ตอนที่ 41 กางร่มให้บุปผางาม

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 41 กางร่มให้บุปผางาม

มั่วเชียนเสวี่ยพูดดังนั้นเพื่อต้องการสื่อว่า เขาไปได้แล้ว นางมาที่นี่เพื่อคุยธุระกับผู้อื่น

“บังเอิญเสียจริง ข้าก็ได้รับการนัดหมายจากลูกค้าพิเศษท่านนี้เช่นกัน เห็นบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา”

ขณะพูด คุณชายเจ็ดก็หย่อนก้นลงในเก้าอี้ห้องรับรองแห่งนี้โดยมีอาลู่จัดแจงเก้าอี้ให้

อาจ้าวพูดถึงคุณชายเจ็ดอยู่หลายครั้ง ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยฉุดคิดขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะนางคิดมากเกินไปหรือไม่ก็ตาม เห็นทีควรจะหลีกเลี่ยงคุณชายผู้นี้บ้างก็ดี

คุณชายเจ็ดผู้นี้มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหลือล้น ท่าทางไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติปลีกย่อยของเขาดูเป็นคนสบายๆ ยิ่ง ที่จวนคงจะเต็มไปด้วยภรรยาและอนุหน้ตางดงามนับไม่ถ้วน นางเป็นเพียงสาวชาวบ้านที่แต่งงานแล้ว จะไปถูกใจเขาได้หรือ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเรื่องจำเป็นก็พูดคุยกับเขาให้น้อยลงจะดีกว่า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยตอบ “เช่นนั้นก็เชิญคุณชายเจ็ดตามสบาย ข้าขอดูทิวทัศน์บนถนนที่นี่เสียหน่อย”

มั่วเชียนเสวี่ยยืนขึ้นพลางเดินไปที่หน้าต่างภายในห้อง มองชมวิวถนน กวาดสายตาออกนอกหน้าต่าง

ซูชีที่เห็นท่าทีปฏิเสธของมั่วเชียนเสวี่ยด้วยการปลีกด้วยออกห่างเขาไปก็พลันตกตะลึง!

แม้นมีหลายสิ่งที่เขาคิดไม่ตก แต่ก็ทำได้เพียงหลับตาลง พักสายตาอย่างผ่อนคลาย

ว่ากันตามตรง เขาไม่เคยเจอหญิงสาวเช่นนี้มาก่อน

ตั้งแต่เล็กจนโต ซูชีไม่เคยถูกละเลยเช่นนี้ ปกติหากไปที่ใดก็จะมีคนคอยประจบสอพลอเขาไม่เว้นว่าง ทั้งเหล่าหญิงสาวน้อยใหญ่ต่างใฝ่ฝันจะแต่งงานกับเขา บรรดาสาวน้อยที่ต้องการผูกมิตรกับเขาเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลและพวกสตรีที่ปรารถนาจะขึ้นเตียงกับเขาก็มีให้เห็นถมเถ

กับหญิงสาวคนอื่น หากเขาไม่ขับไสไล่ส่งก็จะแกล้งซื่อแล้วไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นสาวสวย คุณหนูผู้ลากมากดีมีชาติตระกูลหรือแม้กระทั่งเหล่าบุตรสาวของคนที่ร่ำรวย เขาไม่เคยดูดำดูดีพวกนางเลยแม้แต่น้อย เพราะเขามองทะลุความจอมปลอมของคนพวกนั้น ไม่เคยคิดให้หญิงสาวพวกนั้นย่างกรายเฉียดเข้ามาใกล้…

นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว มีผู้คนหลั่งไหลเข้าออกไปมาที่นี่อย่างต่อเนื่อง ดูผู้คนเดินเข้าออกภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียนที่ตั้งอยู่ตรงข้าม เห็นได้ชัดว่าไม่คึกคักเท่ากับไป๋อวิ๋นจวีแห่งนี้

มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิด สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่ได้มาที่นี่เพียงครึ่งเดือน นึกไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ คุณชายเจ็ดช่างมีฝีมือจริงๆ

เห็นทีไม่ควรประมาทคนผู้นี้เสียแล้ว!

รถม้าสุดหรูเทียบข้างจากด้านนอก ทันใดนั้น ชายชุดขาวก็ปรากฏตัวพร้อมขลุ่ยในมือ ตามด้วยเกาหล่างชายผู้ที่โต้เถียงกับนางในวันนั้น

ดูเหมือนว่าคุณชายผู้นี้จะเป็นซินอี้หมิง มุมปากของมั่วเชียนเสวี่ยขยับเล็กน้อย จากนั้นร่างบางจึงหมุนตัวกลับมานั่งลงที่เดิม

ครั้นซินอี้หมิงก้าวเข้ามาในประตู พบว่าทั้งสองคนอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็ตกใจพลางยกมือขึ้นสอดประสานตรงหน้าอกเพื่อทักทายซูชี “วันนี้คุณชายเจ็ดดูสง่างามมาก เหตุใดจึงมารออี้หมิงเช่นนี้ หากมีเรื่องอะไรเพียงส่งคนมาแจ้งได้”

เขายิ้มเล็กน้อย “อย่าได้เกรงใจเลย วันนั้นพี่ซินเชิญข้ามาชื่นชมผลงานแกะสลักที่น่าทึ่งด้วยกันมิใช่หรือ ที่ว่าวิเศษไปกว่าร้านเครื่องเรือนไม้อะไรนั่น หรือท่านไม่อยากให้ข้ามา กลัวว่าข้าจะดูไม่เป็น?”

ถึงใบหน้าซูชีจะยิ้มแย้ม แต่ซินอี้หมิงตะลึงงัน ในวันนั้นตอนที่เขาจองห้องรับรองแห่งนี้ เขาจึงเปิดปากเชื้อเชิญ แต่ซูชีไม่ได้ตอบกลับว่าจะเพียง เพียงยิ้มตอบเขาเท่านั้นนี่

ซินอี้หมิงแต่งกายด้วยชุดสีขาวเรียบง่ายที่ขลิบด้วยลวดลายเล็กๆ ตามชายผ้า แต่กลับทำให้ดูสง่างามยิ่งนัก ทั้งวาจาและการวางตัวเฉกเช่นคนมีบารมี เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขามาจากตระกูลใหญ่

แม้ว่ารัศมีของเขาจะมากล้น แต่เมื่อเทียบกับคุณชายเจ็ดแล้วยังนับว่าด้อยกว่าสามแต้ม

ทั้งสองแลกเปลี่ยนบทสนทนาอีกสองสามคำก่อนที่จะมองไปยังมั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเชียนเสวี่ยแนะนำตนเอง ไม่รู้ว่าซูชีนั้นไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาอื่น เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้จักนางเสียนี่ แถมยังโค้งคำนับนางประหนึ่งนี่เป็นการพบกันครั้งแรก

มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นดังนั้น แม้ว่าจะสับสนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดพยายามหาคำตอบ กลับคิดว่า ถูกต้องแล้วที่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน การไปมาหาสู่ของพวกตระกูลใหญ่มีความสัมพันธ์กันยุ่ง นางไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเองต้องปวดหัวเพิ่มอีก

ดูก็รู้ว่าเขากำลังแกล้งทำ

หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่สนใจที่จะพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป สองขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับดึงผ้าสีแดงที่ปกคลุมสิ่งที่อยู่ข้างใน

ทันทีที่ผ้าสีแดงถูกเปิดออก แสงสว่างพาดผ่านและกลิ่นหอมก็อบอวลทั้งห้อง

ดวงตาของคนทั้งสีพลันส่องแสงเป็นประกาย

ชิ้นงานแกะสลักรากไม้สูงราวสิบอิงฉื่อ รากที่แตกกิ่งออกยาวประมาณเจ็ดอิงฉื่อ นี่คือผลงานรูปแกะสลักเทพเจ้าซิ่วแชกง[1]ที่ในมือถือลูกท้อไว้ พร้อมด้วยเด็กชายแปดคนที่กำลังก้มลงโค้งคำนับด้วยท่าทางเบิกบานใจ

ทั้งเก้าคน รวมกันแล้วมีชีวิตชีวายิ่ง พร้อมกับรากไม้โยงระย้าราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ มั่วเชียนเสวี่ยพึงพอใจกับสายตาประหลาดใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก สองมือยกขึ้นและเริ่มแนะนำผลงานตรงหน้า

“เด็กชายที่กำลังโค้งคำนับเหล่านี้ ท่านอาจารย์ได้ตั้งชื่อมันว่าเก้าดารานำโชค! ถูกแกะสลักจากไม้การบูรที่มีกลิ่นหอมพิเศษ เนื้อรากไม้หนาแน่นและคงทน อยู่ได้นานหลายปี นอกจากนี้ไม้การบูรยังเป็นไม้เนื้อดี สวยงาม ยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายและหากปล่อยไว้เป็นสิบๆ ปีก็ย่อมไม่ผุพังไปตามกาลเวลา ซึ่งต่างจากชิ้นงานที่คุณชายซินได้เห็นที่ร้านเครื่องเรือนไม้ในตอนนั้น ทั้งชิ้นส่วนแกะสลักที่ทำมาจากไม้กลิ่นฉุนและคุณภาพย่ำแย่”

ในขณะที่แนะนำงานแกะสลักรากต่อหน้าทุกคน มั่วเชียนเสวี่ยได้ก้าวข้ามบทบาทใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างแล้ว ในใจพลันตื้นตันและอิ่มอกอิ่มใจเป็นที่สุด เหมือนได้หวนคืนสู่ภพปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งการประชุมสินค้านานาชนิดและการแนะนำอธิบายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นางคุ้นเคยกับงานโฆษณามาทุกประเภทเลยก็ว่าได้

“โซ่วซิงแปลว่าอายุยืน เด็กผู้ชายถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล เลขเก้าหมายถึงยืนยาวและเลขแปดหมายถึงลูกหลานก้าวหน้า…”

ซูชีเอนตัวพิงพนักพร้อมกับฟังไปด้วยอย่างเกียจคร้าน แต่ดวงตากลับสดใสยามมองไปที่ร่างบางผู้นั้นที่กำลังใช้วาทศิลป์ยกยอสินค้าของตนเอง ราวกับกลัวว่าลูกค้าจะไม่ซื้อ หนิงเหนียงจื่อผู้นี้พิเศษจริงๆ

นางมีความมั่นใจและแน่วแน่ ราวกับยืนอยู่เหนือทุกสิ่ง สิ่งที่นางทำไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางมาเร่ขายแต่กลับเป็นผู้อื่นต่างหากที่ต้องการขอซื้องานแกะสลักชิ้นนี้ บัดนี้ ราวกับมีแสงปล่องประกายออกจากร่างของนาง

ท่าทีเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวชาวนาธรรมดาจะมีได้อย่างแน่นอน!

เมื่อมองดูผลงานแกะสลักรากไม้ตรงหน้า ซินอี้หมิงไม่อาจเก็บงำความอัศจรรย์ใจในดวงตาของเขาได้เลย หลังจากมองไปที่ซูชีที่อยู่ขนาบข้างเขาก็พบว่าเจ้าตัวยังคงยิ้มเนือยๆ พลางจิบน้ำชาอย่างอารมณ์ดี ภาพตรงหน้าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

ดูเหมือนว่าข่าวลือในเมืองหลวงนั่นจะเป็นเรื่องจริง ความจริงที่ว่าการที่ลูกผู้ลากมากดีไร้ความรู้ความสามารถผู้นี้ทำให้กิจการของไป๋อวิ๋นจวีกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้นั้น เป็นเพราะเขาได้พ่อครัวคนใหม่และแนวคิดการค้าขายใหม่ๆ จากเมืองหลวงเข้ามาใช้ในเมืองแห่งนี้นี่เอง

มีเพียงอาลู่เท่านั้นที่รู้ว่ายิ่งเจ้านายของเขาประหวั่นใจมากเท่าใด ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเฉยเมยมากขึ้นเท่านั้น ซินอี้หมิงถอนสายตาแล้วผ่อนคลายอารมณ์ เมื่อมองดูงานแกะสลักตรงหน้าอย่างใกล้ชิดแล้ว เขาพึงพอใจกับมันมาก

รูปทรงดี ความหมายดี พิเศษจริงๆ!

เขาคงไม่ทันรู้ตัวว่าตอนที่เขาผ่อนคลายอารมณ์กลับมาท่าทีสบายๆ นั้น ถูกซูชีพบเข้า สีหน้าขี้เล่นปรากฏบนใบหน้าของซูชีทันที

“งดงามหมดจด สวยงามจับใจ สดใสราวกับมีชีวิต ทั้งกลิ่นการบูรจางๆ ที่มีฤทธิ์ในการขับไล่แมลง ฆ่าเชื้อราและทำให้อากาศบริสุทธิ์” มั่วเชียนเสวี่ยผายฝ่ามือเพื่ออธิบายให้ซินอี้หมิงฟังต่อ ทว่าแผลพุพองและรอยแผลเป็นที่ยังคงมีเลือดซิบออกมาบนมือเล็กคู่นั้น… ในสายตาของคนทั่วไป อาจคิดว่าเป็นความลำบากปกติของหญิงชาวบ้านชนบท

แต่ในสายตาของซูชี เขากลับรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เขาจำได้ชัดเจนว่ามือคู่นั้นทั้งขาวและบอบบาง มีพรสวรรค์ในการบรรจงเขียนตัวหนังสือออกมาได้อย่างบรรจง

ซูชีขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าที่หัวเราะของเขาซ่อนความมืดครึ้มอยู่ภายในโดยไม่มีผู้ใดสังเกต

เขาเป็นคนไหวพริบดีแต่กำเนิด เรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยประสบพบเจอในช่วงนี้ รวมถึงเรื่องที่นางจ้างคนขุดรากไม้ เขาได้ยินจากปากของอาจ้าว เพียงใช้สมองเพียงเล็กน้อยก็เดาได้ว่างานแกะสลักรากไม้ชิ้นนั้นเป็นฝีมือของนางเอง

สามีของนางทำบ้าอะไรอยู่ ถึงยอมให้สาวน้อยผู้นี้ทำงานหนักเพียงนี้ได้…

[1] เทพเจ้าซิ่วแชกง เทพแห่งอายุขัยของชาวจีน