“เจ้าคงหิวมาก… พอได้กลิ่นอาหารหอม ๆ เช่นนี้คงจะอดใจไม่ไหว อ้อ แต่ข้ามีบางอย่างจะบอก… พรุ่งนี้ข้าจะหาอะไรมาให้กินอีก แต่เจ้าห้ามบอกแม่เด็ดขาด!”
เฉินเฉินพยักหน้ารับซ้ำ ๆ ราวกับไก่จิกเปลือกข้าว
เขารู้ดีว่าการขัดคำสั่งของแม่เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ แต่แม่จะโทษเขาก็ไม่ได้เพราะนางไม่ยอมให้เขากินข้าวและเขาไม่ชอบเวลาที่ตัวเองต้องหิวโหยเป็นที่สุด!
พี่สาวที่อยู่ตรงหน้าดูไม่มีเจตนาร้ายใด อีกทั้งยังมอบอาหารให้กับเขาด้วยความเต็มใจ… เขารู้สึกเชื่อใจนาง นางคงจะไม่ใช่คนเลวหรอกใช่ไหม?
เฉินเฉินไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ภายในใจพร้อมกับเดินตามพี่สาวกลับบ้านอย่างเงียบเชียบ จนท้ายที่สุดเด็กชายย่องเบาเข้าห้องของตนสำเร็จ
หลังจากนั้นเถียนเถียนก็กลับมาที่โรงไม้พร้อมกับหลับสนิทในทันที
เป็นเพราะเฉินเฉินและเถียนเถียนนอนดึก ทั้งสองคนจึงตื่นสายโดยมิได้นัดหมาย แต่ในทางกลับกันหลินชวนฮวากลับมีความสุขมาก หลังจากได้ลองทำอาหารมาหลายครั้ง ในที่สุดนางก็สามารถทำให้มันอร่อยได้สักที!
หลังจากเฉิงผิงอันกินข้าวเสร็จก็คิดจะไปเล่นไพ่ที่บ่อนสักหน่อย…
แต่แล้วเขาก็นึกถึงลูกชายตัวน้อยได้จึงกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ “ข้าวที่เหลือในจานนี้เก็บไว้ให้เฉินเฉินนะ!”
หลินชวนฮวายิ้มแห้ง ๆ อย่างไม่เต็มใจแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ขัดขืน ส่วนเฉินผิงอันไม่ได้สนใจอะไรนัก เขารีบลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไปทันที
อย่างไรเสียในใจของเขายึดมั่นอยู่เสมอว่าภรรยาคงไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา…
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเขาจากไป ใบหน้าของหลินชวนฮวาเผยความเย็นเยียบออกมา
เมื่อเฉินเฉินได้ยินพ่อบอกว่าให้เก็บอาหารส่วนนี้ให้ตัวเอง เขารีบแจ้นออกมาจากห้องอย่างมีความสุข
จะอร่อยเหมือนไก่ป่าเมื่อคืนไหมนะ?
ในตอนนั้นเองที่หลินชวนฮวาอดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่ง “กิน กิน กิน! ทั้งวันไม่ทำอะไรสักอย่างนอกจากเล่นไพ่! ส่วนนังเด็กขี้ครอกก็ทิ้งไว้ให้ข้าเลี้ยง ไม่เคยคิดจะสั่งสอนหรือสนใจ ดูซิ! ตอนนี้มันเอาแต่สร้างปัญหามากมายไม่หยุดหย่อน ก็ยังไม่คิดจะสนใจงั้นเหรอ!?”
สายตาบริสุทธิ์ของเฉินเฉินจับจ้องแม่ที่กำลังก่นด่าอย่างอารมณ์เสียก็พลันนึกหวาดกลัว เขาก้าวถอยหลังจะกลับเข้าห้องแต่ว่ากลิ่นหอมของอาหารกลับฉุดรั้งเขาเอาไว้มิให้เดินหนีไป
“ท่านแม่… ข้าวพวกนี้พ่อให้ข้ากิน!”
หลินชวนฮวาหันมาพร้อมกับเงื้อมมือฟาดลงบนร่างของเด็กน้อยอย่างรุนแรง เด็กชายล้มลงกับพื้นพร้อมกับจับจ้องผู้เป็นแม่อย่างหวาดกลัว
“ไอ้เด็กเวรหากไม่ได้กินข้าวสักวันมันจะตายหรือไร? พี่ชายของเจ้าร่ำเรียนจนเหน็ดเหนื่อย เขาจึงต้องได้รับอาหารมากกว่าใคร ที่บ้านนี้ไม่มีอาหารสำหรับเจ้า ไปให้พ้นหน้าข้าซะ!”
ขณะกล่าวอย่างนั้นหลินชวนฮวาจัดเก็บอาหารที่เหลือบนโต๊ะทั้งหมดก่อนจะนำไปให้เฉิงเยี่ยในห้อง
เฉิงเยี่ยมองอาหารมื้อนี้ด้วยสายตารังเกียจ… เขาไม่ค่อยเต็มใจที่จะกลืนมันลงคอเท่าไหร่นัก
หลินฮวาที่เห็นสายตาของลูกชายจึงรีบกล่าวปลอบ “ทุกวันนี้ลูกต้องอดทนกับสิ่งรอบข้างมากมาย อีกทั้งการอ่านหนังสืออย่างหนักคงทำให้ลูกกดดันและกินข้าวไม่ลง… แต่ยังไงซะลูกก็ต้องกินเยอะ ๆ เพราะร่างกายและชีวิตของลูกสำคัญกับแม่ยิ่งนัก”
แต่เฉินเฉิงเยี่ยไม่ได้ตอบคำใดกลับ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมกับคีบอาหารเข้าปากอย่างรังเกียจ แต่หลังจากเคี้ยวไปได้ครู่หนึ่งเขาขว้างตะเกียบลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน? มันคืออาหารของมนุษย์งั้นหรือ? นังเด็กขี้ครอกนั่นมันไม่ยอมทำอาหารหรือไร?”
หลินชวนฮวาถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวตอบ “นางมิได้ทำอาหารแล้วเพราะแม่เกรงว่ามันจะใส่ของแปลกปลอมลงไป แม้ก่อนหน้านี้นางจะทำได้ดี แต่ตอนนี้แม่ไม่ไว้ใจนางอีกต่อไป สิ่งที่จะลงไปอยู่ในท้องของลูกต้องผ่านการคัดสรรจากแม่เท่านั้น”
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่หลินชวนฮวาโป้ปดเพื่อความสบายใจเท่านั้น นางไม่อยากให้ลูกชายรู้ว่าเฉินเถียนเถียนไม่จำเป็นต้องรับใช้พวกเขาอีกต่อไป!
เฉินเฉินหิวโซและเริ่มตาลาย อาหารของเขาถูกยกให้พี่ชายจนหมดสิ้น อีกทั้งตอนนี้แม่ยังโยนความผิดให้กับพี่สาวเขาอีกด้วย!
เพราะเฉินเฉินไม่ได้ข้าวข้าวและหิวมาก เขาวิ่งไปหาเถียนเถียนที่โรงเก็บไม้อย่างเร่งรีบ
ส่วนเถียนเถียนยังคงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ตั้งแต่ที่นางผล็อยหลับไปเมื่อคืนจนตอนนี้ก็ยังไม่คิดลุกจากเตียงแม้ว่ามันจะทั้งเปียกและอับชื้นก็ตาม
ไม่ว่าบรรยากาศจะเลวร้ายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเทียบกับความเหนื่อยล้าของนางได้ เช่นนี้การนอนหลับจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
สำหรับเฉินเฉินที่หลับลึกในห้องอุ่น บนเตียงค่อนข้างนุ่มแต่ก็มีเสียงรบกวนจากในตัวบ้านจึงทำให้เขาตื่นเช้า
“นังขี้ครอก! ตื่นได้แล้ว มันสายแล้ว!”
เฉินเถียนเถียนลืมตาตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าน้องชายยืนอยู่ตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นังขี้ครอก… ข้าหิว!”
ดวงตาของเถียนเถียนเบิกกว้างพร้อมกับตะหวาดออกอย่างเกรี้ยวกราด “แล้วเจ้าเรียกผู้ใดว่านังขี้ครอก? เมื่อคืนเจ้ากินอาหารของข้าจนหมดสิ้นแต่เช้ามากลับลืมบุญคุญแล้วงั้นหรือ?”
เฉินเฉินตื่นตระหนกพร้อมกับหดหัวลงอย่างรวดเร็ว เด็กชายถามเสียงค่อย “แล้ว… ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร?”
เถียนเถียนกลอกตาไปมาด้วยความหงุดหงิด “ข้ากับเจ้ามีพ่อคนเดียวกันและข้าแก่กว่าเจ้า หากไม่เรียกว่าพี่สาวแล้วจะเรียกว่าอะไร!”
ใบหน้าของเฉินเฉินแดงก่ำ เขาเอ่ยปากด้วยคำเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน “พี่สาว…”
เขาลังเลที่จะเรียกนางว่าพี่สาวงั้นหรือ?
เอาล่ะ ไม่เป็นไร! เด็กก็คือเด็ก เป็นเพราะหลินชวนฮวาสั่งสอนเขามาเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่เขาจะเชื่อฟังแม่ของตนเอง!
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่แต่เช้า”
เฉินเถียนเถียนถามด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าเป็นคนตะกละใช่ไหม? ที่นี่ไม่มีอาหารให้เจ้าแล้ว กลับไปหาแม่เจ้าเสีย… ไปซะ!”
เฉินเฉินเบ้ปากราวกับจะร้องไห้ “แม่บอกว่าหากไม่ทำอะไรก็ไม่ต้องกินข้าว พี่ชายของข้าต้องอ่านหนังสือจึงต้องกินเยอะกว่าใคร!”
“อะไรกัน! หลินชุนฮวาเป็นแม่ของเจ้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงปฏิบัติราวกับว่าเจ้าถูกเก็บมาเลี้ยง? นางไม่ให้เจ้ากินอาหารเลยเหรอ?”
เฉินเฉินก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไร!
เฉินเถียนเถียนพูดไม่ออกก่อนจะจับมือเฉินเฉินและวิ่งไปหาหลินชวนฮวาทันที!
นางเอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมา “หลินชวนฮวา! ท่านสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วหรือ? หากท่านมีความแค้นต่อข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารข้า แต่เด็กน้อยผู้นี้เป็นลูกชายของท่านไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่ให้เขากินอาหาร ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลินชวนฮวาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาเป็นลูกของข้า เจ้าจะกังวลแทนข้าทำไม? เฉินเถียนเถียน… ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงตัวเองเสียดีกว่า เพราะคงเป็นเรื่องยากที่จะหาคนมาปกป้องดูแล รีบแต่งงานซะ… จะหน้าด้านอยู่ที่นี่ทำไม?!”
เฉินเถียนเถียนรู้สึกคับแค้นใจที่เอาชนะไม่ได้และด่าไม่ได้จึงทำได้เพียงชี้หน้าและพูดว่า “ผู้หญิงอย่างท่านไม่สมควรเป็นแม่คน ไม่ช้าก็เร็วท่านต้องถูกฟ้องแน่!”
หลินชวนฮวาทำหูทวนลมไม่สนใจก่อนจะหันกลับไปหยิบลิปสติกสีแดงบนโต๊ะเครื่องแป้งมาทา!
เฉินเถียนเถียนหันมาจับมือน้องชายและเดินออกจากห้องไป
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยที่เถียนเถียนมีก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย หญิงวัยกลางคนที่ดูเรียบร้อยอ่อนหวานกลับทำตัวประหลาดในยามที่เฉินผิงอันไม่อยู่ …นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
นางรู้สึกว่าเฉินผิงอันน่าเป็นห่วง ต้องมีใครสักคนเตือนสติเขาสักหน่อย!
แต่เฉินผิงอันเป็นใครกันเล่า? เฉินเถียนเถียนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องตักเตือนเขา ปล่อยเขาไป… ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องเสียใจอย่างไม่มีวันลืม!