บทที่ 49 – หนีตาย!

 

ห่างไกลออกไปจากจุดเกิดเหตุลักพาตัว.. ชายคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด.. เขาสวมผ้าคลุมสีดำไปทั้งตัว

สวมหน้ากากกะโหลกปีศาจ ดวงตาข้างหนึ่งเป็นแผลทำให้เหลือเพียงดวงตาสีทองแค่ข้างเดียว.. ที่ไหล่เขามีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่อย่างชาญฉลาด

แน่นอนว่าแม้เขาจะกำลังพุ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุด แต่ยังคงแอบมองไปด้านหลังตลอด กังวลว่าจะมีคนตามมาไหม

เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งที่บ้าบอของผู้คุ้มกันนั่นแล้ว.. ในชั้นที่สอง.. แม้จะไม่ได้ตามดูเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะเขารีบฆ่าสัตว์ประหลาดแล้วหลบขึ้นมาชั้นสามก่อน แต่ที่เขาเห็นนั่นก็คืออาณาเขตที่แค่สัมผัสก็ถูกสลายหายไปต่อหน้าได้

ซึ่งต่อให้เป็นเขาก็ยังอดที่จะรู้สึกกลัวอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงลูกน้องที่เขาพามาด้วยก็ตายเพราะฝูงสัตว์ประหลาดหลายคน

เนื่องจากเขาไม่อนุญาตให้ลูกน้องตัวเองกลับไป… ซึ่งเรื่องนี้สร้างความหวาดกลัวที่มีต่อมิวแก่เขาเป็นอย่างมาก

ดังนั้นเขาเลยมารอที่ชั้นสาม แอบมองมิวที่ขึ้นมาตลอด แน่นอนว่าเพราะไม่ปล่อยจิตสังหารออกมาแม้เพียงเสี้ยวเลยทำให้มิวไม่สามารถสัมผัสถึงอันตรายจากเขาได้ แถมเขายังมีทักษะในการซ่อนตัวอยู่เยอะ

ดังนั้นเขาจึงจ้องหาโอกาสมาตลอดตั้งแต่ที่มิวมาถึงชั้นนี้… ใช่แล้วเขาคือชายปริศนาที่มีเป้าหมายในการลักพาตัวเอริเนียในตอนนั้นนั่นเอง

“แล้วทำไมนายไม่รีบออกจากหอคอยไปซะละ ระวังโดนเจ้านั่นตามทันนะ อาโก้”

เสียงของอีกาดังขึ้นภายในจิตใจของชายหนุ่มนาม ‘อาโก้’ เขาคือหัวหน้าหน่วยอีกาดำแห่ง… อืม คงไม่ใช่เวลาจะกล่าวถึงสถานะเขาเท่าไหร่

แต่ทว่าเขาก็คือคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งก็ว่าได้ สำหรับเขาสิ่งที่โดดเด่นก็คือการซ่อนเร้นและสร้างภาพลวงตา

เพราะอารยธรรมที่เขาใช้ก็คือ ‘เงาเร้นลับ’ เป็นอารยธรรมประเภทที่จะอัญเชิญอสูรออกมาได้ แน่นอนว่าอสูรที่เงาเร้นลับของเขาเรียกมาก็คืออีกาที่อยู่บนไหล่..

‘อีกาเร้นเงา’ นั่นคือนามของมัน พลังทั้งหมดของอาโก้แทบจะอยู่กับอีกาเร้นเงาของเขาทั้งสิ้น แต่แน่นอนว่าหากกำจัดอีกาเร้นเงาของเขาได้

เขาก็แค่เรียกมันออกมาใหม่เท่านั้น เพราะเดิมทีมันก็เป็นแค่เงานั่นเอง เงาเป็นแค่การบดบังแสงของบางอย่างบนโลกเท่านั้น

แม้จะมีอยู่แต่ก็ไม่อาจจับต้องได้.. นั่นแหละคือความพิเศษของอารยธรรมเขา และประสบการณ์การใช้อารยธรรมของเขานั้นค่อนข้างโชกโชน

แม้จะมีอารยธรรมแค่ระดับขุนนางอย่างระดับ ‘เอิร์ล’ เท่านั้น.. แต่ทว่าด้วยการใช้ของเขาว่ากันว่าเขาสามารถฆ่าได้แม้แต่ระดับองค์หญิงหรือองค์ชายด้วยซ้ำ

ในหมู่ของคนที่รู้จักเขาต่างพูดแบบนั้นเป็นเสียงเดียวกันว่า.. แม้อารยธรรมจะดูไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่มันค่อนข้างจะ…

‘น่ารำคาญ’ 

แต่ถึงจะบอกว่าล้มองค์หญิงองค์ชายได้ก็เถอะนะ.. แต่พวกระดับนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญระดับนานาชาติ

ว่าง่ายๆ ก็มีความสำคัญเหมือนนายกของประเทศ หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาเลยไม่จำเป็นต้องมีการคุ้มกัน

ทว่า… ในความจริงนั้นการที่มีความคิดพยายามจะฆ่าองค์หญิงหรือองค์ชายล้วนเป็นเรื่องร้ายแรงมากพอสมควรเลย

ดังนั้นต่อให้ใครต่อใคร หรือแม้แต่อาโก้อยากจะลองฆ่าองค์หญิงหรือองค์ชายดูจริงๆ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี มีหวังโดนวิสามัญทันทีแน่ๆ

แต่เรื่องเล่าเหล่านั้นก็พิสูจน์ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน

และแน่นอนเขาเองก็ย่อมมีอัตตาสูงตามความดังเป็นธรรมดา แต่ทว่าแม้จะมีอัตตาสูงขนาดไหน ถ้าได้เห็นอาณาเขตที่สามารถลบสัตว์ประหลาดออกไปได้ตรงๆ

เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นคู่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนั้น จึงเลือกจะหนีหางจุกตูดแบบนี้นั่นเอง

เมื่ออีกาถามว่าทำไมไม่กลับไปโลกด้านนอกเลย อาโก้ก็ตอบกลับไปว่า

“อย่ามาล้อเล่นนะ.. เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันมีไอ้ท่าที่เหมือนหาคนที่ห่างออกไปเป็นร้อยกิโลเมตรได้ ขืนออกไปด้านนอกละก็คนก็เท่ากับไปกลายเป็นคุกกลางทะเลให้มันจับดีๆ นี่เองแหละ”

“แล้วคิดว่าการหนีแบบนี้ต่อไปมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ แถมมีหวังเจ้านั่นรู้ตัวแล้วมั้งว่าเด็กหายไป”

“ฉันไม่แน่ใจถึงหลักการการทำงานของทักษะการหาคนของเจ้านั่นหรอกนะ.. แต่บางทีการค้นหาของมันคงไม่ได้สะดวกแบบนั้นหรอก”

“หมายความว่าไง?”

อีกาถามด้วยความสงสัย อาโก้จึงอธิบายการสันนิษฐานของตัวเอง.. การค้นหาของอีกฝ่ายที่ใช้ค้นหาคนในชั้นสองกับชั้นสามไม่เหมือนกัน

เรื่องนี้อาโก้สังเกตเห็นจากการตื่นตัวของตัวเขาเอง.. ในชั้นที่สองนั้นพออีกฝ่ายตามหาคน อาโก้รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกดดันและขับไล่ให้ออกไปจากที่นี่

แต่ยังดีที่เป้าหมายของสิ่งที่เขาสัมผัสนั้นไม่ใช่การไล่ออกแบบจริงจัง.. ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการตามหาคนของอีกฝ่ายคงเหมือนการปล่อยแรงกดดันบางอย่างออกมา

แต่พอมาชั้นสาม เขาสัมผัสถึงสิ่งนั้นจากตอนที่อีกฝ่ายใช้การค้นหาไม่ได้.. ไม่สิ สัมผัสได้แค่มันแค่ครู่เดียวเท่านั้น

ทำให้อาโก้คาดเดาว่าการค้นหาคนของอีกฝ่ายมีสองแบบ และแบบที่ทำในชั้นสามเหมือนจะสร้างมาเพื่อตามหาบางอย่างที่อยู่ในระยะไกลออกไป

และที่อีกฝ่ายตามหาบางทีคงเป็นเควส.. ในชั้นสองอาโก้เองก็ได้เควสมาเหมือนกัน เลยทำให้เขารู้ว่าหอคอยเพิ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป

พอขึ้นมาชั้นนี้แล้ว อีกฝ่ายก็มองไปที่หน้าต่างตรงหน้าได้ อาโก้จึงเดาว่า.. อีกฝ่ายคงได้เควสตามหาใครสักคนมาแน่ๆ

และก็เป็นอย่างที่เขาคิด พอตามมาดูก็พบว่าอีกฝ่ายตามหาคน.. เขาจึงได้ข้อสรุปว่าพลังของอีกฝ่ายสามารถตามหาคนที่ไม่แม้แต่รู้จักหรือเคยเจอได้

แต่คำถามคือทำไมอีกฝ่ายถึงสัมผัสเขาไม่ได้เลย จริงออยู่ที่เขาใช้ทักษะซ่อนตัวอยู่จนอาจจะหลบได้บางส่วน แต่อีกฝ่ายคือคนที่แข็งแกร่งที่สามารถหาคนจากในระยะร้อยกิโลเมตรได้เลยนะ

เขาจึงตั้งสมมุติฐานขึ้นมานึกเพื่อเป็นหลักว่า.. แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็อาจจะต้องรู้จักรูปลักษณ์ภายนอกในการค้นหาก่อน

บางทีในหน้าต่างเควสคงมีคำอธิบายรูปร่างของคนที่ต้องค้นหาบอกไว้

“เดี๋ยวสิ นายแค่เดานี่น่าอาโก้”

“ก็ใช่.. แต่ว่ามันเป็นไปได้มากสุด การค้นหาคนของอีกฝ่ายมีสองแบบ.. บางทีแบบแรกคงสามารถรับรู้ได้ทันที”

จากความรู้สึกของเขาไอ้การกดดันบางอย่าง มันคงเป็นเหมือนขอบเขตการรับรู้ของอีกฝ่าย ถ้ากางมันไว้จะทำให้อีกฝ่ายรู้ทุกอย่างในการรับรู้ได้

แต่ในชั้นนี้อีกฝ่ายน่าจะปล่อยเป็นคลื่นทำให้สามารถตรวจสอบในระยะที่ไกลกว่าเดิมจากตอนแรกได้นั่นเอง

“นี่คือการคาดเดาของฉันนะ.. บางทีสิ่งที่อีกฝ่ายตามหาได้ในการค้นหาแบบระยะไกลคงต้องระบุ ‘รูปลักษณ์’ บางอย่างของสิ่งที่ต้องหาก่อน”

อีกาพยักหน้า.. ก็ฟังดูมีเหตุผลดีการปล่อยการรับรู้แบบกางอาณาเขตจะรับรู้ทุกอย่างได้โดยไม่ต้องหาตำแหน่ง

กับการปล่อยรับรู้แบบคลื่นสามารถรับรู้ได้ไกลกว่าแต่ต้องมีข้อเสีย และข้อเสียที่อาโก้เดาขึ้นมานั้นก็คืออาจจะต้องรู้จักรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก่อนนั่นเอง

“สรุปก็คือถ้าออกไปนอกหอคอย อีกฝ่ายจะใช้การรับรู้แบบแรกและหาเราเจอได้ง่ายๆ สู้กับการหนีออกจากระยะการรับรู้แบบแรกให้อีกฝ่ายหาแบบสองเอา แต่เพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นเราก็คงไม่สามารถตามหาเราได้งั้นสินะ”

“ใช่ อีกอย่าง.. เด็กคนนั้นอยู่ในท้องของนาย มิติเงา.. คงใช้การรับรู้หาไม่เจอหรอก สรุปเราในตอนนี้ก็แทบจะล่องหนไปแล้วสำหรับเจ้านั่นแหละ”

“ฉลาดดีนี่หว่าไอ้หนุ่ม”

อีกาชมอาโก้อย่างช่วยไม่ได้.. แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น อันที่จริงหากอาโก้หนีออกนอกหอคอยไปมันอาจจะดีกว่า

เพราะอาณาเขตจิตมังกรของมิวจะสามารถรับรู้ทุกอย่างได้ไม่เหมือนเรดาร์จิตมังกรที่ต้องมีจุดประสงค์ก็จริง

แต่ว่า ความจริงแล้วมิวก็ไม่สามารถแยกได้หรอกว่าใครคือคนลักพาตัวเอริเนีย เพราะในโลกด้านนอกหอคอยนั้นคนน่าสงสัยมีเต็มไปหมด

การที่เขายังอยู่ในนี้ถือเป็นทางเลือกที่ผิดแน่ๆ แต่สิ่งที่เขาคาดเดาจากการสังเกตมิวมาหลายชั่วโมงก็ถูกไปมากกว่าครึ่งอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เป็นคนฉลาดสุดๆ คนหนึ่ง

“ไม่หรอก.. สัตว์ประหลาดแบบนั้นอาจจะมีลูกไม้อื่นอีกที่เราไม่รู้จักก็ได้.. อย่างเช่นรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวยัยหนูนั่นน่ะ”

“ดังนั้นในตอนนี้พวกเราต้องออกจากระยะหนึ่งร้อยกิโลให้ไวที่สุด.. แล้วฉันก็ยังให้ลูกน้องหน่วยอีกาหลายร้อยคนกระจายกันออกไป”

“เผื่อในกรณีที่อีกฝ่ายอาจจะรู้ว่ามีคนชุดดำมาลักพาตัว ฉันเลยให้พวกนั้นเป็นตัวล่อให้…”

“ส่วนหลังจากหลบหนีจากระยะร้อยกิโลได้แล้ว.. เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิดกัน—”

ในขณะที่เขากำลังพูดแบบนั้น เสียงโทรจิตก็ดังเข้ามาในหัว อีกาเตือนอาโก้ว่า

“ทีมเงาทมิฬโทรจิตด่วนเข้ามา แจ้งให้ทุกคน ทุกทีมทราบ”

“ทีมเงาครามโทรจิตด่วนเข้ามา แจ้งให้ทุกคน ทุกทีมทราบ”

“หนีจากทางภูเขาให้ไว—”

“มันมีสัตว์ประหลาด—”

เสียงเหล่านั้นขาดหายไปแทบจะพร้อมๆ กัน.. สีหน้าของอาโก้แทบซีดเผืออดลงกะทันหัน เขาลืมคิดไปอีกหนึ่งอย่างว่า…

อีกฝ่าย..สามารถเรียกสัตว์ประหลาดที่เหมือนคิเมร่าออกมาได้ในชั้นแรก..

“ความสามารถในการอัญเชิญสัตว์ประหลาด!!”

อาโก้ที่ลืมเรื่องนั้นไปเพราะนึกแต่เรื่องอาณาเขตจิตมังกรกับอาณาเขตลบคนให้หายไปเมื่อเข้ามาในระยะจนลืมเรื่องหนึ่งไป…

เขาตะโกนผ่านโทรจิตแจ้งให้ทุกหน่วยทราบทันทีว่า..

“หนี..ให้ไว ใครพลาดทิ้งไว้ทันที.. ก่อนอื่นต้องหนีตัวใครตัวมัน”

เขาเองก็จินตนาการถึงเรื่องหนึ่งขึ้นว่า.. หากสัตว์ประหลาดอัญเชิญของอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

ถ้าเป็นแบบนั้นละก็…

หนีตาย!

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาพอจะบอกกับลูกน้องของเขาได้

หนีตายแค่นั้น อย่าหันกลับไปสู้สัตว์ประหลาดคิเมร่านั่นมันฆ่าคนได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ถ้าไม่อยากตายก็แค่หนี

ความหวาดกลัวของอาโก้ส่งผ่านโทรจิตไปยังลูกน้องเช่นเดียวกัน ความกลัวนั้นถูกฝังลงไปยังจิตของลูกน้องแทบจะทันที..ทุกคนต่างพากันแตกกระเจิงวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง

แต่ที่แน่ๆ.. พวกเขาไม่เข้าใกล้ภูเขายักษ์ซากปรักหักพังแน่ๆ