไปส่องดูมันใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว

 

“ด—เดี๋ยว—!?”

 

ซึ่งถึงแม้ว่าอลิซจะสะดุ้งตกใจและพยายามขยับตัวถอยหลังไป แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าขาของเธอถูกนากาที่เธอเตะลงไปนอนกองจับไปสำรวจดูบริเวณล้อที่ใต้พื้นเกราะเท้าซะแล้ว

 

“โอ้… สมแล้วที่เป็นคุณเอริกะ อุปกรณ์อันนี้ดูล้ำหน้ากว่าที่ใช้กันในทางการทหารอีกนะครับเนี่ย”

 

คอนแนลได้พูดขึ้นมาหลังจากที่เขาเห็นล้อบริเวณใต้พื้นเกราะเท้าที่ดูแล้วเหมือนว่าปกติมันจะถูกซ่อนเอาไว้เพื่อให้สะดวกกับการเดินหรือวิ่งในเวลาที่ไม่ต้องการใช้งาน

 

แต่ว่าคำพูดของคอนแนลนั้นก็ทำให้นากาต้องหันไปถามเพื่อนอัศวินของตนอย่างสงสัย

 

“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์พวกนี้เอริกะเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเองหรอกหรอ?”

 

“จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่ล่ะครับ… ถึงที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องการนำอุปกรณ์เสริมพลังวิซมาใช้ในการต่อสู้นั่นจะมีมากันตั้งนานแล้วก็เถอะ อย่างพวกอาวุธที่ใช้คริสตัลวิซเสริมเข้าไปนั่นเองก็ใช่ แต่ว่าคนที่สร้างอุปกรณ์ชนิดพาร์ทเสริมหลายๆ ส่วนมาประกอบกันเป็นชุดเดียวแบบนี้เนี่ยมีแต่คุณเอริกะเขานั่นล่ะครับ แถมพาร์ทอันนี้ก็ยังถึงขั้นทำให้คุณอลิซที่บาดเจ็บที่ขาอยู่กลับมายืนได้สบายๆ เลยด้วย”

 

“แต่จากที่นายพูดก็หมายความว่าเมืองอื่นเริ่มมีการพัฒนาอุปกรณ์คล้ายๆ กับแบบนี้มาใช้กันแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

“การที่เมืองอื่นจะคิดค้นอุปกรณ์ที่ทำได้คล้ายๆ กันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะว่าเรื่องพาร์ทเสริมสำหรับการต่อสู้เนี่ยที่จริงแล้วมันก็อยู่ในตำนานของเทวทูตด้วยนะครับ เขาเล่ากันราวๆ ว่าเป็นชุดเกราะที่สามารถทำให้เคลื่อนที่ไปตามพื้นได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ก็ชุดเกราะที่ทำให้สามารถบินบนฟ้าได้อะไรราวๆ นั้นน่ะครับ”

 

ทันใดนั้นเองอลิซที่เอือมกับสองหนุ่มที่เหมือนจะสนใจในตัวอุปกรณ์นั้นซะจนไม่สนใจความเป็นส่วนตัวของเธอเลยแม้แต่น้อยก็ได้ถอนหายใจและพูดขึ้นมาบ้าง

 

“เฮ้อ… แล้วนี่นายพูดว่าเจ้าพาร์ทอันนี้มันดูล้ำหน้ากว่าของที่นายเคยเห็น นี่หมายความว่าผ่านมาเป็นพันปีแล้วไม่มีใครสนใจจะเอามันมาพัฒนาต่อเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

 

“เอ่อ… จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่ล่ะมั้งครับ… เพราะเท่าที่ผมทราบไอเจ้าอุปกรณ์แบบนี้มันเพิ่งจะโผล่กลับมาอีกครั้งเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนเอง แล้วตอนนี้เมืองต่างๆ ก็กำลังพยายามดึงตัวคุณเอริกะที่เชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุดกันอย่างหนักเลยล่ะครับ

 

ส่วนหลักฐานก็คงจะเป็นพาร์ทที่มีอุปกรณ์ซ่อนอยู่อย่างที่คุณอลิซหรือคุณเวก้าใช้ แล้วก็พาร์ทส่วนอื่นๆ ที่น่าจะถูกเก็บไว้ในวังหลวงนั่นแหล่ะครับ”

 

“แต่ถ้าพวกนั้นสนใจจริงๆ ก็น่าจะมาติดต่อเอริกะหรือทางวังเอาเลยก็ได้นี่นา? เพราะว่าถ้าเกิดทุกที่สามารถผลิตพาร์ทพวกนี้ได้จริงๆ ก็น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนไม่ใช่หรอ?”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วอย่างสงสัยว่าแต่ละเมืองจะพยายามดึงตัวเอริกะไปทำไม เพราะว่าดูจากการที่เอริกะเล่นส่งอุปกรณ์เกือบจะทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาไปให้กับทางวังหลวงแบบนั้นแล้ว เขาก็คิดว่าเอริกะคงจะไม่รู้สึกหวงสิ่งประดิษฐ์ของเธอสักเท่าไหร่หรอก

 

และการที่จะมีอุปกรณ์ที่สามารถช่วยให้คนบาดเจ็บหนักอย่างอลิซกลับมาเดินได้เป็นปกติถูกแจกจ่ายไปทั่วทุกเมืองก็ไม่น่าจะมีผลเสียอะไรเลยแม้แต่สักนิดเดียว

 

“งี่เง่าสุดๆ …”

 

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนากา อลิซก็ได้แต่เอามือมาปิดหน้าของตัวเองและพูดออกมาอย่างสมเพชต่อความไร้เดียงสาของเขา จนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นต้องหันไปมองเธอตาขวาง

 

“…เธอพูดแบบนี้หมายความว่าไงหะ?”

 

ปึ้ง!

 

“นากา! นายยังพอจะสู้ไหวอยู่มั้ย!?”

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่อลิซจะได้ตอบอะไรกลับไปจู่ๆ ประตูห้องออฟฟิศก็ได้ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง พร้อมๆ กับที่เอริกะได้วิ่งตรงไปยังโต๊ะของเธออย่างร้อนรน จนทำให้นากาต้องรีบดีดตัวขึ้นมาจากพื้นและถามเอริกะกลับไปในทันที

 

“ห—ห่ะ? ก็ยังพอไหวอยู่ล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

 

“มีเรื่องด่วนเข้ามาน่ะ! นายเอาของพวกนี้ไปแล้ววิ่งออกจากเมืองไปทางประตูทิศตะวันออกไม่ก็ทางเหนือเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วย เดี๋ยวฉันจะรีบส่งกำลังเสริมตามไป!”

 

เอริกะรีบพูดตอบกลับมาพลางเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของเธอเพื่อคุ้ยหาเอาเครื่องสื่อสารขนาดเล็กและเข็มทิศออกมาโยนให้กับนากา

 

ก่อนที่เธอจะหันไปคว้าประแจกับไขควงที่เธอวางทิ้งเอาไว้ใกล้ๆ ขึ้นมาถือเอาไว้และผลักคอนแนลไปให้พ้นทางเพื่อที่เธอจะได้จัดการซ่อมพาร์ทที่อลิซสวมใส่อยู่ให้เร็วที่สุด

 

“ด—เดี๋ยวสิ นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

นากาที่เห็นว่าเอริกะไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มเติมก็ได้พูดถามออกมาอย่างสงสัยโดยไม่มีท่าทีว่าจะเร่งรีบออกไปตามที่เอริกะสั่งเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เอริกะต้องเงยหน้ากลับขึ้นมาแกว่งประแจในมือใส่เพื่อไล่ให้เขาออกเดินไปเร็วๆ สักที

 

“รีบๆ ไปได้แล้วน่า เดี๋ยวฉันจะอธิบายผ่านเครื่องสื่อสารอีกที!! เพื่อนของนายท่าทางจะแย่แล้วนะ!”

 

“หะ? เพื่อนฉันงั้นหรอ?”

 

คำพูดของเอริกะนั้นทำให้นากาพูดตอบกลับไปอย่างมึนๆ เพราะว่าเพื่อนๆ และคนรู้จักของเขาในเมืองนั้นส่วนมากก็รวมตัวกันอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว นอกจากนั้นก็มีอารอนที่น่าจะยังอยู่ที่โรงเรียน แล้วก็คาร์เทียร์กับนางพยาบาลที่เขาเพิ่งจะเจอกันที่คลินิกไปเมื่อสักครู่

 

ซึ่งเอริกะที่ได้เห็นความมึนของนากาเข้าไปแล้วก็ถึงกับปลงตกและหันมาอธิบายให้เขาฟังชัดๆ พร้อมกับโบกมือไล่เขาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เมื่อกี้นี้มีสายของฉันมารายงานว่าพวกเขาตรวจพบกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกำลังรวมกำลังพลกันอยู่แถวตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองน่ะ แล้วเขาก็บอกว่าเห็นเด็กผู้หญิงถือดาบคาตานะที่สวมเสื้อโค๊ทกันลมของโรงเรียนรีมินัสกำลังแอบมองพวกนั้นอยู่แถมทำท่าเหมือนจะเข้าไปสู้กับพวกนั้นด้วย …ในเมื่อรู้เรื่องแล้วก็รีบๆ ไปได้แล้ว”

 

“เสื้อกันลมกับคาตานะ? เซซิลหรอ!? งั้นฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!!”

 

“เดี๋ยวสิครับนากา! รอผมด้วย!!”

 

ทันทีที่คอนแนลเห็นว่านาการีบวิ่งออกไปแบบนั้น เขาก็ทำท่าเหมือนกับว่าจะวิ่งออกไปด้วยเช่นเดียวกัน แต่ว่าเอริกะก็ได้คว้ามือของเขาเอาไว้และร้องห้ามออกมาซะก่อน

 

“ไม่ได้!! ถึงจะบอกว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เถอะแต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกนั้นอาจจะเป็นทหารของเมืองไหนสักเมือง เพราะงั้นเบื้องบนคงจะไม่อยากให้อัศวินอย่างนายเข้าไปยุ่งด้วยหรอก ไม่งั้นมันอาจจะกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างเมืองเลยก็ได้นะ!!”

 

“ต—แต่ว่า!”

 

“ถ้านายอยากช่วยก็มาช่วยฉันซ่อมเจ้านี่แทนละกัน ยิ่งเสร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันจะได้แบ่งสมาธิไปอธิบายสถานการณ์ให้นากาฟังได้”

 

ทันทีที่เอริกะพูดจบ เธอก็โยนไขควงและประแจในมือไปให้คอนแนล ก่อนที่เธอจะรีบลุกขึ้นไปหยิบเอาเครื่องสื่อสารอีกเครื่องมาใส่หูของตนเพื่อที่จะติดต่อไปหานากาที่วิ่งออกไปยังจุดเกิดเหตุแล้วในทันที