บนใบหน้าของมันยังกั้นไว้ด้วยผ้าสีดำอีกผืนหนึ่ง ปกปิดทวารทั้งห้าสิ้น ยังสวมใส่มิดชิดยิ่งกว่าพวกอาหรับเสียอีก

แต่งตัวแบบนี้ โจรขโมยบุปผายังถือว่าแต่งตัวเปิดเผยมากกว่ามัน จะมองออกได้อย่างไร?

“เต่าหดหัว แน่จริงก็เปิดหน้าออกมาสิ” ฉินจิ่วเกอโทสะพุ่งพรวดในใจ หรือว่าครานี้จำต้องกลับไปมือเปล่าจริงๆ?

เสื้อคลุมดำกลับไม่ลงมือทันที อาจเป็นเพราะหวาดเกรงต่อซ่งเล่อที่เจ็บหนัก หรืออาจมีแผนการอื่นใดอีก

“ข้าไม่คิดฆ่าพวกเจ้า อย่าบีบคั้นข้า!” เสื้อคลุมดำแผ่รังสีอำมหิตหนาหนัก ในนั้นยังแฝงด้วยภูติแค้นคนตายสุดคณานับ

“แล้วไปเถอะ” ซ่งเล่อเรียกรั้งฉินจิ่วเกอ ส่งสัญญาณมิให้บุ่มบ่าม อีกฝ่ายเคยฆ่าคนมาแล้ว ทั้งยังจำนวนไม่น้อยอีกด้วย

“ไม่ได้ ยังไงข้าก็ต้องลองดู!” ความดื้อรั้นดันทุรังของฉินจิ่วเกอพลันกำเริบ ไม่ว่าใครก็ฉุดไม่อยู่

ลองคิดว่าหากตนเองเป็นมัน ยอดยุทธ์ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เพิ่งถูกรูดทรัพย์ ล่าห่านมาทั้งวันถูกจิกตาบอด นายพรานไหนเลยจะตัดใจได้

อีกฝ่ายพลังฝีมือสูงกว่า วิชายุทธ์ก็เหนือกว่า ทั้งยังฝึกฝนเคล็ดลมปราณมา

ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งทะลวงด่านปราณสุริยัน แม้ดูแล้วไม่อาจเอาชนะได้ แต่มันยังมีอาวุธสังหารอยู่

ลูบคลำไปยังแหวนมิติ ในใจของฉินจิ่วเกอกระตุกคราหนึ่ง ดึงเอาดอกพลับพลึงแดงออกมาจากในแหวนสองสามดอก

“ดอกพลับพลึง?” เสื้อคลุมดำรู้จักของสิ่งนั้น ต้องถอยกายไปหลายก้าว

“ฆ่า!”

ระบำหงส์เหินเร่งความเร็วของฉินจิ่วเกอ ส่งร่างของมันไปถึงเบื้องหน้าเสื้อคลุมดำในพริบตา

พลังวิญญาณรวมรั้งอยู่ใจกลางผ่ามือ บดขยี้ดอกพลับพลึงแดงจนแหลกละเอียด

ผงดอกไม้และน้ำที่ถูกคั้นออกมา สาดกระจายครอบคลุมใส่คนทั้งคู่

เทพมรณะยื่นฝ่ามือพิกลเปื้อนเลือดออกมาแล้ว คว้าตะปบลงไปยังดวงใจของคนทั้งหมดในที่นั้น

ดอกพลับพลึงแดง ก็คือสัญลักษณ์ของเทพแห่งความตายในปรโลก บรรจุไว้ด้วยไอพลังหยินปีศาจแห่งฝันร้าย แม้แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ไม่อาจต้านทานได้

นั่นคือพลังที่กำเนิดมาจากกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องโดยไม่ระวัง

เสื้อคลุมดำไม่คาดว่าฉินจิ่วเกอบ้าคลั่งถึงระดับนี้ ไม่เพียงเอาดอกพลับพลึงแดงออกมา ยังระเบิดมันออกต่อหน้าอีกด้วย

บ้าไปแล้ว เสื้อคลุมดำแยกเขี้ยว คิดหลบหลีกก็ไม่ทันการณ์แล้ว

ซ่งเล่อเห็นดังนั้น คนยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก ม้วนร่างหลบออกไปไกลโข ไม่กล้าอ้าปากสูดหายใจ

พี่ฉินท่านนี้ เป็นบุคคลที่รักเงินไม่รักชีวิตอย่างแท้จริง ช่างเหี้ยมอำมหิตนัก

สำหรับกับคนอำมหิตแล้ว ไม่ต้องกล่าวว่าวันหนึ่งต้องรายงานมันสามรอบ คนแบบนี้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรล้วนไม่อาจหยิบยืมเงินมัน ไม่เชื่อท่านดู ช่างน่ากลัวไม่ต่างจากพวกก่อการร้ายเลยทีเดียว

“คิดหมายตาของของข้า อย่าอยู่อีกเลย!” สีหน้าของฉินจิ่วเกอฉายแววเหี้ยมเกรียม ลำตัวหายไปในหมอกโลหิตเสียกว่าครึ่ง

เสื้อคลุมดำก็โดนลูกหลงไปด้วย ฉินจิ่วเกอนั้นไม่ต้องพูดถึง ซ่งเล่อได้แต่ปาดเหงื่อเย็นบนใบหน้าแทนมัน เสี้ยวพริบตาก่อนที่จะเข้าสู่แดนมายา ฉินจิ่วเกอก็เลิกเอาผ้าปิดหน้าของเสื้อคลุมดำออกได้สำเร็จ

เป็นใบหน้าที่งดงามไร้คู่เปรียบ ไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดๆ มาบ่งบอกบรรยายได้ เทียบกันแล้ว ซ่งเล่อไม่ต่างจากก้อนกรวดตามรายทางเลยแม้แต่น้อย

ฉินจิ่วเกอร้อนใจยิ่ง ตอนเห็นซ่งเล่อ มันก็ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากพอแล้ว ตอนนี้มาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเสื้อคลุมดำ ไม่ใช่แค่รูปโฉมที่เหนือล้ำกว่าตน แม้แต่คุณสมบัติทุกอย่างในตัวยังทิ้งห่างจนไม่ติดฝุ่น

“ไม่ได้การแล้ว ขอข้าทำลายใบหน้างามๆ นั่นก่อนค่อยสลบก็แล้วกัน” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวเป็นหมาบ้า สองมือตะกุยพื้น กระเถิบตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง

ระหว่างทางก็หยิบเศษหินที่ตกอยู่ข้างตัวมาชิ้นหนึ่ง พลิกดูเหลี่ยมมุมกลับคมไม่แพ้ใบมีดเล่มหนึ่ง

“เป็นบุรุษจะมีหน้าตางดงามขนาดนั้นไปทำไม ให้ข้าจารึกบาดแผลที่จะอยู่กับเจ้าไปชั่วกาลนานไว้หน่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็เงื้อมือขึ้น เตรียมจะกรีดหน้าอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ

แต่ในตอนนั้นเอง เสื้อคลุมดำที่หมดสติไปชั่วครู่ก็ได้สติกลับมา นัยน์ตาส่งประกายคมวาวจ้องเขม็งมาทางฉินจิ่วเกอไม่วางตา

“ศิษย์น้องรอง?” มองเห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา ห้วงความทรงจำอันสับสนก็พลันถูกปลดออก ฉินจิ่วเกอนึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายคือใคร!

มิน่าเล่าตนเองคิดทำลายโฉมหน้ามัน ที่แท้คือลั่วเฉินศัตรูหมายเลขหนึ่งที่แก่งแย่งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่กับมันนี่เอง!

“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าได้บอกว่าเคยพบข้ามาแล้ว มิเช่นนั้น” เสื้อคลุมดำ ไม่ใช่สิ สมควรเรียกว่าศิษย์น้องรองแย้มรอยยิ้มร้าย นิ้วสะกิดเกาตนเอง

มันมาจากพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอเองก็เช่นกัน แล้วจะบอกกล่าวต่อซ่งเล่ออย่างไร

หรือว่าจะหัวเราะบอกต่อมัน ไอ้โหยว นี่คือศิษย์น้องรองข้าเอง ที่จริงพวกเราทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์อันใด มันคิดแย่งชิงต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ข้าเป็นเพียงกระต่ายน้อยไร้เดียงสาตัวหนึ่งเท่านั้นจริงๆ

หากอธิบายต่อมันเช่นนี้ ซ่งเล่อคงต้องประเคนท่อนขาใหญ่ให้มันท่อนหนึ่งแน่นอน

ลั่วเฉินจอมชั่วร้ายยังคงไม่รามือ ดวงตาดอกท้อของมันขยิบยั่วฉินจิ่วเกอคราหนึ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นถีบส่งฉินจิ่วเกอปลิวออกไป

ระหว่างไล่ตามผู้ร้ายกับไปช่วยฉินจิ่วเกอ ซ่งเล่อเลือกประการหลัง

ลั่วเฉินเห็นดังนั้น ใช้ความเร็วดุจประกายสายฟ้า ฉกฉวยต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ที่เปล่งประกายดุจแก้วใสไปอย่างรวดเร็ว

บนแท่นศิลาหยก มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยกฎเกณฑ์อยู่ เมื่อเปิดค่ายกล ลั่วเฉินก็ลอยตัว ออกจากมิตินี้ไปอย่างง่ายดาย

“พี่ฉิน” ซ่งเล่อสืบเท้าทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ลูบหน้าลูบตาฉินจิ่วเกอ “ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ไม่อยู่แล้ว ลำบากท่านแล้ว!”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าคิดกระอักเลือด”

“ท่านเห็นหน้ามันหรือไม่? บอกข้ามา ข้าจะให้คนวาดภาพเหมือน ทุกวันปิดประกาศตามล่าแปดรอบสิบรอบ”

ในใจฉินจิ่วเกอเต้นระรัวชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย แล้วกันไปเถอะ ยังคงอย่าได้บอก บอกออกไปกลับยิ่งน่าสงสัยว่าเป็นโจรร้องจับโจร

วิ่งหนีพระได้ไม่อาจหนีวัดพ้น กลับไปรอคอยศิษย์น้องรองเงียบๆ สามารถใช้ดำกินดำ ก่อนนั้นที่ต้องทำคือยกระดับพลังฝีมือตนเองให้เหนือกว่าอีกฝ่ายให้ได้โดยเร็ว

“ช่างเถอะ ใบหน้านั้นทั้งชั่วร้ายทั้งอัปลักษณ์ขั้นสุด มีหกหูสามเนตร จมูกบานเท่ากำปั้น ขนคิ้วราวแปรงขนหยาบกระด้าง ศีรษะราวศีรษะมังกร คนหนักกว่าสี่ร้อยจิน ตกใจแทบตายแล้ว”

ฉินจิ่วเกอพ่นคำบรรยายรูปลักษณ์ใบหน้าอันอัปลักษณ์สุดทนทาน ไม่สนใจสายตาประหลาดที่มองมาของซ่งเล่อ

จบสิ้นกัน ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ถูกฉกฉวยไปแล้ว ฉินจิ่วเกอเองก็ถูกทำให้แตกตื่นจนเสียสติไป ยังดีที่นอกจากพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระแล้ว กลับมิได้มีทีท่าว่าจะอาการหนักกว่านี้

“พี่ฉินวางใจ หลังจากออกไปจากที่นี่ ข้าจะหาผู้ฝึกวิชาแพทย์มารักษาท่านให้จงได้” ซ่งเล่อระมัดระวังต่อสภาพจิตของฉินจิ่วเกอ “ที่สำคัญคือมาตรวจอาการทางสมอง”

“เพ้ย เงินทองเป็นของผ่านตา อดีตเป็นเพียงวันวาน ข้าเป็นพวกผีหิวเงินงั้นหรือไง? มิใช่เพียงต้นกำเนิดกฎเกณฑ์เพียงเท่านั้นหรอกหรือ ข้าไม่ยึดติดหรอก”

ฉินจิ่วเกอมิได้ถูกโจมตีหนักหนาสาหัสจนน้ำลายไหล กลับกันมันใจกว้างยิ่ง ยังยืนขึ้นปลอบใจซ่งเล่อ

ซ่งเล่อเร่งกล่าวคล้อยตาม “เช่นนั้นก็ดี สถานที่นี้มิสู้ดี พวกเราไปกันเถอะ”

“ไม่ต้องรีบร้อน” ฉินจิ่วเกอเหยียดมือออกข้างหนึ่ง นิ้วขาวเรียวทั้งห้ากางขึ้น “อาวุโสท่านนั้นระดับฝีมือสูงส่งเทียมสวรรค์ ทั้งยังเป็นเผ่ามนุษย์เหมือนกับพวกเรา เท่ากับเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ดีร้ายยังไงเราก็มารบกวนการพักผ่อนของท่าน ยังคงช่วยกลบฝังก่อนจะจากไปดีกว่า”

“ไม่นึกเลยว่าพี่ฉินจะจิตใจดีงามขนาดนี้” ระดับความดีที่ซ่งเล่อรู้สึกต่อฉินจิ่วเกอพลันพุ่งทะยาน

ย่องย่างไปตามเศษซากหินหยกบนพื้น ลานหยกยกสูงเมื่อครู่ถูกทำลายจนเหลือแต่เศษละออง มีแต่โครงกระดูกที่ยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม ทั่วร่างเปรอะเปื้อนกระจัดกระจายไปหมดแต่ก็ยังให้ความรู้สึกน่ายำเกรงดั่งเดิม

“อาวุโส ผู้เยาว์นามฉินจิ่วเกอ ได้พบเท่ากับมีวาสนา ว่ากันว่ากำเนิดจากที่ใดก็ควรกลับสู่ที่นั่น ให้ผู้เยาว์ช่วยท่านไปสู่สุคติเถอะ”

ใช้ดินทรายรอบตัวให้เกิดประโยชน์ ฉินจิ่วเกอก็ก่อสุสานขนาดย่อมขึ้นมาได้สำเร็จ จากนั้นก็นำร่างของอีกฝ่ายใส่เข้าไปด้วยความเคารพ ว่ากันตามหลักการแล้ว ฉินจิ่วเกอที่แน่นอนว่าไม่ใช่คนดีย่อมไม่มีทางยุ่งเรื่องของคนอื่นโดยไม่หวังผล

มันเคยได้ยินว่า ผู้บำเพ็ญเต๋า ภายในจุดหลิงไถบ่มเพาะแก่นวิญญาณ ตันเถียนจะเปลี่ยนเป็นดวงธาตุสีทอง เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปี แม้ของอย่างแหวนมิติจะเสื่อมสลายไป แต่อย่างน้อยต้องมีวัตถุวิเศษสองอย่างที่ไม่มีวันสลายไปง่ายๆ

หนึ่งคือต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ที่ศิษย์น้องรองแย่งชิงไป นั่นคือแก่นพลังที่มาจากจุดชีพจรหลิงไถ

สองคือดวงธาตุทองคำที่เกิดจากการควบผนึกตอนที่อาวุโสท่านนี้ย่างเข้าสู่ขอบเขตกลั่นดวงธาตุในอดีต นับเป็นของที่มีมูลค่าจนมิอาจประเมินได้เช่นกัน

ฉินจิ่วเกอเลยตัดสินใจมั่น ต่อให้อีกฝ่ายตายไปแล้ว แต่ยามเผชิญหน้ากับผีลืมหลุมเช่นนี้ท่านก็ยังต้องปฏิบัติด้วยความเคารพนอบน้อมเอาไว้ก่อน

ปีนั้นเตียบ่อกี้ เนื่องเพราะคารวะต่อโครงกระดูกของหยางติงเทียนสามครั้งคราด้วยความเคารพ ดังนั้นได้รับเคล็ดวิชาเทพมา

มันจึงปฏิบัติตามทุกขั้นตอนอย่างละเอียดยิบ ในเมื่อตนฝังอีกฝ่ายลงหลุมด้วยจิตใจอันดีงามปานนี้แล้ว ท่านไม่ต้องเอาสิ่งของความสามารถสุดโกงมาให้ข้าก็ได้ แค่โยนศิลาวิญญาณลงมาจากเบื้องบนบ้างก็พอแล้ว

เหมือนเคลื่อนย้ายสุสานบรรพชน ฉินจิ่วเกอโขกศีรษะคารวะสามครั้งพร้อมนำร่างของอาวุโสฝังลงดินเพื่อแสดงความเคารพ

วาสนาทองที่รอคอยกลับไม่ปรากฏ อย่าว่าแต่รางวัลตอบแทนคุณงามความดีที่ทำลงไป แม้แต่กลิ่นผายลมสักหอบหนึ่งยังไม่มี

“ไม่น่ามั้ง หรือจะบอกว่าในหนังสือล้วนเป็นเรื่องแหกตา?” ฉินจิ่วเกอไม่อยากเชื่อว่าโลกใบนี้จะมืดมนโหดร้ายถึงเพียงนั้น ไหนล่ะโอกาสดีที่ว่า ข้าก็ฝังให้ท่านแล้ว ตามหลักท่านก็ต้องมอบของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ กลับมาบ้างไม่ใช่หรือยังไง

“ผีตายซาก ตายแล้วไม่ตายลับ ไฉนยังทำหวงก้างไม่ให้อะไรข้าเลย!”

ด่าไปก็กินแรงเปล่า ฉินจิ่วเกอยกฝ่าเท้าเหยียบโครมลงไปบนกองสุสานที่อุตส่าห์จัดตั้งไว้อย่างดี

เกิดเสียงแตกหักขึ้น พร้อมกับเม็ดมุกคุณสภาพล้ำเลิศไร้ที่ติพุ่งออกจากกองสุสาน

เป็นมุกสีทองอำพันดุจดาราดาษ ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง พื้นผิวปรากฏลวดลายเร้นลับน่าพิศวงอยู่ทั่วทั้งเม็ด

“กลับมีสมบัติอยู่จริงๆ!”

เมื่อได้ของดีมาแล้ว ฉินจิ่วเกอกดให้คะแนนห้าดาวเต็ม มือก็ก่อกองสุสานขึ้นใหม่ ครั้งนี้เอาให้สูงใหญ่เทียมฟ้าไปเลย

“พี่ฉิน ท่านรวยแล้ว” ซ่งเล่อนัยน์ตาลุกวาว คารวะหนึ่งปลกให้อีกฝ่าย

ดวงธาตุทองคำ เมื่อครู่มันถึงกับลืมไปเสียฉิบ

ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ก่อนหน้าแน่นอนว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ดวงธาตุทองคำอันเป็นภาชนะบรรจุพลังวิญญาณชั่วชีวิตของชนชั้นหมื่นวิถีนั้นก็นับเป็นสมบัติที่มิอาจประเมินคุณค่าได้เช่นกัน มีมูลค่าแทบไม่ด้อยไปกว่าต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ด้วยซ้ำ

นัยน์ตาซ่งเล่อส่องประกายวาววับ แม้จะอิจฉา แต่ในแววตาของมันมีเพียงความใสกระจ่างไร้ความคิดชั่วร้ายแอบแฝง รู้สึกยินดีกับโชคลาภวาสนาของฉินจิ่วเกอจากใจจริง

เห็นอีกฝ่ายนัยน์ตาวับวาวขนาดนั้น ฉินจิ่วเกอยังจะทำอะไรได้อีก

มันถอนใจยาว รู้สึกโกรธเกลียดตัวเองขึ้นมา บอกเองไม่ใช่หรือว่าตนเป็นคนเลว ทุกครั้งที่ทำเรื่องดีแต่ไม่ได้อะไรตอบแทน มันก็ยังทำจริงๆ

ฉินจิ่วเกอหยิบมีดออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นวางดวงธาตุทองคำที่กำลังส่องประกายวิญญาณออกมาไว้กับพื้น “มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ข้าไม่ใช่คนดีอะไร แต่เรื่องอย่างการฮุบกินของดีๆ เพียงคนเดียวข้าทำไม่ลง แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแล้วกัน”

ส่วนประกอบสำคัญที่สุดสำหรับมรดกตกทอดแบ่งออกเป็นเคล็ดลมปราณและเคล็ดวิชายุทธ

ยามฝึกเคล็ดวิชายุทธจนถึงขีดสุด เท่ากับครอบครองทักษะระดับสูงสุดอันเลื่องชื่อทั้งหลายจากสมัยบรรพกาล สามารถผ่าภูผาแยกมหานที

“ข้าจะแบ่งดวงธาตุทองคำออกเป็นสองซีก ใครมีบุญก็ได้ซีกใหญ่กว่าไป” ฉินจิ่วเกอพึมพำ มันคิดแล้วคิดอีกคิดจนแทบอกแตกตายกว่าจะเอ่ยประโยคนี้ออกมาได้

“พี่ฉิน” จะบอกว่ามันไม่ตื้นตันใจก็คงไม่ได้ ซ่งเล่อรู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้น คาดว่าวันนี้อีกฝ่ายคงกระดกยาผิดกระปุก

“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉินจิ่วเกอนิ่วหน้ายกมือกุมอก ทำท่าเหมือนจะตายเอาให้ได้ “เลิกพูดคำเลี่ยนๆ เสีย ข้ากลัวว่าตัวเองจะรับไม่ไหวจนเผลอกลืนดวงธาตุลงท้องไปเสียก่อน”

“พี่ฉิน” ซ่งเล่อเรียกด้วยน้ำเสียงสะเทือนอารมณ์

“บอกว่าเลิกพูดได้แล้ว ขอข้าใช้สมาธิแบ่งเจ้าก้อนกลมๆ นี่ก่อน” ฉินจิ่วเกอยกมืออันสั่นเทาขึ้นสูง สุดท้ายก็ปิดตาลงอย่างเด็ดเดี่ยว “หากเจ้ารู้สึกเสียใจจริงๆ เช่นนั้นก็ลงบันทึกเอาไว้ว่าเจ้าติดหนี้ข้าอยู่หลายหมื่น”

“พี่ฉิน” ซ่งเล่อยกมือลูบจมูก ท่าทางคล้ายลังเลเล็กน้อย “สัตว์ประหลาดอย่างชนชั้นหมื่นวิถี ดวงธาตุของพวกมันแข็งทนสุดคณานับ ต่อให้เสียพลังวิญญาณหล่อเลี้ยงไปหมดแล้ว ยังไม่ใช่สิ่งที่จะเอาเหล็กธรรมดาๆ มาตัดให้ขาดได้”

ว่าอะไรนะ?