ตอนที่ 85 เส้นทางระหว่างการเนรเทศนั้นยากลำบากและอันตรา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 85 เส้นทางระหว่างการเนรเทศนั้นยากลำบากและอันตรายนัก / ตอนที่ 86 ฉีเชียน: ถูกนักต้มตุ๋นหลอกเสียแล้ว

ตอนที่ 85 เส้นทางระหว่างการเนรเทศนั้นยากลำบากและอันตรายนัก

ยิ่งไกลออกไปทางตะวันตกมาเท่าใด อากาศก็ยิ่งหนาวมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้าและตอนเย็นที่หนาวเข้ากระดูกจนทำให้คนตัวสั่นไม่หยุด

กลุ่มคนที่ถูกเนรเทศไปซีเป่ยเห็นโรงพักม้าอีกแห่งอยู่ตรงหน้าแล้วก็อดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ พวกเขาทั้งกลุ่มไม่เพียงแต่สวมเสื้อผ้าบางเบาเท่านั้น เมื่อบวกกับการเดินทางไปยังทิศตะวันตกนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งทุกข์ทรมานนัก

“ท่านพ่อ ถึงโรงพักม้าแล้ว” ฉินปั๋วหงที่แบกบิดาผู้ผอมแห้งจนเหลือกระดูกไว้บนหลังผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วจึงหันไปมองบุตรชายที่ผอมแห้งพอๆ กันด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ฉินหยวนซานตบไหล่เขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “วางข้าลงเถิด เดี๋ยวจะเหนื่อยเกินไป”

“ไม่เป็นไรท่านพ่อ ข้าไม่เหนื่อย”

ระหว่างการเดินทางของพวกเขานี้ คนแรกที่ล้มป่วยลงคือบุตรชายของเขาที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากมาก่อน โชคดีที่มีผู้มีพระคุณช่วยเหลือ เชิญท่านหมอมารักษา และยังแอบให้เงินพวกเขาไว้สิบตำลึงด้วย

พอบุตรชายดีขึ้นได้บ้าง บิดาผู้ชราก็มาเป็นไข้หวัดเพราะความหนาวเหน็บอีก บัดนี้พวกเขามาถึงโรงพักม้าแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องได้กินน้ำแกงบ้าง ไม่เช่นนั้นก็เกรงว่าจะเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางของการเนรเทศ

ส่วนคนที่ถูกเนรเทศมาพร้อมกับพวกเขาก็ล้มป่วยไปสามคนแล้ว

ฉินปั๋วหงตัวสั่นขึ้นมาทีหนึ่งแล้วมองไปยังบุตรชายพลางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เยี่ยนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”

ฉินหมิงเยี่ยนสูดจมูกที่แดงก่ำเพราะความหนาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงซึมเซา “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร”

ฉินปั๋วหงมองบุตรชายที่แสร้งทำเป็นยิ้มก็รู้สึกเศร้าในใจ เขาจะไม่เป็นไรได้อย่างไร เขายังเด็กแค่นี้ สุขสบายมาตั้งแต่เล็ก เคยต้องทุกข์ทรมานแบบนี้ที่ไหน

นี่ก็เพิ่งผ่านไปแค่ไม่นาน แววตาของเด็กคนนี้ก็ดูคิดมากกว่าคนวัยเดียวกันแล้ว

“พี่ใหญ่ ถึงโรงพักม้าแล้ว ปล่อยท่านพ่อลงมาเถิด ท่านก็อย่าได้ป่วยไปอีกคน นั่นสิจะเป็นเรื่องใหญ่” ฉินปั๋วชิงนายท่านสามตระกูลฉินก้าวเข้าไปจับบิดาที่อยู่บนหลังของเขา เอ่ยโน้มน้าวอีกคน

ฉินปั๋วหงได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยบิดาลงมา ทั้งสองคอยจับพยุงชายชราทั้งซ้ายและขวา รอให้ผู้คุมนักโทษด้านหน้าจัดสรรเรื่องที่พัก

ธรรมดานักโทษอย่างพวกเขามีที่ให้หลบลมหนาวพักค้างคืน ไม่สำคัญว่าจะเป็นโรงฟืนหรืออะไรก็นับว่าดีมากแล้ว

หลังจากรอนานกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาซึ่งถูกจัดสรรให้ไปพักที่โรงเก็บฟืนอย่างที่คาด

“ท่านผู้คุม บิดาของข้าป่วยหนัก เกรงว่าจะทนไม่ไหว กลัวแต่ว่าจะเป็นภาระท่านระหว่างทาง ท่านพอจะหาท่านหมอให้พวกเราสักคนได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้ได้น้ำแกงไล่หวัดมาสักหน่อยก็ยังดี” ฉินปั๋วหงเดินไปหาผู้คุมด้านหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และลอบส่งเงินหนึ่งตำลึงให้เขาใต้ที่กำบัง

ดวงตาของผู้คุมเป็นประกาย เขาลูบเงินพลางเอ่ย “พวกเจ้านี่เรื่องมากจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เด็กน้อยนั่น ตอนนี้ก็เป็นคนแก่อีก รอไปก่อน”

“ขอรับๆ รบกวนท่านแล้ว”

ฉินหยวนซานนอนขดตัวอยู่บนกองฟืน พอได้ยินคำว่าคนแก่ เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อก่อนเขาคือใต้เท้าฉินผู้มีหน้ามีตา ตอนนี้เขาก็แค่คนแก่คนหนึ่งที่ป่วยออดแอดถ่วงแข้งขาเป็นภาระลูกหลาน

เมื่อเขาเหลือบไปมองหลานชายที่ห่อเหี่ยวซึมเซา ฉินหยวนซานก็หลับตา กำหมัดแน่น ก่อนจะไอออกมาเบาๆ

ในไม่ช้าน้ำแกงสมุนไพรเข้มข้นก็ถูกยกมา ทั้งยังมีเสื้อผ้าหนาๆ สองสามตัวโยนมาให้ด้วย

ทุกคนต่างตกตะลึง

“ท่านผู้คุม นี่?”

ผู้คุมเอ่ย “พวกเจ้านับว่าโชคดี ไม่รู้มีผู้ใจบุญที่ไหนให้พวกเจ้ามา”

ฉินปั๋วหงรีบประสานมือทันที “ไม่ทราบว่าเป็นผู้มีพระคุณท่านใด ท่านผู้คุมพอจะบอกข้าน้อยได้หรือไม่”

“ผู้มีพระคุณพักผ่อนแล้ว พวกเจ้าก็อย่าได้ถามเลย แต่แม้ว่าเขามอบให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะกล้าสวมมันหรือไม่ จะปกป้องไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของพวกเจ้าแล้ว” ผู้คุมเอ่ยแฝงความหมาย

พวกฉินหมิงเยี่ยนเด็กน้อยทั้งสองคนยังไม่เข้าใจ แต่พวกฉินหยวนซานกลับเข้าใจ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ในขบวนเดินทางของพวกเขา ใช่จะมีเพียงตระกูลฉินที่ถูกเนรเทศเท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่ถูกส่งมาทำงานหนักจริงๆ ไปเสริมทัพด้วย คนเหล่านั้นคงจะทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด

เส้นทางระหว่างการเนรเทศนั้นยากลำบากและอันตรายกว่าที่คิดไว้มาก

ตอนที่ 86 ฉีเชียน: ถูกนักต้มตุ๋นหลอกเสียแล้ว

“เส้นทางเนรเทศนั้นอันตรายกว่าที่คิดไว้มาก ลองคิดดูสิ คนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยห่างไกลหลายพันลี้ นอกจากสมรรถภาพร่างกายแล้ว ยังต้องอาศัยสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งด้วย ราวกับร่วงหล่นจากสวรรค์สู่พื้นดิน การถูกเนรเทศมีแต่ความทุกข์ยากลำบากเท่านั้น ไม่มีรถม้าลากไป ยิ่งไม่มีเสื้อผ้าอาหารดีๆ หากโชคดีก็ไปถึงโรงพักม้าของทางการได้หลบลมฝน หากโชคไม่ดี เดินช้าไปไม่ทัน ก็ได้แต่ต้องกินนอนในที่โล่งเท่านั้น ถ้ามีลมฝนหรือลมหนาวมา ไม่ตายก็คงสาหัส”

ฉินหลิวซีกำลังนั่งอยู่บนรถม้า พูดคุยกับเฉินผี “นอกจากนี้แล้ว ยังต้องคอยระวังการปล้นฆ่าที่อาจนำไปสู่ความตายได้ทันที”

คนบางคนทำอะไรก็ได้เพื่อให้อยู่รอด หากมีการสมรู้ร่วมคิดกับผู้คุมไปอีกก็ยิ่งไม่มีคนช่วยเหลือ

“คุณชาย ถ้าอย่างนั้นนายท่านผู้เฒ่าและคนอื่นๆ จะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ” เฉินผีพูดไม่ออก

ฉินหลิวซีเอ่ย “ล้วนเป็นโชคชะตา ป่วยไข้อ่อนแอคงหลีกหนีไม่พ้น ส่วนจะถูกปล้นฆ่าหรือไม่ก็ยังเป็นคำนั้น ขึ้นอยู่กับโชคชะตา”

เฉินผีอ้าปาก

“อยากจะถามว่าข้าคิดจะช่วยหรือไม่หรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเบาๆ

เฉินผียิ้มแหย “คุณชายย่อมมีเหตุผลของตนเอง”

“ตระกูลฉินถูกกำหนดให้ต้องรับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ถ้าข้าช่วยพวกเขาหลบหลีก ก็จะไปส่งผลกระทบในทางอื่นอยู่ดี กระทั่งอาจส่งผลต่อตัวข้าเอง ตระกูลฉินมีบุญคุณที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้ามาก็ใช่ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ข้าจะต้องสละชีวิต พวกเขาเองก็รับไม่ไหวหรอก” ฉินหลิวซีเอ่ย “แม้ว่าการขอบคุณความยากลำบากดูจะเป็นคำพูดโง่ๆ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ ตระกูลฉินจะแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าที่ไม่สามารถทำลายได้ คนบางคนจะกลายเป็นเหล็กเนื้อดีด้วยการขัดเกลา อีกประเด็นคือถึงข้าอยากจะช่วยก็ไม่ใช่ตอนนี้”

“คุณชายใช้คำพูดให้กำลังใจที่จับต้องไม่ได้ที่ท่านเคยเอ่ยถึงอีกแล้ว แต่ข้ารู้ว่าคุณชายมีเจตนาอย่างไร ท่านกลัวว่าหากพวกเขาสะดวกสบายเกินไปก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์” เฉินผีหัวเราะเบาๆ “ข้าจำเรื่องเล่านกอินทรีชราและนกอินทรีน้อยของคุณชายได้ คุณชายคือนกอินทรีชราที่ใจร้ายตัวนั้น ต่อให้นกอินทรีตัวน้อยจะมีบาดแผลเป็นร้อยเป็นพัน ท่านก็จะเตะมันอย่างโหดเหี้ยมและปล่อยให้มันเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวมันเอง เพราะนกอินทรีที่ได้รับการปกป้องตลอดเวลาจะกลายเป็นเหมือนนกน้อยในกรง แทนที่จะเป็นเจ้าเวหาที่บินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างน่าเกรงขาม”

ฉินหลิวซีส่ายนิ้ว “เจ้าพูดผิด เหตุผลหลักก็คือคุณชายของเจ้าเกียจคร้านเกินกว่าจะไปหาคนช่วย”

ถ้านางหาคนช่วย นางก็จะต้องถูกบีบให้ทำสิ่งที่นางไม่อยากทำที่สุด เช่น เดินทางไปไหนมาไหน เหน็ดเหนื่อยทำเรื่องต่างๆ นานา

นั่นจะไม่เป็นการขัดกับอุดมคติของนางที่จะไม่แสวงหาความก้าวหน้าหรือ

มันจึงเป็นไปไม่ได้!

เฉินผีหลุดหัวเราะออกมาทันที “ท่านไม่หา คนพวกนั้นก็จะมาหาท่านอยู่ดี”

หลังจากที่เขาพูดจบ ก็มีนกอินทรีตัวหนึ่งส่งเสียงร้องแหลมแหวกอากาศมาราวกับเป็นการตอบสนองต่อคำพูดของเขา

“นายท่าน เป็นนกอินทรี ดูเหมือนว่าจะมีคนเลี้ยง” หั่วหลางขี่ม้าตามมารายงานข้างรถม้า

ก่อนที่ฉีเชียนจะได้เอ่ยอะไร เขาก็ได้ยินเสียงผิวปากแปลกๆ คล้ายตอบรับเสียงร้องของนกอินทรีที่กำลังบินอยู่นั้น

เขาหันไปมองดูรถม้าของฉินหลิวซีทันที จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นกอินทรีพลันบินโฉบลงมาหลังจากได้ยินเสียงผิวปากนั้นอย่างที่คาด มันเร็วมากจนหั่วหลางและคนอื่นๆ ต้องล้อมรถม้าของฉีเชียนไว้พลางยกธนูขึ้นเตรียมพร้อม

ฉินหลิวซีเปิดประตูรถแล้วยื่นมือออกไป

ฉีเชียนมองไปยังมือขาวเรียวท่ามกลางแสงแดด แสงแยงตาเล็กน้อย แล้วเขาก็ได้เห็นว่าแม้นกอินทรีจะบินโฉบลงมาด้วยความเร็วสูงมาก แต่มันก็ร่อนลงเกาะบนข้อมือขาวเรียวนั้นอย่างมั่นคง ขณะที่เกาะลง มือของเขาราวกับไม่ได้รับน้ำหนักใดๆ ทั้งสิ้น

ลมหายใจของฉีเชียนหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย เขาจ้องไปยังใบหน้าหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิงที่โผล่ออกมาก่อนจะยิ้มหยัน “ร่างกายอ่อนแอหรือ หึๆ”

เขาถูกนักต้มตุ๋นนี้หลอกเสียแล้ว!