บทที่ 36 เสี่ยวเป่าพาพี่ชายทั้งสามมาด้วย (รีไรท์)
บทที่ 36 เสี่ยวเป่าพาพี่ชายทั้งสามมาด้วย (รีไรท์)
ฝูไห่กงกงมององค์ชายแปดผู้มีความฉลาดแต่ไม่มากอย่างเห็นอกเห็นใจ
เขาคงไม่ถูกพี่ชายทั้งสองรังแกไปจนตายหรอกนะ…
“องค์ชายแปด จะไปด้วยกันหรือไม่?”
เสี่ยวปาโมโหจนเปลวไฟในดวงตาลุกโชน “พี่หกพี่เจ็ดล้วนเป็นคนขี้โกหก!”
พูดจบก็เดินตามไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว
เสี่ยวเป่าพาพี่ชายวิ่งเข้ามาในอาณาเขตที่ประทับของเสด็จพ่อราวกับลมพายุ คนป่วยกำมะลอทั้งสองรีบร้อนยืดหลังตรงทันที
หนานกงฉีเฉินไม่เท่าไหร่ เพราะเขาเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ยังประหม่าอยู่เล็กน้อย
ทว่าด้านหนานกงฉีรุ่ยที่ยังไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับเสด็จพ่อเลยสักครั้ง ในใจยิ่งกระสับกระส่าย ตัวแข็งทื่อ มือเริ่มเหงื่อออก
เสี่ยวปาวิ่งตามมาติด ๆ “รอข้าด้วย!”
เขาไม่กล้าเข้าไปข้างในนั้นคนเดียว!
แม้แต่เด็กเหลือขออย่างหนานกงฉีจวินก็ยังรีบทำตัวเหมือนหุ่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อ อันที่จริงเขาแทบอยากจะหดคอเข้าไปในกระดองเหมือนเต่าให้มันรู้แล้วรู้รอด
ตั้งแต่จำความได้เขาเคยเข้าเฝ้าเสร็จพ่อเพียงไม่กี่ครั้ง และทุก ๆ ครั้งเขาก็เอาแต่หวาดกลัวต่อสายตาเย็นชาน่าเกรงขามจนเกร็งไปทั่วทั้งร่าง
ภาพจำในวัยเด็กยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อมาถึงที่นี่เขาจึงรีบเบาเสียงลง
เสี่ยวเป่าหยุดเดินเพื่อรอให้พี่แปดของนางตามมาทันเสียก่อน ถึงจะเดินเข้าไปข้างในห้องโถง
หนานกงฉีจวินกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เดิมทีสีหน้าดูเบิกบาน ทว่าบัดนี้ มันเริ่มแข็งทื่อ มือข้างหนึ่งดึงชายเสื้อพี่หกไว้ด้วยความประหม่าพลางรู้สึกเสียใจ
ไม่น่ามากับพวกเขาเลย…
ในบรรดาเด็กทั้งหมด ยามนี้มีเพียงเสี่ยวเป่าเท่านั้นที่ดูมีความสุข ยิ้มหน้าบานเหมือนดอกไม้ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปข้างใน เจ้าก้อนแป้งก็รีบร้องหาใครบางคนเสียงสดใส
“ท่านพ่อ ๆ เสี่ยวเป่ามาแล้ว พาพี่ชายมาด้วยตั้งสามคนล่ะ”
หนานกงฉีรุ่ยและหนานกงฉีจวินไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ทั้งสองหันมองนางอย่างตกใจราวกับเห็นผี
ทว่าในใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
น้องสาวผู้นี้เหมือนจะโง่เขลาอยู่หน่อย ๆ นะ!
เกิดเสด็จพ่อทรงมีโทสะขึ้นมาจะทำอย่างไร พวกเขาเริ่มเป็นกังวลแทนน้องสาว ทั้งที่ยังไม่ทันได้มองสีหน้าผู้ที่ตนกล่าวถึงเสียก่อน
ส่วนหนานกงฉีเฉินนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความกังวลปะปนเลยสักนิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพเช่นนี้
เสี่ยวเป่าวิ่งตรงไปหาท่านพ่อ หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วมองลูกชายทั้งสามคนที่เดิมตามมา
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ!”
พี่ชายทั้งสามทักทายเสด็จพ่อตามขนบธรรมเนียม ภาพนี้ดูไม่เหมือนลูกชายมาพบพ่อ แต่เหมือนเสนาบดีเข้าเฝ้าฮ่องเต้มากกว่า
เสี่ยวเป่าวิ่งไปหยุดอยู่ข้าง ๆ บุรุษผู้เป็นที่เคารพรักของนางพลางคลอเคลียเขาอย่างสนิทสนม
“มานั่งเถิด”
เสียงนั้นยังฟังดูเย็นชาเหมือนเคย เพียงแต่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต
สามพี่น้องค่อย ๆ เดินไปนั่งอย่างสำรวม หนานกงฉีเฉินฉวยโอกาสนั่งลงข้าง ๆ น้องสาว
อีกสองคนก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ด้วยความกลัว ซ้ำยังเหลือบมองเสด็จพ่อเพราะอดใจไม่ไหว
วันนี้เสด็จพ่อดูน่ากลัวน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก
ทั้งยังไม่มีท่าทีไม่พอใจต่อการกระทำอันกล้าหาญของน้องสาว! ช่างน่าเหลือเชื่อ!
“ฝ่าบาททรงต้องการให้ห้องเครื่องทำเครื่องเสวยเพิ่มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เพราะไม่คิดว่าองค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดจะอยู่ที่นี่ด้วยจึงไม่ได้เตรียมอาหารเพิ่ม
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “พวกเจ้าชอบกินสิ่งใดก็บอกฝูไห่ไป”
ทั้งสามรีบพูดขึ้นพร้อมกันว่าอะไรก็ได้ พวกเขาไม่ใช่คนเลือกกิน!
หากจะให้พูดกันตามตรงละก็… ผู้ใดจะกล้าทำตัวจู้จี้จุกจิกอยู่ที่นี่
ในฐานะบิดา หนานกงสือเยวียนรู้ดีว่าตนเองและลูกชายให้เกียรติกันมากกว่าใกล้ชิด แม้แต่ลูกชายก็ยังกลัวเขา
ที่จริงเขาก็พอเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเป็นอย่างไร อย่าว่าแต่ลูกชายเลย เขาเองก็ยังเกลียดตนเองในอดีต
เขาไม่รู้วิธีเข้าหาเด็ก และไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ใดมากเกินไป เพราะตัวเขาอาจบ้าคลั่งขึ้นมาและฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
หลายปีมานี้ หนานกงสือเยวียนมักจะขังตัวเองไว้กับฐานะอันสูงส่ง ไม่ให้ความสนิทสนมกับผู้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่มีเสี่ยวเป่าอยู่ใกล้ ๆ อาการของเขาถึงได้ดีขึ้นมาก ไม่หลงเหลืออาการนอนไม่หลับเลยสักนิด และไม่เคยเป็นเช่นนี้กับลูกชายคนไหน
เพราะมีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง เขาจึงไม่อาจทำตัวเหมือนบิดาทั่วไป
ลูกชายที่เห็นหน้ากันเดือนละครั้งหรือหลายเดือนครั้งทั้งสามคนนี้ แม้พวกเขาจะทั้งกลัวและประหม่า แต่เพราะเสี่ยวเป่า พวกเขาถึงได้ทำเป็นใจกล้ามาอยู่ตรงหน้าเขา
หนานกงสือเยวียนลูบผมนุ่ม ๆ ของลูกสาวตัวน้อย
“ท่านพ่อ?”
เสี่ยวเป่าถูกฝ่ามือแกร่งลูบศีรษะอย่างทะนุถนอมก็เงยหน้าขึ้นมอง “ท่านพ่อกินนี่สิ พวกนี้คือผักของเสี่ยวเป่า!”
นางชี้อาหารหลายจานที่ทำจากผักกาดขาวบนโต๊ะอาหาร
ทุกวันที่นางมารดน้ำผัก นางจะลอบส่งพลังวิญญาณให้แก่พวกมันด้วย ทำให้ผักของนางนอกจากจะอวบอิ่มแล้ว ยังมีขนาดใหญ่มาก
แม้ผักกาดขาวจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ก็โตพอที่จะนำมากินได้
อีกทั้งนางยังปรับแต่งเมล็ดพันธุ์ให้ดีขึ้น ผักกาดขาวในสวนผักเล็ก ๆ ของนางถึงได้ใบสวยและใหญ่กว่าผักที่คนอื่นปลูก
แม้แต่พ่อครัวในห้องเครื่องยังบอกว่าผักกาดขาวของนางเติบโตได้ดี
หนานกงสือเยวียนมองจานที่มีผักกาดขาวเป็นวัตถุดิบสองสามจาน เขาคีบมันขึ้นมาชิม ท่ามกลางแววตาสดใสที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเสี่ยวเป่า
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผักกาดขาวธรรมดา ไม่รู้ว่าเขาอาจจะตาถั่วหรือไม่ แต่สัมผัสได้ว่าผักกาดขาวที่ลูกสาวปลูกนั้นหวานกว่าผักกาดขาวที่เขาเคยกินมาก่อน
โดยเฉพาะผักกาดขาวต้มที่ดูธรรมดา ๆ กลับมีรสหวานและสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงเขาจะเป็นคนประเภทที่ไม่ใส่ใจกับอาหารการกินของตนเท่าไหร่นักกลับต้องยอมรับว่ามันอร่อยจริง ๆ
เสี่ยวเป่าเองก็อดใจไม่ไหวอยากลองชิมบ้างแล้ว ทว่าดวงตากลมโตยังคงจ้องมองท่านพ่อไม่วางตา ใบหน้าจ้ำม่ำเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หนานกงสือเยวียนค่อย ๆ เคี้ยวและกลืนลงไปในที่สุด จากนั้นก็เช็ดปากก่อนจะให้คำตอบที่เจ้าก้อนแป้งรอคอย
“ไม่เลวเลย”
เสี่ยวเป่ายิ้มกว้างทันที และดูเหมือนว่ารอยยิ้มของนางจะมีพลังวิเศษ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกมีความสุขเกินต้านทาน
“ท่านพ่อชอบหรือไม่เจ้าคะ?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวน้อย ๆ อย่างมีความสุข เจ้าของใบหน้าขาวราวหิมะ คิ้วโก่งสวย ดวงตาเรียวงามเงยหน้ามองท่านพ่อพร้อมรอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด นางไม่ได้สงบเสงี่ยมสง่างามเหมือนสตรีทั่วไป แต่น่ารักอ่อนหวานจนทำให้หัวใจคนอ่อนโยนลง
“อืม”
แม้ท่านพ่อจะตอบเพียงคำเดียวห้วน ๆ ทว่าเสี่ยวเป่ากลับกระดิกหางอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อชอบ เช่นนั้นพรุ่งนี้กินอีกนะเจ้าคะ”
พูดจบ เสี่ยวเป่าก็ยัดอาหารอร่อย ๆ ไว้เต็มปาก เท้าเล็ก ๆ แกว่งไปมา ดวงตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
หนานกงสือเยวียนลดสายตาลงมองเด็กเล็ก “เจ้าตรากตรำดูแลมันอย่างดี หากข้ากินมันหมดแล้ว เจ้าจะไม่เสียใจหรือ?”
เสี่ยวเป่าตบหน้าอกเล็กอย่างภาคภูมิใจ “ไม่เป็นไร ท่านพ่อกินแล้วเสี่ยวเป่าค่อยปลูกใหม่ เสี่ยวเป่าจะให้ท่านพ่อทานหมดเลย!”
รอยยิ้มฉายชัดผ่านแววตาของหนานกงสือเยวียน
บทสนทนาของสองพ่อลูกดังเข้าหูสามพี่น้องอย่างแจ่มชัด ซึ่งทั้งสามต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน
หนานกงฉีเฉินนั้นรู้สึกเสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาเล่นกับน้องสาวมาตั้งหลายวัน จนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายคนโปรด แต่น้องสาวกลับบอกว่าจะมอบทุกสิ่งให้เสด็จพ่อโดยไม่คำนึงถึงเขาสักนิด
ใจร้ายเกินไปแล้ว!
ส่วนหนานกงฉีรุ่ยและหนานกงฉีจวินต่างก็รู้สึกอิจฉาทั้งที่ยังเหม่อลอย
อิจฉาที่น้องสาวสามารถเข้ากับเสด็จพ่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันช่างเป็นฝันที่ไม่กล้าฝันสำหรับพวกเขา