ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในขณะที่นากากำลังวิ่งไปตามถนนเส้นหลักของตัวเมืองทางทิศเหนือที่เขาเคยเดินผ่านมาก่อนในตอนที่เดินทางไปยังคฤหาสน์ของเวก้านั่นเอง เครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่เขาใส่ไว้ในหูก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมา ก่อนที่เสียงของเอริกะจะดังตามมาจากเจ้าเครื่องนั่นเหมือนกับทุกครั้ง
“นากาคุง นายวิ่งไปถึงไหนแล้วน่ะ”
“เพิ่งจะผ่านประตูกั้นเขตเมืองชั้นในทางทิศเหนือมาน่ะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“อื้ม…ถ้าเป็นทิศเหนือ งั้นนายจำที่ตั้งคฤหาสน์ของเวก้าได้รึเปล่า? พอนายไปถึงที่นั่นแล้วก็หันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแล้ววิ่งตัดแนวป่าตรงไปเรื่อยๆ เลย ใช้เข็มทิศที่ฉันให้ไปด้วยนั่นคอยตรวจดูทิศบ่อยๆ อย่าให้หลงล่ะ แล้วพอพ้นป่านั่นไปแล้วค่อยติดต่อฉันกลับมาอีกทีละกัน”
“พอพ้นจากป่าด้านตะวันออกเฉียงเหนือของคฤหาสน์แล้วให้ติดต่อเธอกลับไปงั้นสินะ เข้าใจแล้ว!”
เมื่อนากาได้ยินคำสั่งของเอริกะแล้วเขาก็ตอบกลับไปอย่างฮึกเหิมจนทำให้ชาวเมืองบางคนที่อยู่ใกล้ๆ หันมามองอย่างสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบลดเสียงลงและพูดถามเอริกะกลับไปอีกครั้ง
“…แล้วสรุปว่าคนที่ฉันต้องไปช่วยนี่ใช่เซซิลจริงๆ หรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เท่าที่สายของฉันรายงานมาก็คือมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ที่ทุ่งหญ้าทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนแรกเขาก็กะว่าจะปล่อยผ่านไปเพราะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราอยู่หรอก แต่ว่าเขาดันไปเห็นเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มถือดาบคาตานะที่สวมเสื้อกันลมของโรงเรียนรีมินัสแอบดูพวกนั้นอยู่ใกล้ๆ ด้วย เขาก็เลยรีบมารายงานให้ฉันรู้น่ะ”
ลักษณะของคนที่เอริกะพูดขึ้นมานั้นตรงกับเซซิลแบบไม่มีผิดเพี้ยน จนทำให้นากาต้องถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงนิสัยของเพื่อนใหม่ของเขา
“ผมสีน้ำตาลเข้ม ถือดาบคาตานะกับสวมเสื้อของโรงเรียน… งั้นก็คงจะเป็นเซซิลแน่ๆ ล่ะ เฮ้อ… หวังว่ายัยนั่นคงจะไม่บ้าจี้เข้าไปขอท้าพวกนั้นประลองดาบหรอกนะ”
“เอาเป็นว่านายออมแรงเอาไว้หน่อยก็ดี เผื่อว่าจะต้องไปช่วยเธอสู้ขึ้นมาน่ะ ตรงแถวประตูกั้นเขตน่าจะมีรถม้ารับจ้างอยู่นะ จ้างให้เขาไปส่งที่คฤหาสน์ของเวก้าแล้วนายค่อยวิ่งไปต่อเองก็ได้ จะได้ไม่หมดแรงไปก่อน”
“เอ่อ… แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยนะ”
“อ๊ะ…”
ทันทีที่เอริกะได้ยินว่านากาไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่สักนิดเดียวเธอก็ร้องขึ้นมาเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรได้ จนทำให้นากาต้องร้องกลับไปอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน
“…อ๊ะ?”
“ก็…. ช่วงนี้มันยุ่งๆ นี่ ฉันก็เลยลืมเรื่องค่าจ้างของนายไปเลย ว่าแต่พวกเธอก็เข้าเมืองมากันได้สักพักแล้วไม่ใช่หรอ? อย่าบอกนะว่าไม่ได้พกเงินมากันเลยน่ะ”
“ก็ตอนนั้นพวกฉันแค่กะจะไปดูรถยนต์ที่คลินิกของอารอนเองนี่เลยไม่ได้พกเงินไปด้วย ใครจะไปคิดล่ะว่าจะมีคนบุกเข้ามาจนต้องรีบหนีกันแบบนี้น่ะ ถ้ารู้ก่อนว่าจะโดนอารอนจับมาส่งถึงในเมืองเลยแบบนี้พวกฉันก็ต้องพกเงินมาด้วยอยู่แล้วสิ”
“แล้วสามสี่วันที่ผ่านมานี่พวกเธออยู่กันได้ยังไงน่ะ ไม่มีเงินติดตัวเลยแบบนั้น?”
เมื่อได้ยินคำถามของเอริกะเข้าไปนากาก็ได้แต่เกาหัวตัวเองพลางตอบกลับไปแบบค่อนข้างเกรงใจ เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วพวกเขานั้นได้รบกวนเอริกะเอาไว้มากทีเดียว
“ก็พวกฉันพักอยู่ที่บ้านของเธอเลยไม่ต้องเสียเงินค่าโรงแรมนี่… ส่วนเรื่องอาหารเธอก็ทำให้แทบจะทุกวันอีก
เอาจริงๆ ตั้งแต่เข้าเมืองมาก็มีแค่เมื่อวานนี้เองล่ะมั้งที่พรีมูล่าใช้เงินไปซื้อขนมน่ะ”
“แหม่ ถ้าเรื่องแค่นั้นน่ะไม่ต้องคิดมากหรอก~ ยังไงซะพวกนายก็ไม่ได้มาอยู่ฟรีๆ อยู่แล้วนี่ อย่างคราวนี้ก็ต้องออกไปทำงานให้ฉันอีกไม่ใช่หรือไง”
“เอาจริงๆ ฉันรู้สึกว่าไปช่วยเพื่อนนี่เหมือนจะเป็นธุระส่วนตัวมากกว่าทำภารกิจอีกนะ…”
“มันก็ไม่ต่างกันนักหรอกน่— นี่อลิซอย่าเพิ่งขยับสิ!”
เคล๊งงง!! ปั๊ก!
“โอ๊ย! คุณอลิซระวังหน่อยสิครับ!!”
ยังไม่ทันที่เอริกะจะได้พูดจบ อยู่ดีๆ เธอก็ร้องว่าอลิซขึ้นมาเสียงดัง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของบางอย่างที่ตกลงพื้นและยังมีเสียงของคอนแนลดังแทรกผ่านเข้ามาอีกด้วย จนทำให้นากาตัดสินใจที่จะหยุดการสนทนาของพวกเขาเอาไว้เพียงเท่านี้เพื่อให้เอริกะได้มีสมาธิในการจัดการซ่อมแซมพาร์ทส่วนล่างอะไรของเธอนั่นได้เต็มที่สักที
“งั้นสรุปว่าพอฉันไปถึงคฤหาสน์แล้วก็ให้หันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแล้วก็วิ่งฝ่าไปทางนั้นจนกว่าจะเจอทุ่งโล่งแล้วค่อยติดต่อเธอกลับไปอีกทีสินะ?”
“อื้ม! ก็ตามนั้นล่ะ อย่าลืมนะว่าพอไปถึงทุ่งหญ้าหลังแนวป่านั่นแล้วให้ติดต่อฉันก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปน่ะ แล้วก็ตอนอยู่ในป่าอย่าลืมดูเข็มทิศบ่อยๆ ด้วยล่ะ!”
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันติดต่อกลับไปละกันนะ!”
นากาขานตอบกลับเอริกะเสียงดังฟังชัดก่อนที่เขาจะเร่งฝีเท้าพุ่งผ่านประตูเมืองรีมินัสออกไปในทันทีโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเหล่าคนในเมืองที่หันมามองดูเขาด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองดูคนบ้าพูดกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เคล๊ง! เคล๊ง!
ในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง ที่ทุ่งราบซึ่งเป็นเป้าหมายของนากานั้นก็ได้มีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังเข้าปะทะกันอยู่อย่างดุเดือด
โดยฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นกลุ่มทหารในชุดเกราะหนังที่มีผ้าคลุมสีแดงและฮู้ดคลุมหัวสีเดียวกันจำนวนสี่คน แยกเป็นชายสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน ซึ่งพวกเขานั้นได้แยกออกเป็นสองกลุ่ม เพื่อแบ่งกันรับมือกับฝั่งตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่า
กลุ่มแรกนั้นเป็นทหารหญิงที่ใช้ปืนพกขนาดเล็กจับคู่กับผู้ชายที่ใช้มีดสั้นเพื่อช่วยกันรับมือคู่ต่อสู้ทั้งสองคนที่บุกโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะอีกกลุ่มนั้นเป็นผู้ชายสองคนที่ใช้ดาบทั้งคู่กำลังยืนหันหลังชนกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทุ่งโล่งเพื่อช่วยกันรับมือศัตรูอีกสามคนที่ยืนล้อมพวกเขาเอาไว้อยู่
ซึ่งกลุ่มคนที่ทหารผ้าคลุมแดงกำลังพยายามรับมืออยู่นั้นมีจำนวนทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยพวกเขาทั้งห้าได้สวมใส่ชุดผ้าสีดำและที่แขนทั้งสองข้างของทหารชุดดำพวกนั้นก็ได้สวมใส่เกราะแขนขนาดใหญ่เอาไว้
โดยเกราะแขนของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนกับเกราะส่วนแขนที่ถูกออกแบบมาให้เข้าคู่กับชุดเกราะอัศวินแบบที่เหล่าอัศวินในเมืองรีมินัสสวมใส่กันเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าเกราะแขนของเหล่าทหารชุดดำนั้นเมื่อดูผ่านๆ แล้วจะเหมือนกับว่ามันคือแผ่นเกราะหลายๆ ชิ้นที่ถูกนำมาเรียงกันให้กลายเป็นแผ่นเกราะขนาดใหญ่ปกคลุมบริเวณไหล่และท่อนแขนด้านนอกเอาไว้
และอาวุธของทหารชุดดำทั้งห้าคนนั้นก็เป็นดาบคาตานะรูปแบบเดียวกันทุกคน ต่างจากฝั่งของทหารผ้าคลุมแดงทั้งสี่คนที่ใช้อาวุธแตกต่างกันไปตามที่ตัวเองถนัด
ซึ่งเมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ถึงแม้ว่าทางทหารผ้าคลุมแดงจะเสียเปรียบด้านจำนวนคน แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถที่จะรับมือเหล่าทหารชุดดำได้อยู่
และจากการแต่งกายของทหารผ้าคลุมแดงที่น่าจะคุ้นเคยกับการเดินป่าแล้ว ถ้าเกิดว่าสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็น่าจะสามารถปลีกตัวจากการต่อสู้และหลบหนีเข้าไปในป่าเพื่อสลัดอีกฝ่ายที่แต่งตัวเหมือนทหารหน่วยจู่โจมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ถ้านั่นไม่ใช่เพราะว่าทางด้านหนึ่งของทุ่งโล่งนั้นได้มีหญิงสาวผมสีชมพูคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยเครื่องแบบเดียวกับทหารชุดดำกำลังยืนกอดอกพิงดาบขนาดยักษ์เล่มหนึ่งที่ปักอยู่กับพื้นและกำลังมองดูการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ด้วยใบหน้านิ่งเฉยที่ออกจะไปทางเบื่อหน่ายซะด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าการแต่งตัวของหญิงสาวผมชมพูนั้นจะคล้ายกับเหล่าทหารชุดดำที่เป็นชุดผ้าและสวมแผ่นเกราะที่บริเวณแขนทั้งสองข้างก็ตามที
แต่ว่าชุดของเธอกลับมีสีขาวสะอาดรวมถึงเกราะแขนเองก็เป็นสีแดงประดับด้วยลวดลายสีทองแตกต่างจากเหล่าทหารชุดดำทั้งห้าคน บ่งบอกว่าได้ว่าเธอน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารชุดดำไม่ผิดแน่
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารหญิงในชุดเกราะหนังผ้าคลุมแดงนั้นต้องคอยแอบเหลือบไปดูท่าทีของอีกฝ่ายอยู่เป็นระยะจนทำให้คู่ต่อสู้ของเธอสังเกตเห็นได้และฉวยโอกาสที่เธอเหลือบไปมองอีกครั้งในการฟาดดาบคาตานะในมือเข้าใส่ในทันที
เคล๊ง!
ถึงแม้ว่าทหารหญิงผ้าคลุมแดงนั้นจะสามารถยกปืนพกในมือขึ้นมากันดาบคาตานะของอีกฝ่ายได้ทัน แต่ว่านั่นก็ทำให้ปืนของเธอกระเด็นหลุดมือไป รวมถึงเธอยังเสียหลักจากแรงกระแทกนั้นอีกด้วย
และเมื่อทหารชุดดำเห็นแบบนั้นเขาก็รีบสะบัดดาบกลับลงมาฟันใส่เธออีกครั้งอย่างไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย
เคล๊ง!
แต่ว่าก็โชคดีที่คู่หูของเธอนั้นได้พุ่งตัวเข้ามาใช้มีดในมือของเขาเข้ารับดาบคาตานะของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ไม่เป็นอะไรนะยุย —-!?”
ผลัก!! ฟวับ—
ในขณะที่เขากำลังเอ่ยปากถามทหารหญิงนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นทหารชุดดำอีกคนหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเหวี่ยงขาเตะทหารชุดดำเบื้องหน้าที่กำลังออกแรงยันอาวุธกันอยู่ให้กระเด็นออกไปอีกทาง ก่อนที่เขาจะอัดพลังวิซใส่มีดสั้นของตนจนมันเรืองแสงสีเขียวออกมาและตวัดไปทางทหารชุดดำที่กำลังพุ่งเข้ามาในทันที
ซึ่งนั่นก็ทำให้แสงสีเขียวส่วนหนึ่งหลุดออกมาจากตัวมีดและพุ่งออกไปเป็นใบมีดสายลมสีเขียวตรงเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง จนทำให้ทหารชุดดำนั้นต้องรีบหยุดฝีเท้าลงและเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อหันเอาแผ่นเกราะบริเวณไหล่เข้ารับใบมีดสายลมที่กำลังพุ่งเข้ามา
และในชั่วพริบตาก่อนที่เกราะแขนของเขาจะปะทะเข้ากับใบมีดสายลมนั่นเอง ตัวเกราะของเขาก็ได้เรืองแสงขึ้นมาเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าเขาได้ใส่พลังวิซเข้าไปเพื่อสร้างเกราะป้องกันเสริมขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
—เพล๊ง!!
ทันทีที่ใบมีดสายลมได้กระแทกเข้ากับเกราะพลังวิซนั้นพวกมันทั้งคู่ก็ได้แตกสลายไปเป็นเสี่ยงๆ โดยที่ไม่ได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าแรงกระแทกของมันก็ทำให้ทหารชุดดำที่ยังไม่ได้ยืนตั้งหลักอย่างมั่นคงถึงกับไหล่สะบัดไปอีกทาง เผยเป็นช่องว่างให้ทหารหญิงที่คว้าปืนพกของเธอกลับขึ้นมาถือเอาไว้แล้วได้ลั่นไกใส่อย่างเต็มที่
ปังปังปัง!!
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารชุดดำต้องรีบหมุนตัวเพื่อเอาเกราะแขนอีกข้างเข้ารับกระสุนพวกนั้นแทน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกระโดดถอยเว้นระยะห่างออกมาจากทั้งสองเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีอีกครั้ง
“เกือบไปแล้วไง ขอบใจน— ด็อคระวัง!!”
ในขณะที่ทหารหญิงกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณเพื่อนของเธออยู่นั่นเอง เธอก็เหลือบไปเห็นทหารชุดดำคนแรกที่เพื่อนของเธอเตะกระเด็นไปได้พุ่งเข้ามาประชิดตัวของเพื่อนเธออีกครั้งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“—!?”
ฉัวะ—
“อึ๊ก—!?”
ถึงแม้ว่าทหารผ้าคลุมแดงที่ใช้มีดสั้นเป็นอาวุธนั้นจะสามารถเบี่ยงตัวหลบดาบคาตานะของอีกฝ่ายที่ฟาดเข้าใส่กลางลำตัวของเขาได้ แต่ว่าใบดาบนั้นก็ปาดเข้าใส่แขนของเขาแทน จนทำให้เลือดสีแดงได้ไหลทะลักพุ่งกระจายไปทั่วบริเวณ เขาจึงต้องรีบกระโดดถอยเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายพร้อมกับเก็บมีดของตนไปเพื่อที่จะเอามืออีกข้างมากดบาดแผลห้ามเลือดเอาไว้ก่อน
ซึ่งทหารชุดดำนั้นก็ได้ง้างดาบคาตานะขึ้นเหนือหัวและพุ่งตัวตามไปเพื่อหวังที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ในทีเดียว และเมื่อเห็นแบบนั้นทหารหญิงก็ได้ตัดสินใจรีบหันปืนพกในมือไปทางนั้นเพื่อช่วยยิงสกัดให้ในทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ—!?”
แต่ว่าทันทีที่เธอละความสนใจไปอีกทาง ทหารชุดดำคนที่เธอใช้ปืนจ่อเอาไว้เพื่อคุมเชิงก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการพุ่งตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เธอจึงต้องรีบหันกลับมารับมืออีกฝ่ายจนไม่มีเวลาได้ยิงปืนช่วยเหลือเพื่อนของเธอเลยแม้แต่น้อย
ฟวับ—เคล๊ง!!
“บ้าจริง! หนีไปสิด็อค!!”
และเมื่อเธอหันกลับไปดูทางเพื่อนของเธออีกครั้งก็พบว่าเขานั้นได้ถูกทหารชุดดำพุ่งเข้าประชิดตัวเป็นที่เรียบร้อยซะแล้ว
“….!!”
ซู้มมม— เคล๊ง!!
ในจังหวะที่ดาบคาตานะของทหารชุดดำได้ถูกตวัดลงมานั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้เกิดสายลมกรรโชกพัดมาจากชายป่าอย่างรุนแรง ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงโปร่งของเซซิลที่พุ่งเข้ามาขวางหน้าทหารผ้าคลุมแดงและใช้ดาบคาตานะของเธอเข้ารับดาบคาตานะของทหารชุดดำเอาไว้ได้ทันท่วงที
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารผ้าคลุมแดงที่เหมือนจะชื่อด็อคนั้นได้แต่พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“น—นี่เธอ—!?”
“…..”
เคล๊ง!!
แต่ว่าเซซิลก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก่อนที่เธอจะออกแรงสะบัดดาบของตัวเองขึ้นเหนือหัวจนคู่ต่อสู้เสียหลัก จากนั้นเธอก็เอื้อมมืออีกข้างไปจับด้ามดาบของตัวเองเอาไว้และฟาดมันกลับลงใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
ฟุ๊บ! แกร๊ก—! เป๊ง!!
ถึงแม้ว่าทหารชุดดำคนนั้นจะสามารถรั้งดาบคาตานะของเขากลับมาเพื่อป้องตัวเองได้ทัน แต่ว่าทันทีที่ใบดาบของทั้งสองคนสัมผัสกัน ดาบคาตานะของทหารชุดดำนั้นก็ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถูกดาบคาตานะของเซซิลฟันผ่านจนขาดครึ่งอย่างน่าตกตะลึง
และนั่นก็ทำให้ทหารชุดดำคนนั้นไม่มีเวลาได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยเมื่อใบดาบของเซซิลได้พุ่งปาดตั้งแต่หัวไหล่ข้างขวาของเขาลากยาวจนไปถึงบริเวณเอวอีกข้างหนึ่ง
ซึ่งทหารชุดดำนั้นก็ก้มลงไปมองดูร่างกายของตัวเองที่มีบาดแผลลากยาวตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงช่วงเอวสลับกับใบดาบในมือของตนที่เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวอยู่สักครู่ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“—เฮ้ย!?”
ทันทีที่ทหารชุดดำอีกคนหนึ่งที่กำลังรับมือกับทหารหญิงอยู่ได้เห็นเพื่อนของเขาค่อยๆ ทรุดลงไปกองแบบนั้นเขาก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจและรีบอัดพลังวิซของตนเข้าใส่แผ่นเกราะส่วนแขนเพื่อให้มันสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับใช้เกราะพลังวิซนั้นในการป้องกันกระสุนของฝ่ายตรงข้ามเพื่อพุ่งเข้าไปกระแทกหญิงสาวให้เสียหลักล้มกลิ้งลงไปอย่างรุนแรง
ผลัก!!
“ว๊าย!”
และเมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวในชุดเกราะหนังนั้นถูกกระแทกจนล้มกลิ้งไปแล้ว เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาเพื่อนของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นในทันที
“ทาคาโอะเป็นยังไงบ้าง! ยังไม่ตายใช่มั้ย!?”
“อึก…”
“อดทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะรีบ—-!?”
ชิ้ง—
ในขณะที่เขากำลังดูอาการของเพื่อนของตนอยู่นั้น เซซิลก็ได้ยื่นดาบคาตานะของเธอมาจ่อที่ลำคอของเขาจนทำให้เขาต้องหยุดพูดไปกลางคัน และเขาก็ยังพบว่าทหารหญิงที่เขาเพิ่งจะกระแทกจนล้มกลิ้งไปนั้นได้ลุกกลับขึ้นมายืนอีกหนึ่งครั้งแล้ว แถมเธอยังเล็งปืนพกในมือมาทางเขาอยู่อีกด้วย
“เหอะ… คงจะไม่กะให้พวกฉันรอดไปได้งั้นสินะ ถ้างั้นก็เข้าม—-”
“พาคนเจ็บกลับไปซะ…”
แต่ว่ายังไม่ทันที่ทหารชุดดำจะได้หยิบดาบคาตานะของตนขึ้นมาอีกครั้ง เซซิลก็ได้ลดดาบของเธอลงเล็กน้อยและขยับตัวเข้าไปขวางระหว่างตัวเขากับทหารหญิงผ้าคลุมแดงพร้อมกับพูดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองทหารผ้าคลุมแดงที่ถูกฟันที่แขนไปก่อนหน้านี้และพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“พาคนเจ็บกลับไปซะ… ทั้งคู่นั่นล่ะ…”
เมื่อทหารหญิงได้ยินแบบนั้นเธอก็เหลือบไปมองยังเพื่อนของเธอที่ถูกฟันที่แขนและตัดสินใจที่จะเก็บปืนพกในมือไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารชุดดำที่เห็นแบบนั้นรีบเก็บดาบคาตานะของตนตามไปพร้อมกับพยายามลากเพื่อนของตนที่ถูกฟันเป็นทางยาวให้ถอยไปทางทิศที่ทหารหญิงผมชมพูในชุดสีขาวคนนั้นยืนเฝ้าดูอยู่ในทันที
ในขณะที่ทหารชายผ้าคลุมแดงนั้นก็ได้ทรุดตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน จนทำให้ทหารหญิงต้องรีบนั่งลงเพื่อตรวจดูบาดแผลบริเวณแขนของเขาอย่างเป็นกังวล
และเมื่อเซซิลเห็นว่าทั้งสองฝ่ายยอมแยกย้ายกันไปแต่โดยดีแล้ว เธอก็หันไปทางอีกฝั่งหนึ่งของทุ่งโล่งที่มีทหารผ้าคลุมแดงสองคนกำลังยืนหันหลังชนกันเพื่อช่วยกันรับมือทหารชุดดำอีกสามคนที่เหลือซึ่งใช้วิธีการผลัดกันเข้ามาโจมตีอยู่อย่างยากลำบาก และเธอก็ได้ออกแรงพุ่งตัวไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
เคล๊ง! เคล๊ง! เคล๊ง!
ทันทีที่เซซิลพุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอก็เลือกเป้าหมายเป็นหนึ่งในทหารชุดดำที่ยืนอยู่ไกลจากเพื่อนที่สุด และเธอก็ได้ใช้ดาบคาตานะของเธอฟันเข้าใส่เขาอย่างต่อเนื่องเพื่อแยกตัวของเขาออกมาจากการต่อสู้ในทันที
เมื่อสถานการณ์ที่เคยเสียเปรียบของทหารผ้าคลุมแดงทั้งสองคนได้พลิกกลับมาอย่างไม่คาดฝันเพราะการแทรกแซงของเซซิล หนึ่งในทหารผ้าคลุมแดงนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“กำลังเสริมหรอ— ใครกันน่ะ!?”
“ฮะฮ่า! จะใครก็ไม่รู้ล่ะ แต่ว่าตอนนี้ได้เวลาเอาคืนกันแล้ว!!”
ในขณะที่เพื่อนทหารผ้าคลุมแดงของเขานั้นกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจและรีบพุ่งเข้าไปฟาดดาบใส่หนึ่งในทหารชุดดำในทันที จนทำให้ทหารผ้าคลุมแดงคนที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกนั้นต้องรีบเข้าไปประกบทหารชุดดำที่เหลืออีกหนึ่งคนด้วยเช่นกัน
แต่ว่าพวกเขาก็เพิ่งจะฟาดดาบใส่กันได้เพียงแค่สองสามครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงเป่าปากดังขึ้นมา
ฟวี๊~~~
โดยทันทีที่เหล่าทหารชุดดำได้ยินเสียงนั้น พวกเขาก็รีบดีดตัวถอยหลังและพุ่งตัวไปทางหญิงสาวผมชมพูที่ยืนชมการต่อสู้อยู่ไม่ไกลในทันที
“เฮ้ย!! คิดจะหนีไปไหนหะ!?”
ซึ่งเมื่อหนึ่งในทหารผ้าคลุมแดงได้เห็นแบบนั้นเขาก็รีบพุ่งตัวตามอีกฝ่ายไปด้วยเช่นกัน จนทำให้ทั้งเพื่อนของเขาและเซซิลต้องรีบตะโกนห้ามขึ้นมา
“ด—เดี๋ยว…!?”
“อย่าตามพวกนั้นไป—!”
ซู้มมม—
แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ทันการซะแล้ว เพราะว่าทันทีที่สิ้นเสียงของพวกเขา ก็ได้มีสายลมกรรโชกสวนทหารผ้าคลุมแดงที่พุ่งตัวออกไปกลับมาอย่างรุนแรงจนทำให้เขาต้องหลับตาลงและยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาบังหน้าของตัวเองเอาไว้
“ไง~”
“ห—!!?”
และเมื่อเขาลืมตากลับขึ้นมา เขาก็พบว่าหญิงสาวผมสีชมพูที่เคยยืนกอดอกอยู่ห่างไปไกลหลายสิบเมตรนั้น บัดนี้เธอได้มายืนยิ้มโบกมือทั้งสองข้างอยู่ที่เบื้องหน้าของเขาในระยะประชิดซะแล้ว
ผลัก!!
“อ๊อออก!!?”
และทันทีที่หญิงสาวผมสีชมพูพูดจบ ดาบขนาดยักษ์ของเธอก็ถูกอะไรบางอย่างจับมันขึ้นมาเหวี่ยงฟาดกระแทกเข้าใส่หน้าท้องของทหารผ้าคลุมแดงอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของเขากระเด็นปลิวลอยข้ามหัวเพื่อนๆ ทั้งสามคนไปกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ริมชายป่าและลงมานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“…อิซานางิ!!”
ทันใดนั้นเองเซซิลก็ได้ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น พร้อมๆ กับที่ใบดาบคาตานะของเธอได้มีเปลวไฟลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง
แต่ว่าหญิงสาวผมชมพูนั้นก็หันกลับมาโบกมือทักทายเซซิลอย่างอารมณ์ดีราวกับว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน ในขณะที่ดาบยักษ์ของเธอนั้นก็ถูกปักลงบนพื้นด้วยอะไรบางอย่างที่งอกออกมาจากบริเวณหลังไหล่ของหญิงสาวผมชมพู
“จ๋าจ๊ะ~ อิซานางิเองจ้ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยเนอะเซซิล~ เป็นยังไงบ้างเอ่ย~ สบายดีมั้ยจ้ะ~”
เมื่อหญิงสาวผมสีชมพูพูดจบเธอก็ได้ยกมือขึ้นมาสางผมยาวสลวยของเธอไปข้างๆ เผยให้เห็นบริเวณไหล่ใต้แผ่นเกราะสีแดงประดับลวดลายสีทองที่มีอุปกรณ์อะไรบางอย่างติดอยู่ด้วย
โดยเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านั้นมีลักษณะเป็นแท่งเหล็กที่มีข้อต่อสองจุดในลักษณะเดียวกับข้อศอกและข้อมือของมนุษย์ แต่ว่าตรงส่วนที่ควรจะเป็นมือนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยแท่งเหล็กสองชิ้นที่มีลักษณะคล้ายคีมหนีบแทนที่จะเป็นฝ่ามือและนิ้ว
แกร๊ก—
และมันก็กำลังยื่นออกไปคีบเอาดาบขนาดยักษ์ของหญิงสาวผมชมพูขึ้นมาแปะติดไว้บนแผ่นหลังของเธอได้อย่างแม่นยำโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองดูมันเลยแม้แต่น้อย
“พาเพื่อนของนายหนีไป แล้วรีบตามทหารของเมืองรีมินัสมาที่นี่ซะ!”
ทันใดนั้นเองเซซิลก็ได้พูดขึ้นมาโดยที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่อิซานางิแบบไม่กะพริบ จนทำให้ทหารผ้าคลุมแดงที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นั้นได้แต่ร้องออกมาอย่างสับสน
“ห—หะ!?”
“…ฉันจะถ่วงเวลาไว้ให้ พวกนายรีบไปเร็ว!!”
“อ—อ่า!!”
เมื่อทหารผ้าคลุมแดงได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบขานตอบกลับพร้อมกับรีบวิ่งไปยังทหารหญิงกับคู่หูที่ชื่อว่ายุยและด็อค และหลังจากที่เขาอธิบายสถานการณ์ให้ทั้งคู่ฟังแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งไปแบกร่างของทหารอีกคนที่ถูกอิซานางิฟาดปลิวไปขึ้นมา และพากันวิ่งไปทางเมืองรีมินัสกันในทันทีภายใต้การเฝ้ามองของหญิงสาวผมชมพู
แต่ว่าอิซานางินั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหนีไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะขัดขวางเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองเซซิลอีกครั้งหนึ่งและพูดขึ้นมา
“แหม่ๆ เสียสละตัวเองถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อให้คนอื่นหนีไปก่อนงั้นหรอ? เธอนี่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเยอะเลยนะ~”
“หมายความว่าไง…”
“ก็ถ้าตอนนั้นเธอทำแบบเดียวกับตอนนี้ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านก็คงจะไม่ต้องกลายเป็นทะเลเลือดหรอกใช่มั้ยล่ะ~ รู้มั้ยว่ากว่าฉันจะเก็บกวาดพวกนั้นจนหมดต้องเสียเวลาไปตั้งกี่วันน่ะ~”
“…แก!!”
ทันทีที่เซซิลได้ยินแบบนั้นเธอก็กัดฟันเค้นเสียงพูดขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อิซานางิและใช้ดาบคาตานะติดไฟในมือฟาดเข้าใส่อีกฝ่ายในทันที
“แหม่~ ใจร้อนจังเลยนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแท้ๆ ไม่คิดจะคุยกันต่อหน่อยหรอ~”
ถึงแม้ว่าจะเห็นเซซิลพุ่งเข้ามาใส่เธออย่างรวดเร็ว แต่ว่าอิซานางินั้นก็ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาทาบแก้มและพูดขึ้นมาอย่างเสียดายราวกับไม่สนใจอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาหวังจะฟันเธอให้ขาดครึ่งเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วเมื่อเซซิลได้พุ่งเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่ง แขนเหล็กบนไหล่ของอิซานางิก็ได้เรืองแสงขึ้นมา ก่อนที่ตัวแขนที่ถูกพับเก็บไปก่อนหน้านี้จะคลายตัวออกมาอีกครั้ง และมันก็ได้พุ่งไปคว้าเอาดาบขนาดยักษ์บนแผ่นหลังของอิซานางิออกมาปักเฉียงลงที่เบื้องหน้าของเธอ
ตึ้ง!!
“!?”
ถึงแม้ว่าเซซิลจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าแต่ว่าเธอก็ไม่อาจยั้งดาบของตนเองที่ฟันออกไปสุดแรงเพราะความโกรธได้ จนทำให้ดาบคาตานะของเธอฟันเข้าใส่ดาบยักษ์นั่นอย่างจังและครูดไถลไปตามใบดาบแบบควบคุมไม่ได้
ครืดดดดด—
ในขณะที่เซซิลกำลังจะหยุดดาบของเธอได้และคิดจะกระโดดถอยกลับนั้น อยู่ๆ แขนกลของอิซานางิก็ได้ขยับไปในทิศทางที่แขนของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจทำได้ โดยมันได้สะบัดพับข้อศอกไปทางด้านหลังเพื่องัดเอาดาบขนาดยักษ์ที่ถูกปักไว้กับพื้นให้สะบัดขึ้นไปเหนือหัวอย่างรุนแรง
เคล๊ง!!
ซึ่งนั่นก็ทำให้เซซิลที่ไม่ยอมปล่อยมือจากดาบคาตานะของตนนั้นถูกกระแทกจนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างควบคุมทิศทางไม่ได้พร้อมๆ กับดาบในมือของเธอ
“อยู่กลางอากาศทั้งๆ ที่บินไม่ได้แบบนั้นมันอันตรายนะจ๊ะ~”
ทันทีที่อิซานางิพูดจบ เธอก็ใช้พลังวิซของตนสร้างกระแสลมขึ้นมาเพื่อดีดร่างของตัวเองพุ่งเข้าใส่เซซิลที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศในทันที
ซู่มมมม!!
เซซิลที่เห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งตัวตามขึ้นมาโจมตีเธอถึงบนท้องฟ้านั้นก็ต้องรีบปล่อยพลังวิซของตนใส่ถุงมือที่สวมใส่อยู่ เพื่อให้มันสร้างโล่ลมแบบเดียวกับที่เคยใช้รับมือนากาในระหว่างการสอบขึ้นมาขวางหน้าอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!! ผั่วะ—
แต่ก็เหมือนกับว่ามันจะไม่ได้ผลกับอิซานางิเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้ว่าหมัดของอิซานางิจะกระแทกเข้าใส่โล่ลมจนมันระเบิดมวลอากาศจำนวนมากออกมาแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ความเร็วของอีกฝ่ายนั้นลดลงได้เลยแม้แต่น้อย และหมัดของอิซานางินั้นก็ได้ฟาดเข้าใส่ท่อนแขนของเซซิลที่เธอยกขึ้นมาป้องกันจนร่างของเธอพุ่งลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรง
โคร๊ม!!
“อั๊ก…”
เซซิลที่ร่วงลงมากระแทกพื้นนั้นได้สะบัดหน้าไปมาเพื่อตั้งสติอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอจึงได้เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อพยายามมองหาอิซานางิที่พุ่งตามขึ้นไปฟาดเธอร่วงลงมาเมื่อสักครู่ในทันที
“—!?”
และเธอก็ได้พบว่าอิซานางินั้นกำลังใช้แขนกลของเธอยื่นดาบขนาดยักษ์ออกมาไว้เบื้องหน้าในขณะที่กำลังร่วงลงมา และเป้าหมายของอีกฝ่ายนั้นก็คือตัวของเธอที่ร่วงลงมากระแทกพื้นก่อนนั่นเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เซซิลต้องรีบกระโจนตัวหลบออกไปจากจุดที่เธออยู่อย่างไม่คิดชีวิต
โคร๊ม!!!
ถึงแม้ว่าเซซิลจะรอดมาจากดาบขนาดยักษ์นั้นได้ก็ตามที แต่ว่าเธอก็ไม่มีเวลาได้ตั้งตัวมากนัก เพราะว่าอิซานางิได้ใช้แขนกลเหวี่ยงดาบขนาดยักษ์นั่นเข้าใส่เธออีกครั้งหนึ่งแล้ว ทำให้เซซิลต้องรีบใช้ดาบคาตานะของตนเข้ารับในทันที
เคล๊ง!!
“ชิ…!!”
ซึ่งด้วยน้ำหนักของดาบขนาดยักษ์และแรงของแขนกลนั้นทำให้เซซิลต้องใช้มือทั้งสองข้างเข้าจับด้ามดาบคาตานะของตนเอาไว้เพื่อออกแรงต้านมัน
“แหม่~ มีมือไม่พอแบบนี้นี่แย่จังเลยนะ~”
ในจังหวะเดียวกันนั้นเองอิซานางิที่ใช้แขนกลในการถือดาบก็พูดได้ขึ้นมา ก่อนที่เธอจะยกมือขวาขึ้นมากำหมัดให้เซซิลได้เห็น
“โชคดีนะที่มือของฉันยังว่างอยู่น่ะ!”
ผลั๊วะ!!