ตอนที่ 47 แผนการของอวิ๋นเกอ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 47 แผนการของอวิ๋นเกอ

พายุในวังหลังสงบลงในทันควัน

ฮ่องเต้และฮองเฮาคืนดีกันเหมือนก่อน รักใคร่กันมากยิ่งขึ้น

คนจำนวนมากต่างหวาดกลัว และรู้สึกโชคดี

โชคดีที่ตนเองไม่ได้กระทำการวู่วาม

โชคชะตาของเถาฮองเฮาสูงส่งสมดังที่ว่า

ตระกูลเถามีการเคลื่อนไหวมากเพียงนั้น ฮ่องเต้ยังให้อภัยนาง ยังคงโปรดปรานนาง อีกทั้งละเลยสนมนางอื่นในวังหลังเพื่อนาง

ทว่าเถาฮองเฮาเหมือนกับคนที่ดื่มน้ำ ตนเองย่อมรู้ร้อนเย็น

ภายในใจของเถาฮองเฮารู้ดีอย่างยิ่ง ระหว่างนางกับฮ่องเต้หย่งไท่มีรอยร้าว ได้เกิดวิกฤตขึ้นแล้ว

มองจากผิวเผิน ฮ่องเต้หย่งไท่ยังคงโปรดปรานนาง ตามใจนางทุกเรื่อง

แต่เซียวอี้ยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่

นายท่านรองตระกูลเถาผู้เป็นขุนนางราชสำนักถูกคนลอบสังหารต่อหน้าผู้อื่น ฮ่องเต้หย่งไท่กลับไม่ยอมให้ความเป็นธรรมแก่นาง ปล่อยให้ผู้ร้ายมีชีวิตอยู่

ทุกครั้งที่เถาฮองเฮาพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้หย่งไท่มักจะเบี่ยงเบนประเด็น

“ฮองเฮาไม่เชื่อใจข้าหรือ ข้าเคยบอกแล้วว่าจะสืบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด”

“หม่อมฉันย่อมเชื่อใจฝ่าบาทเพคะ แต่พี่สองตายไปนานเพียงนี้ ผู้ร้ายยังคงมีชีวิตอยู่ หม่อมฉันเป็นกังวลว่าพี่สองจะตายตาไม่หลับเพคะ!”

“เช่นนี้หรือ! พรุ่งนี้ข้าจะให้ซุนปังเหนียนเตรียมพิธีให้พี่สอง ย่อมทำให้เขาจากไปอย่างสงบ”

เถาฮองเฮาแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด

เขาพูดเช่นนี้ได้อย่างไร

เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร

นางถาม “ฝ่าบาทไว้ชีวิตเซียวอี้เพราะจวนท่านอ๋องตงผิงหรือเพคะ”

“เรื่องนี้ฮองเฮาไม่จำเป็นต้องถาม ข้าย่อมมีความคิดของตนเอง เรื่องที่ข้าให้เจ้าเตรียมก่อนหน้านี้เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่”

เถาฮองเฮารีบตั้งสติกลับมาทันที “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ทุกสิ่งเตรียมการไว้เหมาะสมแล้วเพคะ เพียงแค่ฝ่าบาทรับสั่งลงมา เหล่าโจรร้ายย่อมต้องหัวขาดออกจากร่าง”

“ดีมาก!”

งานอภิเษกสมรสของเยียนอวิ๋นฉีกับองค์ชายสองถูกกำหนดไว้เป็นช่วงปลายเดือนสี่

งานอภิเษกสมรสของหลี่ปิ้งถิงกับองค์ชายใหญ่ก็ถูกกำหนดไว้เป็นช่วงกลางเดือนสี่ ทั้งสองงานห่างกันสิบกว่าวัน

เมื่อกำหนดวันอภิเษกสมรสแล้ว คนทั้งจวนก็วุ่นวายขึ้นมา

มีเพียงเยียนอวิ๋นเกอที่ว่างอยู่

อันที่จริง เยียนอวิ๋นเกอก็ไม่ได้ว่าง นางมีแผนการของตนเอง

วันฝนตก นางเข้าครัวด้วยตนเอง ทำน้ำแกงเครื่องในหม้อหนึ่ง ทั้งเผ็ดทั้งหอม รสชาติดีเลิศ!

แม้แต่เซียวฮูหยินที่ไม่ค่อยกินเผ็ดยังกินไปหนึ่งชาม

เยียนอวิ๋นฉีคนเดียวกินไปสามชาม เหงื่อออกเต็มหน้า

เผ็ดร้อน!

อร่อย!

สาแก่ใจ!

เยียนอวิ๋นเกอใช้สองมือทำท่าทาง ถาม ‘รสชาติเป็นอย่างไร’

เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้าระรัว “อร่อย! ไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้ำจากการต้มเครื่องในหมูสามารถเลิศรสได้เพียงนี้ น้องสี่ฝีมือดี แม้แต่แม่ครัวในจวนยังเทียบไม่ติด”

เซียวฮูหยินกินไปชามหนึ่ง ก่อนจะวางชามและตะเกียบลง

สำหรับนางแล้ว น้ำแกงชามนี้เผ็ดร้อนเกินไป

คนที่ชอบย่อมชอบมาก กินแล้วยังอยากกินอีก

คนที่ไม่ชอบ พูดอย่างไรคงไม่ยอมรับ

นางหยิบผ้าเช็ดมือออกมา เช็ดมุมปากเบาๆ “อวิ๋นเกอนานๆ ทีจะเข้าครัวต้มน้ำแกงหม้อหนึ่ง หรือว่าเจ้ามีความคิดอันใด”

เยียนอวิ๋นเกอเผยรอยยิ้ม สิ่งใดล้วนไม่อาจปิดบังท่านแม่

นาหยิบกระดาษออกมา เขียนอย่างรวดเร็ว ‘บ่าวรับใช้และองครักษ์ในจวนต่างบอกว่าน้ำแกงเครื่องในอร่อย โดยเฉพาะองครักษ์ที่ใช้กำลังยิ่งชื่นชอบเป็นพิเศษ ลูกวางแผนจะตั้งแผงขายในพื้นที่ของเมืองหลวง ขายน้ำแกงเครื่องในโดยเฉพาะ’

“น้องสี่คิดจะค้าขาย?” เยียนอวิ๋นฉีประหลาดใจ

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า

ใช่ นางเตรียมการจะค้าขาย

เริ่มจากน้ำแกงเครื่องใน

เซียวฮูหยินพูด “อวิ๋นเกออยากค้าขาย ข้าไม่คัดค้าน เพียงแต่ตั้งแผงขายน้ำแกงเครื่องใน อย่างไรก็เป็นเพียงการค้าขนาดเล็ก กำไรมีจำกัด ทำการค้าขายเพียงแค่นี้ แต่กลับต้องสูญเสียกำลังอย่างมาก คุ้มค่าหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ เขียนลงไป ‘การค้าเล็กไม่สำคัญ ข้าไม่กลัวถูกคนจ้องมอง ข้าใช้เงินส่วนตัวของข้าลองดู หาเงินใช้เล่นๆ ท่านแม่เพียงแค่ให้ข้ายืมกำลังคนก็พอ’

เซียวฮูหยินพยักหน้า “ได้! เจ้าต้องการผู้ใด บอกมาได้เลย”

ตกลงแล้ว!

เยียนอวิ๋นเกอดีใจอย่างมาก

เมื่อมีการสนับสนุนจากท่านแม่ นางย่อมสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่

น้ำแกงเครื่องในเป็นการค้าเล็กๆ ก็จริง

กลุ่มลูกค้าสำคัญคือสามัญชน พ่อค้าและทหารชั้นล่างในเมืองหลวง

น้ำแกงเครื่องในชามหนึ่งราคาสองเหวิน เยียนอวิ๋นเกอกำหนดราคานี้หลังจากสำรวจตลาดด้วยตนเอง

แผงค้าขายหนึ่ง กำไรอย่างมากสองถึงสามก้วนต่อวัน

แผงค้าขายที่มีจำนวนคนไม่มากนัก หนึ่งวันได้กำไรหนึ่งก้วนก็มากเพียงพอแล้ว

แผงค้าขายหนึ่ง หนึ่งเดือนได้กำไรยี่สิบสามสิบก้วน เยอะหรือไม่

สำหรับสามัญชนธรรมดานั้น เยอะมาก!

เยอะจนดวงตาร้อนระอุ เยอะจนพี่น้องเป็นศัตรูกันเพื่อแย่งชิง

แต่สำหรับครอบครัวที่มีความมั่งคั่งนั้น เงินเพียงเท่านี้ไม่อยู่ในสายตา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวฮูหยินผู้เป็นองค์หญิง มีทั้งที่นา ร้านค้า อีกทั้งที่ดินศักดินา นางยิ่งไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

ชนชั้นสูงคนอื่นย่อมไม่สนใจการค้าขายขนาดเล็กนี้

แต่เยียนอวิ๋นเกอสนใจ

เหตุใดหรือ

นางไม่ได้บอกเซียวฮูหยิน ในแผนการของนาง แผนค้าขายน้ำแกงเครื่องในจะกลายเป็นแผงค้าขายแบบลูกโซ่

แผงหนึ่งได้เงินน้อย แต่หากมีสิบแผง ร้อยแผงเล่า?

ถึงเวลา ยังมีผู้ใดรังเกียจการค้าขายน้ำแกงเครื่องในได้เงินน้อยอีก

หลายเดือนนี้เยียนอวิ๋นเกอสำรวจไปทั่วทุกพื้นที่ อย่างน้อยก็ได้ผลประกอบการมา

อย่างน้อย พื้นที่ในเมืองหลวงแห่งนี้ นางคุ้นชิน

เมืองทางตะวันออก เมืองทางใต้ ตลาดทางตะวันออก ตลาดทางตะวันตก…

แผนการของนาง ขั้นตอนแรกคือเปิดร้านค้าขายน้ำแกงเครื่องในนี้สิบแห่งในเวลาเดียวกัน

เพียงแค่ครึ่งเดือนแรกการค้าขายบรรลุความคาดหมาย ต่อจากนั้นร้านค้าอีกยี่สิบแห่งก็สามารถทยอยเปิดขึ้น

เมืองหลวง เมืองอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

ประชากรไม่ถึงล้าน อย่างน้อยก็มีเจ็ดแปดแสน คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นสามัญชนที่ยากลำบาก

ในแผนการของเยียนอวิ๋นเกอ นางต้องการเปิดแผงค้าขายน้ำแกงเครื่องในในเมืองหลวงห้าสิบแห่ง แม้แต่สถานที่นางก็เลือกไว้แล้ว

เมื่อนางได้ครอบครองตลาดเมืองหลวง นางจะเริ่มขยับขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในเมือง

หลังจากขยับขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในเมืองแล้ว นางจะเริ่มขยายไปทางหนานฉานสือ

นางพยายามจะขยายการค้าขายน้ำแกงเครื่องในนี้ไปทั่วแผ่นดินภายในสามปี ทำให้มันกลายเป็นร้านค้าแบบลูกโซ่อย่างแท้จริง

กลัวผู้อื่นแย่งการค้าหรือตลาดหรือไม่

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ นางไม่กลัวแม้แต่น้อย

สมัยนี้ มีคนน้ำแกงจากการต้มเครื่องในหมู เครื่องในแพะ เพราะเหตุใดหรือ

ไม่ใช่ไม่อยากกิน หากแต่ทำให้อร่อยยาก

เนื่องจากการล้างที่ไม่สะอาด การปรุงอย่างไม่ถูกวิธี ไม่สามารถล้างกลิ่นคาวของเนื้อได้ ไม่อาจทำให้มีกลิ่นหอมและความเผ็ดร้อนได้

น้ำแกงเครื่องใน ดูเหมือนทำง่าย แต่หากลงมือทำจริง จึงจะพบว่าไม่ได้ง่ายเพียงนั้น

ซึ่งเป็นเหตุผลที่น้ำแกงเครื่องในฝีมือของแม่ครัวในจวนองค์หญิงจึงไม่มีคนสนใจ

แต่น้ำแกงเครื่องในที่เยียนอวิ๋นเกอทำออกมา ทำให้คนกินแล้วอยากกินอีก

ความลับอยู่ที่เครื่องเทศ

เยียนอวิ๋นเกอรวบรวมเมล็ดพันธุ์มานานหลายปี เมื่อมาถึงเมืองหลวง อันดับแรกคือหว่านเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ในแปลงนา

สามารถบอกได้ว่า ในมือของเยียนอวิ๋นเกอมีเครื่องเทศที่ครบครันที่สุดในสมัยนี้

คนด้านล่างเพียงแค่ทำตามกระบวนการที่นางกำหนด อีกทั้งใช้เครื่องปรุงรสที่นางปรุงไว้ ย่อมสามารถปรุงน้ำแกงเครื่องในที่มีความเผ็ดร้อนออกมาได้

เยียนอวิ๋นเกอจึงมีความมั่นใจในการเปิดร้านค้า

หากมีคนมีตาหามีแววไม่จริง ต้องการแย่งชิงร้านค้าของนาง แย่งชิงสูตรของนาง เฮอะๆ …

นางไม่จำเป็นต้องพูดพล่าม จู่โจมกลับทันที!

นางแม้แต่จวนองค์หญิงยังกล้าพังทลาย นางไม่เชื่อว่าจะมีชนชั้นสูงคนใดกล้าแย่งชิงการค้าของนางอย่างไร้ยางอาย

ส่วนเหล่าคนที่มีแต่กำลังหากแต่ไม่มีสมองยิ่งไม่ต้องเกรงใจ ยกกระบองตีได้โดยตรง เพียงแค่ไม่ตีให้ตายก็พอ

หากถามว่าน้ำแกงเครื่องในจะขายได้หรือไม่

จะมีคนจำนวนมากไปกินจริงหรือไม่

ย่อมต้องมี!

คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดไร้จุดหมาย แต่เป็นข้อสรุปที่เยียนอวิ๋นเกอได้มาหลังจากทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ยุคสมัยนี้ นอกจากตระกูลที่ร่ำรวย สิ่งที่เยียนอวิ๋นเกอสัมผัสได้มากที่สุดคือความจน

ประชาชนในเมืองหลวง ภายใต้พระบาทของโอรสแห่งสวรรค์ ยังคงมีคนมากมายที่ตกอยู่ในความยากจน

ประชาชนทั่วไป สามเดือนไม่ได้ลิ้มรสเนื้อเป็นเรื่องธรรมดา

คนส่วนมาก หนึ่งปีได้กินเนื้อหนเดียว

สมัยนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนขาดแคลนเนื้อสัตว์ แต่ละคนล้วนต้องการเนื้อสัตว์

เครื่องในหมู เครื่องในแพะถือเป็นเนื้อหรือไม่

ย่อมเป็น!

แต่ก่อนทุกคนทำไม่เป็นจึงมีกลิ่นคาว ทำให้ยากต่อการกลืนกิน

เวลานี้ น้ำแกงเครื่องในหนึ่งชามสองเหวิน เหมาะสมอย่างมาก ไม่เพียงมีเนื้อ รสชาติยังอร่อย สามัญชนคนใดไม่ยินดีที่จะลองของใหม่

ทุกคนยินดีอย่างมาก!

การค้าขายขนาดเล็กสามารถขยับขยายได้ อีกทั้งไม่สะดุดตา

กำไรน้อยแต่ขายได้มาก สะสมน้อยกลายเป็นมาก เงินก้อนเล็กก็กลายเป็นเงินก้อนโตได้

อันที่จริงการเปิดร้านค้าแบบลูกโซ่เป็นเพียงหนึ่งแผนการเล็กท่ามกลางแผนการใหญ่ของเยียนอวิ๋นเกอ

การเดินทางมาเมืองหลวงไม่ง่าย การหลุดพ้นจากการจับตาดูของบิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้านก็ไม่ง่าย เยียนอวิ๋นเกอย่อมต้องทำให้เต็มที่ สะสมกำลัง

สองชั่วชีวิต คำพูดที่จริงที่สุดคือพึ่งพาผู้อื่นไม่สู้พึ่งพาตนเอง

นางรู้ มารดาเซียวฮูหยินรักนางอย่างเต็มเปี่ยม แต่มารดาก็ย่อมมีเวลาที่อาจไม่สนใจนางได้

นอกจากนี้ ราชสำนักกำลังโกลาหล ท่านอ๋องจากทุกทิศทั่วทาง แม่ทัพจากแต่ละพื้นที่ ต้องการเพียงชนวนจุดไฟในการก่อให้เกิดความโกลาหลของแผ่นดิน

เมื่อถึงเวลา หากท่านแม่เกิดเรื่องจะทำอย่างไร

นางจะปกป้องตนเองได้อย่างไร

ปกป้องท่านแม่ได้อย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอมีสัมผัสด้านวิกฤตที่แรงกล้าอย่างมาก นางต้องโฉบฉวยโอกาสที่หลุดพ้นจากการจับตาดูของเยียนโส่วจ้าน สะสมกองกำลังหนึ่งขึ้นมา

สิ่งจำเป็นสำหรับสะสมกองกำลัง หนึ่งคือเสบียง สองคืออาวุธ สามคือพลังในการรวบรวม

พลังในการรวบรวมยังไม่ต้องพูดถึง

ไม่ว่าจะเป็นเสบียงหรืออาวุธ พื้นฐานของมันล้วนเป็นเงิน

มีเงิน จึงจะมีเสบียง จึงมีอาวุธ จะสามารถรวบรวมใจคนได้

แต่แล้วน่าเสียดาย ยุคสมัยนี้ช่างยากจนเหลือเกิน

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เสบียงไม่พอกิน

ไม่เพียงแต่เสบียงของประชาชนไม่พอกิน เสบียงของราชสำนักก็ไม่พอกินเช่นเดียวกัน

ถึงแม้จะเป็นตระกูลเยียนก็ยังคงต้องประสบกับปัญหาเสบียงไม่พอกิน

เลี้ยงทหารเอาไว้มากมาย ปัญหาใหญ่สุดคือการกิน ทำอย่างไรจึงกินอิ่ม

เหตุใดเยียนโส่วจ้านจึงยืนกรานจะปรองดองเป็นตระกูลเดียวกันกับตระกูลหลิง

เพราะว่าตระกูลหลิงมีเสบียง

สมัยนี้ หากไม่มีหนทาง มีเงินก็ไม่อาจซื้อเสบียงได้

ตระกูลหลิงมีเสบียง ขายผู้ใดไม่ขาย เหตุใดจึงต้องขายให้ตระกูลเยียน

นอกจากการปรองดองแล้ว เยียนโส่วจ้านยังต้องสูญเสียสิ่งอื่น จึงสามารถซื้อเสบียงจากตระกูลหลิงได้อย่างราบรื่น

เสบียงเป็นแผนการใหญ่อันที่สองของเยียนอวิ๋นเกอ อีกทั้งยังเป็นรากฐานของอนาคตนาง

ประชาชนยึดเสบียงเป็นสิ่งสำคัญ นางย่อมไม่อาจให้คนจับเส้นทางชีวิตของนางเอาไว้ได้ ดังนั้นต่อจากนี้เยียนอวิ๋นเกอจะบุกเบิกที่ดิน

นางวิ่งออกไปด้านนอกทุกวัน จึงมีการเลือกสถานที่เอาไว้นานแล้ว

หลายแคว้นภายในเมืองมีพื้นที่รกร้างหลายแห่ง ล้วนเป็นพื้นที่ไร้เจ้าของ แต่ก็มีพื้นที่ที่มีเจ้าของ

เพียงแต่การบุกเบิกที่ดินไม่ได้ง่ายนัก ไม่ใช่การใช้จอบขุดลงไปก็สามารถบุกเบิกได้

การบุกเบิกที่ดิน หนึ่งต้องมีเงิน สองต้องมีกำลังคน สามต้องเดินเรื่องสิทธิ์ในที่ดินกับที่ว่าการในพื้นที่

อย่ารอจนถึงบุกเบิกเสร็จแล้ว มีผลประกอบการแล้ว ถึงได้มีคนวิ่งออกมาลักขโมยผลกระกอบการ บอกว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นของเขา

เมื่อถึงเวลาคงมีเรื่องวุ่นวายมากมาย