บทที่ 7 แย่งความดีความชอบ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 7 แย่งความดีความชอบ

“หมอเทวดามู่ คุณช่วยทำแทนผมทีเถอะครับ เมื่อกี้ผมผิดเองที่ทำตัวหยาบคาย ผมขอร้อง…”

หลี่น่องเอาหัวโขกพื้นอย่างต่อเนื่อง “หมอเทวดามู่ ได้โปรดรีบลงมือเถอะครับ!”

เขารู้ดีแก่ใจว่าหากท่านสามของตระกูลเจียงตายขึ้นมาจริงๆ เขาจะกลายเป็นฆาตกรโดยสมบูรณ์

ทั้งชื่อเสียง โชคลาภและเกียรติยศในอดีตจะหายวับไปในพริบตา

ทุกคนในวอร์ดกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าหลี่น่องจะทำอะไรต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้ามู่เซิ่ง เมื่อเผชิญกับจุดเปลี่ยน ทุกคนต่างพากันตะลึงอย่างถึงขีดสุด

จ้าวหลินมองตาค้าง นี่มันเรื่องกันแน่?

“ผมไม่อยากได้อย่างช่วยคุณหรอกนะ แต่ท่านสามไม่ควรต้องจากไปแบบนี้”

มู่เซิ่งพูดอย่างเฉยเมยเขาเดินไปยังข้างเตียงและจับเข็มเงินไว้

“นี่มันวิธีการฝังเข็มแบบไหนกันเนี่ย?” หลี่น่องตกอยู่ในความมึนงง

เขาไม่เคยเห็นวิธีการใช้เข็มแบบพิเศษนี้มาก่อน

แต่ในขณะนั้น เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก โดยกลัวว่าการรักษาของมู่เซิ่งจะล่าช้า

หลังจากฝังเข็มไปสองสามอัน ท่านสามก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับเสร็จสิ้นความฝันอันยาวนาน ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน?”

“คุณปู่อยู่ในโรงพยาบาลค่ะ มู่เซิ่งเป็นคนทำให้คุณปู่ฟื้นเมื่อครู่นี้เอง”

เจียงหว่านก้าวไปข้างหน้าพลางพูดด้วยสีหน้ามีความสุข

ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่มู่เซิ่งลงมือช่วยเหลือ

เขาเรียนหมอตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?

ดวงตาสวยของเจียงหว่านมองไปที่มู่เซิ่งราวกับว่าค้นหาความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขา

“เขาเนี่ยนะ?” ท่านสามมองมู่เซิ่งด้วยความรังเกียจอย่างถึงที่สุด “นี่จะรักษาฉันไว้ไม่มีประโยชน์หรือ?”

“ใช่ค่ะ พ่อ ต้องขอบคุณลูกเขยของหนูที่ช่วยพ่อเอาไว้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามหมอหลี่ได้เลย”

จ้าวหลินตอบและรีบชี้ไปที่มู่เซิ่ง พลางพูดเพื่อแย่งความดีความชอบไว้เอง ในขณะเดียวกันเธอวางมือลงบนสะโพกและมองไปรอบ ๆ อย่างภาคภูมิใจ

“ฝีมือมู่เซิ่งก็จริง แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย”

เมื่อเห็นการแสดงออกของท่านสาม หลี่น่องก็กลอกตาและเยาะเย้ย “ท่านสามครับ เมื่อกี้ผมแค่ประหม่านิดหน่อย อันที่จริงหลังจากดึงเข็มออก อาการของคุณก็ดีขึ้นมาก แต่จู่ๆ สารตกค้างในร่างกายของท่านมันก็ปะทุขึ้น”

“หลี่น่อง นายหมายความว่ายังไง? การรักษาทั้งหมดได้ผลงั้นเหรอ?” เจียงมู่หลงสงสัย

“ใช่แล้วครับ ผลของการรักษาไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หากปราศจากการคาดเดาของผมและอาจารย์ เขาก็ไม่สามารถรักษาท่านสามได้อย่างแน่นอน”

“ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็แค่พวกฉวยโอกาส! แต่ผม…ผมดูแลเอาใจใส่ ไม่สนศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์”

การแสดงออกบนใบหน้าของหลี่น่องนั้นตื่นเต้น เขาสามารถใช้คำพูดไม่กี่คำเพื่อยกยอตัวเอง

สุดท้ายหลี่น่องชี้ไปที่มู่เซิ่งและพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่อย่างนั้นเขาที่เป็นแค่พ่อบ้านจะรู้จักเรื่องยาได้ยังไงครับ?”

ปากของมู่เซิ่งกระตุก เขาไม่เคยเห็นคนหน้าด้านแบบนี้มาก่อนเลย

ลูกศิษย์ตระกูลเจียงซึ่งตอนนี้ยังตกใจอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพวกเขาถูกมู่เซิ่งหลอกหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้

ใช่แล้ว เขาก็แค่คนไร้ประโยชน์ที่เกาะผู้หญิงกินและได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลเจียง เขาจะรู้จักเรื่องยาได้ยังไง?

ถ้าเขาเข้าใจจริง ๆ เขาคงไม่ถูกไล่ออกจากห้องเพราะไม่มีใบรับรองแพทย์ก่อนหน้านี้หรอก!

“มิน่าล่ะ… ฉันก็หลงคิดว่าแกจะเป็นหมอเทวดาซะอีก!” เจียงมู่หลงตระหนักได้และพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ที่แท้หมอหลิวเป็นคนรักษาหาย แล้วแกมาชุบมือเปิบนี่เอง”

“หึ ไร้ยางอายสิ้นดี!”

ทุกคนตะโกนใส่มู่เซิ่งและดูถูกเขา พวกเขาโกรธมากเพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกไอ้คนกระจอกหลอกไปเมื่อกี้

“นี่ ช่วยมองกันให้ดีก่อนพูดได้ไหม?”

เจียงหว่านโต้กลับ

“ฮ่าๆ ๆ เจียงหว่าน เธอคงไม่คิดหรอกนะว่าสามีกระจอกของเธอจะเป็นคนช่วยชีวิตคุณปู่ไว้จริงๆ เขาน่ะแค่ฉวยโอกาสเท่านั้นเอง!” เจียงมู่หลงหัวเราะด้วยความสะใจ

“คุณปู่ หนูไม่ได้คิดอย่างนั้นนะคะ” เจียงหว่านเริ่มกังวล

ผู้เป็นปู่ตวาด “หุบปาก!เด็กอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร?แกคิดว่าสามีของแกเก่งมากหรือไง?”

“ใช่ เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องยาเลยสักนิด!” หลี่น่องยิ้มกว้าง ชี้ไปที่มู่เซิ่งและถาม “การฝังเข็มของแกเมื่อกี้ดูก็รู้ว่าไม่ได้ใช้วิธีการอะไรเลย ทำไปส่งเดชแบบนั้น ”

“คุณจะมาเข้าใจวิธีฝังเข็มได้ยังไง?”

มู่เซิ่งขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย

ความลับของการฝังเข็มถูกซ่อนอยู่ในตระกูลมู่ มันทั้งเข้าใจยากและลึกซึ้ง แม้แต่หลิวเจี้ยนหัวก้ยังมีโอกาสได้เรียนรู้

“แกบอกว่าฉันไม่เข้าใจ แล้วอาจารย์ของฉันล่ะ?” หลี่น่องกล่าวอย่างโกรธเคือง

“รู้แค่ผิวเผิน”

“หึ ดี หลังจากที่ท่านสามออกจากโรงพยาบาล ฉันกับอาจารย์จะมาตรวจท่านด้วยตัวเอง ฉันจะคอยดูว่าแกจะแสดงต่อไปได้อีกไหม!”

หลี่น่องหยุดเยาะเย้ยไม่ได้

ในสายตาของเขา มู่เซิ่งเคยฉวยโอกาสนี้มาก่อน เมื่ออาจารย์ของเขาทำเสร็จ ชายไร้ประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้าเขาจะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน!

“ผมเองก็อยากเห็นสีหน้าของคุณว่าเป็นยังไงหลังจากที่อาจารย์ของคุณมาถึง” รอยยิ้มที่มีความหมายปรากฏขึ้นที่มุมปากของมู่เซิ่ง

“นี่แกยังดื้ออยู่อีกเหรอ?” เจียงมู่หลงขมวดคิ้ว ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้น “ฉันน่ะเชิญหลินเจี้ยนหัวมาที่นี่ได้ ถ้าแกเก่งมาก ทำไมถึงไม่เชิญเขามาเองล่ะ”

“ฮ่าๆ ๆ พูดไม่ออกล่ะสิ!”

“แกมันไอ้กระจอก อย่ามาแย่งความดีความชอบกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลย!”

ในสายตาของพวกเขา มู่เซิ่งเป็นคนที่ไร้ประโยชน์มากสุด คนประเภทนี้มีสถานะต่ำที่สุดแล้ว พวกเขายังจำเป็นต้องให้เกียรติเขาอีกเหรอ?

“พอได้แล้ว”

เสียงขอท่านสามดังขึ้นและทั้งวอร์ดก็เงียบลงทันที

“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้ดีแก่ใจว่าเป็นความดีความชอบของใคร” คุณปู่พูด “เรื่องหมอเทวดาหลี่ ฉันจะตอบแทนเขาอย่างดี ส่วนเรื่องโครงการการร่วมมือระหว่างเจียงหว่านกับบริษัทมู่หราน ฉันคิดว่าเจียงมู่หลงเหมาะสมมากกว่า เธอให้เขารับผิดชอบแทนก็แล้วกัน แน่นอนว่าตระกูลเจียงจะลืมความเหน็ดเหนื่อยของเธอ… ส่วนตอนนี้…พามู่เซิ่งออกไปให้พ้นหน้าฉันก่อน”

“คุณปู่คะ…”

ร่างกายของเจียงหว่านสั่นเทา ใบหน้าของเธอขาวซีดราวกับกระดาษ

กว่าเธอจะได้รับสัญญาจากบริษัทมู่หราน ต้องถูกบริษัทหลงกุ้ยขู่เข็ญและทนทุกข์กับความยากลำบากนับไม่ถ้วน

แต่ตอนนี้จะให้เจียงหว่านมอบสัญญาให้คนอื่น เธอจะทนได้อย่างไร!

“จะให้ฉันพูดซ้ำอีกเหรอ?” คุณปู่เงยหน้าขึ้น

“คือหนู…”

เจียงหว่านกัดฟันแน่นแต่ไม่กล้าพูดอะไร คุณปู่มีอำนาจสูงสุดในบ้าน และเอธอไม่อาจต้านทานได้เลย

เจียงมู่หลงหันไปมองเจียงหว่านกับมู่เซิ่งด้วยรอยยิ้มมุมปากราวกับจะพูดว่า…เธอได้สัญญามาแล้วมีประโยชน์อะไร? ขยะอย่างแกถูกกำหนดให้ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของฉันตลอดชีวิตอยู่แล้ว

ปัง!

ประตูถูกปิดกระแทกเกือบจะแตะโดนจมูกของมู่เซิ่ง

หลังจากถูกไล่ออกจากวอร์ด จ้าวหลินอดไม่ได้ที่จะชี้ไปยังมู่เซิ่งและด่าว่า “มันเป็นความผิดของแก ไอ้สารเลวไร้ประโยชน์ ถ้าแกเก่งเหมือนคนอื่นเขาบ้าง พวกเราคงไม่ต้องอับอายเหมือนวันนี้หรอก”

“แกจะเอาความดีความชอบมาเป็นของตัวเองทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือแกไม่ใช่เหรอ?แกมันหน้าไม่อายที่สุด”

มู่เซิ่งก้มหน้าและไม่ปฏิเสธใดๆ

เขารู้ว่าเจียงหว่านและยายอารมณ์ไม่ดี ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะเขา ทั้งสองคนคงไม่ถูกไล่ออกจาก ห้องและเจียงหว่านถึงกับต้องเสียสัญญาไป

เจียงหว่านไม่ได้พูดอะไร เธอกลับบ้านในสภาพสิ้นหวัง นั่นทำให้มู่เซิ่งเป็นกังวลเล็กน้อย

“รีบกลับไปที่ห้องแกซะ แกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเจียง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ไม่งั้นธุรกิจครอบครัวเราจะต้องพังลงเพราะแกแน่!” จ้าวหลินกระแทกประตูห้อง เธอรู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ชายคนนี้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

มู่เซิ่งเดินกลับไปที่ห้องคนเดียวอย่างเงียบๆ เมื่อเขากำลังจะเข้านอนหลังจากอาบน้ำ เขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กน้อยในห้องของเจียงหว่านที่ชั้นบน

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง มู่เซิ่งตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาเห็น เจียงหว่านร้องไห้บนหมอนอย่างไม่สามารถควบคุมได้ หัวใจของเขาดูเหมือนจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

นานแค่ไหนแล้ว?

เธอถูกกดดันมานานแค่ไหนแล้ว?

มู่เซิ่งคิดมาเสมอว่าเจียงหว่านเป็นผู้หญิงแข็งแกร่งที่สามารถดูแลตัวเองและบริษัทได้

แต่เขาลืมไปว่าต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่กักเก็บอารมณ์มาเป็นเวลานาน

“ทำไม? ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ เพราะฉันไม่มีที่พึ่งงั้นเหรอ? จะรังแกกันเกินไปไหม ฮือ…”

เจียงหว่านร้องไห้ราวกับกระต่ายน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ

“อยากให้ผมช่วยอะไรไหม?”

หลังจากที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเป็นเวลานาน มู่เซิ่งก็พูดขึ้นในที่สุด

“เข้ามาได้ยังไง ออกไปนะ…”

เจียงหว่านเงยหน้าขึ้น แต่ก็ต้องตกตะลึงในทันใด

ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาของมู่เซิ่งดูสงบ แต่เหมือนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว

ในขณะนั้นเจียงหว่านจำได้ว่ามู่เซิ่งไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อีกต่อไป

“นายจะช่วยอะไรฉันได้ล่ะ?” เจียงหว่านพูดขึ้นโดยไม่คาดหวังอะไร

“เจียงหว่าน ขอแค่คุณต้องการ ผมทำได้ทั้งนั้น!”

เจียงหว่านรู้สึกหลงทางเล็กน้อย มู่เซิ่งตบไหล่ของเธอเบา ๆ แล้วหันออกไป