บทที่ 44 เหตุต้นผลกรรม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 44 เหตุต้นผลกรรม

ตอนที่ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้นตาย บรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังค้นหาตัวสวี่ชิงในเมือง ก็เงยหน้าขึ้นฉับพลันท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมดังก้อง

ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญสร้างฐาน สัมผัสทั้งห้าของเขาเฉียบคมอย่างมาก ตอนนี้พอได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมอยู่ไกลๆ หน้าเขาก็เคร่งขรึมในพริบตา กระโจนขึ้นฟ้า ย่ำอากาศตรงไปยังจุดที่เสียงดังแว่วมา

แม้รอบด้านจะมีอสูรกลายพันธุ์อยู่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐาน ขอแค่ไม่พบกับตัวตนสิ่งประหลาด หรือฝูงอสูรกลายพันธุ์ขนาดใหญ่ เขาไม่คิดจะไปสนใจ

ต่อให้ไอพลังประหลาดเข้มข้น แม้จะส่งผลกระทบกับเขา แต่ด้วยพลังบำเพ็ญ ขอแค่ไม่เกินหนึ่งเดือนในพื้นที่ต้องห้ามก็ไม่ได้สร้างความยากลำบากมากเท่าไรนัก

ดังนั้นหลังจากที่ยืนยันทิศทางแล้ว บรรพจารย์สำนักวัชระจึงคำรามก้อง ใช้พลังบำเพ็ญให้เสียงของตนเองส่งผ่านไปได้ไกลยิ่งขึ้น

“รั้งเจ้าเด็กนั่นไว้แล้วรอข้าไปถึง!”

ขณะพูด เงากลางอากาศของเขาก็ระเบิดความเร็วขึ้นฉับพลัน มองไกลๆ ดูเหมือนดาวหางหวีดหวิวดวงหนึ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศเป็นเส้น

เวลาเดียวกันที่สนามรบเมื่อครู่ พริบตาที่สวี่ชิงเข้าประชิด ผู้อาวุโสสำนักวัชระอีกคนหนึ่งก็ถอยกรูดทันควันอย่างไม่ลังเล

เขาได้ยินเสียงคำรามของบรรพจารย์ แต่เขาไม่คิดจะมาตายอย่างไร้ค่าที่นี่

ต่อให้เสร็จเรื่องแล้วจะถูกบรรพจารย์ลงโทษก็ต้องยอม แต่ปราณพิฆาตของสวี่ชิงก็หนักหนาเหลือเกิน ขณะลงมืออย่างโหดเหี้ยม จิตสังหารในสายตานั่นทำให้เขาไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป

ดังนั้นความเร็วในการล่าถอยตอนนี้จึงรวดเร็วยิ่ง กระทั่งใช้งานยันต์บินทะยานขึ้นมา ถอยฉากออกไปนับร้อยจั้งในพริบตา

สวี่ชิงหรี่ตา เขาเองก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำของบรรพจารย์สำนักวัชระจากระยะไกลเช่นกัน แต่เขาก็ไม่หยุดไล่ล่า ระหว่างทางจัดการเก็บเหล็กแหลมของตนเองขึ้น ตอนคิดจะใช้ยันต์บินทะยาน ทว่าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน หันหลังกลับไปโดยไม่ลังเล พุ่งทะยานไปยังทิศทางตรงกันข้าม

และตอนที่สวี่ชิงหันหลังกลับ สีหน้าผู้อาวุโสสำนักวัชระที่อยู่กลางอากาศก็ตกตะลึงขึ้นพริบตา เขาสัมผัสถึงความเย็นเยียบวูบหนึ่งโถมปะทะหน้า และสังเกตุเห็นเงายักษ์ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายของตนเอง

เงายักษ์ร่างนี้ไม่มีใบหน้า มองเห็นเพียงผมยาวปลิวสยายราวกับหญิงสาว แต่ร่างกายใต้ใบหน้านั้นใหญ่โตมโหฬาร สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว

ตอนนี้มีใบหน้ามากมายปรากฏขึ้นมาบนชุดกระโปรงยาวของหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาว เสียงร้องไห้หวีดแหลมส่งทอดออกไปรอบด้าน สิ่งประหลาดนับไม่ถ้วนแผ่ซ่านไปทั่วทิศทาง กระทั่งจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้ายังกลายเป็นสีเลือด

มองไกลๆ ร่างของผู้อาวุโสสำนักวัชระเมื่ออยู่ต่อหน้าคนยักษ์นั้นก็ราวกับเป็นมดปลวก แสนไร้ค่า และภายใต้เสียงคร่ำครวญและจับตามองของใบหน้านับไม่ถ้วนบนกระโปรงขาวของหญิงสาวไร้หน้านั้น ร่างกายผู้อาวุโสสำนักวัชระก็สั่นระริก สีหน้าเปลี่ยนไป และเริ่มร้องไห้คร่ำครวญตาม

ในดวงตาเขาเผยความหวาดผวาที่รุนแรงออกมาระหว่างที่ร้องไห้ ราวกับว่าร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมการร้องไห้ไว้ได้

จนกระทั่งเสียงร้องไห้ของเขากับใบหน้ามากมายนับไม่ถ้วนบนตัวหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวผสานเป็นเสียงเดียวกัน กลิ่นอายสีขาวแผ่ซ่านออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของผู้อาวุโสสำนักวัชระ ลอยเข้าไปในตัวของหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวอย่างรวดเร็ว และพริบตาต่อมา…

ร่างกายของผู้อาวุโสสำนักวัชระก็กลายเป็นศพแห้งกรัง ลมหายใจดับห้วง ร่างร่วงลงสู่พื้น

ขณะเดียวกัน ใบหน้าบนตัวหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เป็นใบหน้าของผู้อาวุโสสำนักวัชระคนนั้น

เขามีสีหน้าไร้อารมณ์ ปรากฏอยู่บนชุดกระโปรงขาว ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญออกมา

สวี่ชิงที่เห็นฉากนี้เข้า บรรพจารย์สำนักวัชระที่ไล่ตามมาก็เห็นฉากนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนล้วนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สะกดความสั่นสะเทือนในใจ เพิ่มความเร็วฉับพลันทะยานตรงไปในเมืองอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าสวี่ชิงจะจากไปแล้ว แต่บรรพจารย์เจ้าสำนักวัชระที่ไล่ตามมาไกลๆ ตอนนี้กลับชาหนึบไปทั้งหัว ร่างกายไม่กล้าขยับเขยื้อน

เพราะหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวกำลังเดินมาทางเขา

บรรพจารย์สำนักวัชระเข้าใจอย่างชัดเจน เผชิญหน้ากับตัวตนเช่นนี้ห้ามเร่งร้อนเคลื่อนย้าย ไม่เช่นนั้นจุดจบก็จะเป็นเหมือนกับผู้อาวุโสของตนเอง ดังนั้นท่ามกลางความพรั่นพรึงและใจสั่นของเขา หญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวจึงเดินผ่านข้างกายเขาห่างออกไป

จนถึงตอนนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระถึงได้ผ่อนลมหายใจ แต่ในใจก็เกิดความสงสัยหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

“สองครั้งที่พบกับตัวตนสิ่งประหลาด…ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันเหมือนออกมาช่วยเจ้าเด็กน้อยคนนั้นกันนะ…

“วิชาชั่วร้าย!” บรรพจารย์สำนักวัชระกัดฟัน จ้องมองทิศที่สวี่ชิงหายไป รู้สึกว่าจำเป็นต้องกำจัดอีกฝ่ายอย่างยิ่ง ตอนนี้จึงบินทะยานไล่ตามไปอย่างร้อนรน

เสียงคำรามสูงต่ำมากมายสะท้อนก้องไปทุกมุมของเมือง เสียงขบเคี้ยว เสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะเย็นเยียบกระจายไปทั้งแปดทิศในคืนราตรี

กำแพงที่พังทลายแต่ละแห่งใต้แสงจันทร์ราวกับกลายเป็นปีศาจ ทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในเมืองยิ่งรุนแรงมากขึ้น

สวี่ชิงที่วิ่งทะยานอยู่ ต่อให้คุ้นเคยกับเสียงคำรามและสิ่งประหลาดของที่นี่นานแล้ว แต่หน้าเขายังคงซีดเผือด ความรู้สึกเหมือนถูกสายตาชั่วร้ายนับไม่ถ้วนจับจ้อง และสายตาเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบที่กำลังแทรกซึมเข้าในร่างกายของเขาก็มิปาน

จนกระทั่งตอนที่ทั่วร่างรู้สึกหนาวสั่นยิ่ง สวี่ชิงก็ผ่านจุดที่เคยล่านกแร้งเมื่อครั้งนั้น พอกวาดตามอง ม่านตาของเขาก็หดเล็กลง…

ไม่ห่างไปนัก ข้างๆ รถม้าที่ถูกปล่อยทิ้งในดินโคลน เดิมทีควรจะมีตุ๊กตาผ้าสีเลือดตัวหนึ่งแขวนอยู่บนตัวรถ เวลานี้มันกลับเปลี่ยนตำแหน่ง ไม่ได้แขวนอยู่ที่เดิม แต่ถูกวางเอาไว้บนตัวรถ และหันหลังให้สวี่ชิง มองไม่เห็นด้านหน้าของมัน

สวี่ชิงศีรษะตึงเขม็ง รีบออกจากที่นี่อย่างไว

ไม่นานนัก บรรพจารย์สำนักวัชระก็มาถึงที่แห่งนี้ ตอนที่กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง เขามองเห็นรถม้า และมองเห็นว่าด้านหน้ามีตุ๊กตาผ้าสีเลือดนั่งอยู่บนรถม้าจ้องมาทางเขา

ดวงตาที่ฝังอยู่ในของเล่นชิ้นนี้แฝงความมืดมน สีแดงชุ่มโชกไปทั้งร่างก็มีสิ่งประหลาดอยู่ด้วย กำลังจ้องมองอย่างน่าสะพรึงมาทางบรรพจารย์สำนักวัชระ

ม่านตาบรรพจารย์สำนักวัชระหดลงเล็กน้อย ในใจขนลุกชูชัน ฝีเท้าช้าลงในพริบตา ย่างเดินเชื่องช้าออกจากบริเวณนี้อย่างระมัดระวัง แล้วจึงถอนหายใจโล่ง เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง

แต่กลับไม่ได้ไล่ตามและประชิดตัวมากเกินไป เขาตระหนักถึงวิชาชั่วร้ายของเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ได้ ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีวิธีการทำให้ไอพลังประหลาดเข้มข้นขึ้นในพริบตา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะลงมือประชิดตัวนัก แต่จะอาศัยพลังบำเพ็ญจับจ้องไปที่ตัวอีกฝ่าย รอจนฟ้าสางแล้วค่อยลงมือสังหารอีกที

แม้ฐานะจะเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับสร้างฐาน แต่ยังต้องเพ่งสมาธิเพื่อรับมืออย่างระมัดระวังเช่นนี้ ทำให้ระดับสร้างฐานเสียหน้า แต่บรรพจารย์สำนักวัชระก็ยังตัดสินใจเลือกความแน่นอนเป็นอันดับแรกภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้

ดังนั้นเขาจึงลดความเร็ว ไม่เร่งไม่ผ่อนตามอยู่ด้านหลัง

สวี่ชิงที่อยู่ด้านหน้าเองก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้ เดิมทีเขาจำลองวิธีการรับมือไว้ในใจแล้ว และเตรียมตัวควบคุมเงาล่วงหน้าไว้แล้วด้วย ลูกกลอนดำเองก็กำอยู่ในมือ รอให้อีกฝ่ายเข้ามาประชิด

เขามั่นใจว่าหลังจากที่อีกฝ่ายรับมือกับวิธีการของเขา แม้จะไม่ถึงชีวิตแต่ก็คงล้มลุกคลุกคลานระดับหนึ่ง และคงหลุดออกมาไม่ได้ชั่วคราว แม้ตนเองจะถูกอีกฝ่ายทำให้เจ็บหนักด้วยเช่นกัน แต่การหลบหนีหลังจากเจ็บหนักก็ดูสมจริงยิ่งกว่า ไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัย และสะดวกที่ตนเองจะล่ออีกฝ่ายไปยังแผนการถัดไป

แม้บรรพจารย์สำนักวัชระคนนี้เป็นถึงระดับสร้างฐาน แต่กลับระวังตัวถึงเพียงนี้ จึงทำให้สวี่ชิงยิ่งระแวดระวังขึ้นไปอีก

ทว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่เข้าใกล้ สวี่ชิงก็ยังรู้สึกว่าแผนการหลอกล่อของตนเองยังคงต้องดำเนินการต่อไป ดังนั้นจึงเพิ่มความเร็วทะยานตรงไปยังจวนเจ้าเมือง

ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

ตำแหน่งจวนเจ้าเมืองอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง ไอพลังประหลาดของที่นี่เข้มข้นกว่าจุดอื่นระดับหนึ่ง แต่จำนวนของอสูรกลายพันธุ์ก็ไม่รู้เหตุใดจึงน้อยลงเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่ไล่ตามมาด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความวิกฤตในใจก็รุนแรงขึ้นอย่างมากในเวลานี้

เขาเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของสวี่ชิง และมองไปยังสิ่งปลูกสร้างพังทลายข้างๆ จู่ๆ ฝีเท้าก็หยุดลง

ไม่ไล่กวดต่อ แต่เริ่มถอยหนี

ฉากนี้ ทำเอาสวี่ชิงคาดไม่ถึง เวลานี้ยังห่างจากจวนเจ้าเมืองไม่ถึงร้อยจั้ง ทว่าบรรพจารย์สำนักวัชระที่ไล่มาด้านหลังกลับคิดจะถอยหนี

“ถอยตอนนี้ก็ช้าเกินไปแล้ว!” สวี่ชิงกัดฟัน จู่ๆ ก็ยกมือขวาฉับพลัน ลูกกลอนดำมหาศาลก็สาดกระจายไปรอบทิศทันที

ครั้งนี้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย สวี่ชิงขว้างลูกกลอนดำที่เหลืออยู่ออกไปครึ่งหนึ่งกระจายไปรอบทิศ ระเบิดไล่เลี่ยกัน!

ที่นี่ราวกับกลายเป็นกระแสวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่งในพริบตา ทำให้ไอพลังประหลาดหลั่งทะลักไปทั่วทิศ ส่งผลกระทบกับความว่างเปล่าจนบิดเบี้ยวไปทุกทิศทาง และทำให้ขอบเขตสายตาทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเลือนราง

ความเข้มข้นของไอพลังประหลาดไปถึงระดับที่น่าตกตะลึง

ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังถอยหนีหน้าเปลี่ยนสีกับฉากนี้ แต่ที่มากกว่าคือความไม่เข้าใจ เพราะร่างของสวี่ชิงเองก็อยู่ในไอพลังประหลาดที่เข้มข้นนั้นด้วย

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงปัญหาเรื่องกลายพันธุ์ เอาแค่อสูรกลายพันธุ์และสิ่งประหลาดที่ถูกไอพลังประหลาดนี้ดึงดูดเข้าไป ก็ทำให้สวี่ชิงที่อยู่ด้านในนั้นตายอย่างไม่ต้องกลบฝังแล้ว นี่มันการฆ่าตัวตายชัดๆ

พริบตาที่บรรพจารย์สำนักวัชระไม่เข้าใจ ด้านในจวนเจ้าเมืองที่อยู่ห่างออกมากว่าร้อยจั้ง จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงคำรามที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ส่งเสียงครืนครันออกมารอบด้านอย่างฉับพลัน

ผืนพสุธาสั่นสะเทือน จันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าก็เลือนราง

สีหน้าบรรพจารย์สำนักวัชระเปลี่ยนไป ความรู้สึกวิกฤตเป็นตายก็รุนแรงขึ้นในพริบตา ม่านตาเขาหดลง ร่างกายถอยกรูดอย่างเร่งรีบ ดวงตาจับจ้องไปยังเงาหลายสายที่บินออกมาจากด้านในสิ่งปลูกสร้างที่เหมือนกับเป็นจวนเจ้าเมืองเบื้องหน้า!

แต่ละเงานั้นล้วนผอมแห้งเสียเหลือเกิน ทว่ากลับมีปีกเพลิงสีดำงอกออกมา ทั้งร่างมีไอพลังประหลาดเข้มข้นจนน่าตกตะลึง ทุกที่ที่แล่นผ่าน อากาศก็เหมือนจะบิดเบี้ยว

ฉากนี้ เดิมทีก็ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระสะพรึงในใจ แต่สิ่งที่ทำเขาต้องหน้าซีดจนสูดลมหายใจลึกยิ่งกว่าก็คือสิ่งที่ตามมาจากเสียงครืนครันเวลานี้ จวนเจ้าเมืองพังทลายลงฉับพลัน เผยให้เห็นหลุมขนาดยักษ์หลุมหนึ่งบนพื้น

เงาผอมแห้งสูงนับร้อยจั้งร่างหนึ่งปีนขึ้นมาจากในหลุมท่ามกลางเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้า!

ร่างนี้สูงยาวมองไกลๆ เหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นหนึ่ง ส่วนที่โผล่ออกมาก็นับร้อยจั้งแล้ว แต่เวลานี้มันยังไม่ได้ปีนออกมา เหมือนจะโผล่ออกมาแค่ครึ่งตัวเท่านั้น

และเมื่อมันผายแขน นิ้วทั้งสิบของสองมือแผ่เถาวัลย์เน่าเปื่อยจำนวนมากออกมา ยิงสาดกระจายไปทุกทิศทาง แทงลงไปบนพื้นดิน

กระทั่งเส้นที่ไกลที่สุด ยังแทงไปยังเบื้องหน้าของบรรพจารย์สำนักวัชระ

ร่างยักษ์เหมือนไม้แห้งก็เพิ่มความเร็วในการปีนขึ้นมาได้ ราวเป็นจุดค้ำยัน

“นี่มันบ้าอะไรกัน!!” บรรพจารย์สำนักวัชระใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง แผดเสียงด่ากราดออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดความเร็วทั้งหมดที่มี ถอยกรูดอย่างบ้าคลั่ง

แต่ที่ทำให้ใจเขาคลั่งยิ่งกว่า ก็คือเขามองเห็นว่าร่างเงามีปีกที่ถูกไอพลังประหลาดดึงดูดมาเหล่านั้น เป้าหมายหลังจากพุ่งออกจากจวนเจ้าเมืองของพวกมันก็คือพื้นที่ที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นผืนนั้นที่เด็กน้อยใช้วิธีการบางอย่างสร้างขึ้น

และไม่รู้เพราะเหตุใด เงาบินเหล่านี้หลังจากพุ่งเข้าไปในพื้นที่นั้น ก็พุ่งออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว แต่ละตัวกวาดตาคำรามไปรอบทิศ จากนั้นก็ทยอยมุ่งเป้ามายังตนเอง พุ่งตัวหวีดหวิวเข้ามา

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!! แล้วเด็กน้อยล่ะ!!”

ทั้งหมดนี้ ทำให้ตาบรรพจารย์สำนักวัชระเบิกโพลง ต่อให้เขามีความเร็วน่าตกตะลึง แต่ไม่นานก็ถูกไล่กวด บีบให้บรรพจารย์สำนักวัชระต้องลงมือ จนจำใจต้องระเบิดพลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานออกมาทั้งหมด

สิ่งนี้ทำให้ร่างเงาที่บินเข้ามาเหล่านั้นแหลกสลาย แต่ที่ประหลาดก็คือ พวกมันฟื้นตัวกลับมาในพริบตาแล้วโถมเข้ามาต่อเนื่อง และห่างออกมา ในหลุมยักษ์ที่จวนเจ้าเมืองตั้งอยู่ ตัวตนที่น่าสะพรึงนั้น ก็เกือบจะปีนออกมาได้แล้ว

วิกฤตแห่งความเป็นตายทำให้ในใจบรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งบ้าคลั่ง และตอนนั้นเอง ขณะที่เขาถูกพัวพันอยู่ทางนี้ ชายขอบพื้นที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นเบื้องหน้าเขา บนพื้นข้างกำแพง ที่นั่นมีรอยแตกอยู่ทางหนึ่ง

สวี่ชิงกำลังหลบอยู่ด้านในรอยแตก มองโลกภายนอกจากด้านในอย่างระมัดระวัง

ตอนนั้นเขาอยู่ในซากเมือง สะกดรอยตามพวกนกมา และค้นพบจุดคุ้มครองที่ปลอดภัยอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งคือถ้ำของเขา และอีกแห่งหนึ่ง…ก็คือรอยแตกนี้!

รอยแตกนี้ก็คือจุดที่เขามาหลบจากการไล่สังหารของอสูรกลายพันธุ์ หลังจากบาดเจ็บหนักที่หน้าอกตอนที่ได้รับวิชามาจากจวนเจ้าเมืองเมื่อครั้งนั้น

เพียงแต่ว่าที่นี่ห่างจากจวนเจ้าเมืองไม่มาก ทำให้ตอนนั้นสวี่ชิงไม่เลือกที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว

ด้วยภัยพิบัติจากการลืมตาของเทพเจ้า สรรพชีวิตล้วนล้มตาย มีเพียงเหล่านก…ไม่รู้เพราะเหตุอันใดส่วนใหญ่จึงยังรอดชีวิต

ขณะเดียวกันพวกมันก็เหมือนจะค้นหาจุดคุ้มครองได้ด้วยสัญชาตญาณ แม้จะพูดไม่ได้ว่าปลอดภัยที่สุด แต่ก็ค่อนข้างเหมือนจุดบอดจุดหนึ่ง พวกอสูรกลายพันธุ์และสิ่งประหลาดจึงมองข้ามไปโดยง่าย

แน่นอนว่าใช้แค่คำว่าค่อนข้าง ถ้าตอนนี้ที่นี่ไม่มีบรรพจารย์สำนักวัชระอยู่ เช่นนั้นวิธีเมื่อครู่ของสวี่ชิงก็เหมือนการรนหาที่ตาย

เวลานี้พอเห็นว่าบรรพจารย์สำนักวัชระกำลังล้มลุกคลุกคลาน และเมื่อสังเกตเห็นเงายักษ์ที่กำลังดิ้นรนปีนออกมาจากหลุมขนาดใหญ่ของจวนเจ้าเมือง สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก แต่เขาก็กัดฟันแน่นอย่างรวดเร็ว ร่างไหววูบพุ่งตัวออกแล้วโยนลูกกลอนดำไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระที่ถูกไล่กวดอยู่ลิบๆ อีกครั้ง

เขาโยนออกไปทีเดียวถึงสิบกว่าเม็ด

เมื่อลูกกลอนดำแตะพื้นก็ทยอยระเบิด และที่นี่เดิมทีก็มีไอพลังประหลาดเข้มข้นจนน่าตกตะลึงอยู่แล้ว เวลานี้เหมือนขอบเขตบางอย่างได้ถูกทำลายลงจากการระเบิดของลูกกลอนดำ

เพียงพริบตา…สายตาชั่วร้ายหลายสายที่จับจ้องมาบนตัวสวี่ชิงอีกครั้งหลังจากที่เขาออกมาจากรอยแตก ก็เบนไปจ้องมองยังพื้นที่ที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นผืนนั้นทันที ขณะเดียวกันในตำแหน่งต่างๆ มากมายในเมือง ไม่ว่าจะอสูรกลายพันธุ์หรือสิ่งประหลาดก็ล้วนทยอยหยุดการเคลื่อนไหวแล้วมองตรงไปทางนั้น

พริบตาต่อมาก็กรูกันเข้าไป!

ขณะที่เสียงคำรามด้วยความโกรธสุดขีดลอดออกมาจากปากของบรรพจารย์สำนักวัชระ สวี่ชิงก็ก้มตัวลงวิ่งทะยานเหมือนแมวโดยไม่เหลียวกลับ ถือโอกาสที่พวกอสูรกลายพันธุ์และสิ่งประหลาดถูกพื้นที่ไอพลังประหลาดดึงดูด พุ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

บรรพจารย์สำนักวัชระเองก็คิดจะหนี แต่ก็กำลังพัวพันเงาบินเหล่านั้น ต่อให้เขาคิดจะล่าถอยแต่ก็ล่าช้าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลานี้ในความร้อนรนมีความกังวลยิ่งกว่า ความเกลียดชังต่อสวี่ชิงในใจก็รุนแรงขึ้นถึงขีดสุด

และสวี่ชิงเวลานี้ก็เร่งความเร็วอยู่บนถนนห่างออกมาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าทิ้งระยะห่างจากจวนเจ้าเมืองมาแล้ว ขณะที่กำลังจะตรงไปยังทิศกำแพงเมือง ตอนนี้เอง…กลิ่นอายเย็นเยียบวูบหนึ่งก็โถมพัดเข้ามา

เสียงร้องไห้ก้องกังวานของหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวด้านหน้าของเขา ตรงเข้ามาจากที่ไกลๆ

ตอนแรกที่มองไป อีกฝ่ายยังอยู่ห่างไกลลิบ ทว่ามองไปผาดที่สอง ร่างเงาประหลาดนี้ก็มาปรากฏตรงหน้าสวี่ชิงแล้ว

สวี่ชิงไม่สามารถหลบความเร็วของมันได้ทัน เวลานี้หายใจหอบถี่ม่านตาหดเล็ก ร่างของเขาถูกความเย็นเยียบคลุมทับลงมาฉับพลัน ในสมองขาวโพลนไปหมดราวกับถูกแช่แข็ง

และหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวที่เดินมานั้น บนตัวก็มีใบหน้ามากมายกำลังร้องไห้อย่างน่าเวทนาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงร้องไห้ของพวกเขาส่งไปถึงจิตใจของสวี่ชิงเกิดเป็นระลอกคลื่น จนทำให้สีหน้าของสวี่ชิงถูกผลกระทบ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ กำลังจะร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกับใบหน้าเหล่านั้น

และตอนนี้เอง…ใบหน้าบนตัวหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาว ก็มีส่วนหนึ่งหยุดร้องไห้ลงกะทันหัน พวกมันจ้องมองสวี่ชิงอย่างไร้ประกาย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป และเผยรอยยิ้มออกมาช้าๆ อ้าปากพะงาบเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงลอดออกมา

เพียงไม่นาน ใบหน้าที่หยุดร้องไห้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งท้ายสุด…ใบหน้าเกือบครึ่งบนตัวหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาว ก็หยุดร้องไห้ มองมาทางสวี่ชิง แต่ละใบหน้าเผยรอยยิ้ม สีหน้าอ่อนโยน

พวกมันล้วนกำลังขยับริมฝีปากเหมือนกำลังเอ่ยพูดเสียงเบา พูดคำสองคำที่คนอื่นๆ ล้วนไม่ได้ยิน

สวี่ชิงตะลึงงันกับรอยยิ้มและรูปปากนี้อยู่ตรงนั้น จ้องมองใบหน้ามากมายบนตัวหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวขนาดยักษ์ตรงหน้านี้

และไม่ทันที่เขาจะเห็นได้ชัด หญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวขาวคนนี้ก็ปลีกตัวไป หลังจากเดินผ่านตัวเขา เสียงร้องไห้ก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง…

ร่างแข็งทื่อของสวี่ชิง ตอนนี้ก็ฟื้นตัวกลับมา เขาหายใจหอบถี่หันหน้ากลับไปจ้องมองหญิงสาวไร้หน้ากระโปรงขาวที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างมึนงง ร่างสีขาวนั้นราวกับดวงไฟดวงหนึ่งที่กำลังแผดเผาท่ามกลางราตรีมืดมิด…

ใบหน้าที่เผยรอยยิ้มบนตัวของอีกฝ่ายเมื่อครู่…สวี่ชิงรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก

เหมือนเคยรู้จักกัน…

โดยเฉพาะคนหนึ่งในนั้น เขาคิดออกแล้ว นั่นคือชายชราเจ้าของร้านขายยาที่เขาแบกขึ้นหลังไปฌาปนกิจให้หลับอย่างสงบสุขนั่นเอง

สวี่ชิงนิ่งงัน จ้องมองเงาที่เดินห่างออกไป เข้าใจถึงอะไรขึ้นมาแล้วรางๆ นานพอควร เขาจึงก้มหน้าลงคารวะลึกซึ้ง เอ่ยงึมงำเสียงเบา

“ขอบคุณ”

ใบหน้าที่มีรอยยิ้มก่อนหน้าเหล่านั้น ก็พูดสองคำนี้ออกมาเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณ”