ตอนที่ 47 ซุบซิบนินทา

ตอนที่ 47 ซุบซิบนินทา

ฉินมู่หลานกลับถึงห้องแล้วก็เริ่มคิดโครงร่างบทความฉบับใหม่ หลังจากวางกรอบเสร็จเรียบร้อยก็พบว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว โชคดีที่เวลาเข้านอนในคืนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่นิดหน่อย หลังจากพลิกตัวไปมาอยู่สักพักก็ผล็อยหลับไปในทันที

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็สะพายตะกร้าสานเอาไว้บนหลังเพื่อเตรียมขึ้นเขา ก่อนจะไปก็ได้ไปเรียกฉินเคอวั่งอีกครั้ง

“พี่ ผมเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ” เขาค้นพบว่าการติดตามพี่สาวไปเก็บสมุนไพรมาขายล้วนทำเงินได้มากกว่าทำงานปกติทั่วไปเสียอีก ตอนนี้เขาจึงคิดเพียงแต่จะเก็บสมุนไพรเพื่อสะสมเงิน

ซูหว่านอี๋ได้ยินว่าลูกสาวอยู่ที่บ้าน จึงรีบออกมาพบเธอ ก่อนจะโบกมือให้เธอแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลาน แม่ขอถามอะไรลูกหน่อยสิ”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงมีท่าทางสงสัย “อะไรหรือคะ?”

“มู่หลาน น้องสามีของลูกแต่งงานแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ แต่งเรียบร้อยแล้ว แต่งกับคนในเมือง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของซูหว่านอี๋ก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “เอ๊ะ…แต่งแล้วจริงเหรอ แต่ไม่เห็นจัดงานแต่งเลย”

“ไม่ได้มีพิธีงานแต่งค่ะ พอดีที่บ้านไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงานครั้งนี้”

“เป็นอย่างนี้เองสินะ”

ซูหว่านอี๋ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เมื่อนึกถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน จึงพูดเรื่องนี้กับลูกสาวอีกครั้ง “ล่าสุดมีข่าวลือว่าน้องสาวสามีของลูกทำตัวไม่ค่อยเหมาะสม พูดจาหรือก็ไม่ค่อยเข้าหู”

ฉินมู่หลานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลังจากนั้นจึงเอ่ยเล่าเรื่องเซี่ยเจ๋อน่าขึ้นอีกครั้ง

“แท้จริงแล้วปัญหาเป็นที่ตัวหล่อนเอง เป็นเพราะไม่อยากแต่งงานกับชาวชนบทด้วยกัน จึงได้หนีไปกับคนอื่น แล้วอยู่ ๆ ก็พาคนที่จะแต่งงานด้วยกลับมา ซึ่งทางฝั่งพ่อแม่สามีของหนูเองก็เป็นฝ่ายผิดด้วยเหมือนกัน หากรู้ความคิดอ่านของลูกสาวตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ โชคดีที่ทางฝั่งตระกูลเหอค่อนข้างใจดีจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะไม่อย่างนั้นคงมาเอาเรื่องถึงหน้าประตูบ้านแล้ว”

ซูหว่านอี๋พยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว หากเป็นคนทั่วไปคงมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้านแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลเซี่ยจะพานพบเจอแต่มิตรสหายที่ดี แต่น่าเสียดายที่น้องสาวสามีของลูกดันเลือกไปแต่งงานกับชายหนุ่มในเมือง นอกจากนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปเจอคน ๆ นั้นได้อย่างไร”

เมื่อเอ่ยจบ ซูหว่านอี๋ก็ก็เหมือนจะอึ้งงันไปนิดหน่อย พลางเอ่ยพึมพำ “คนในเมืองก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปนะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงหันมองซูหว่านอี๋ด้วยแววตานึกสงสัย

นอกจากนี้ซูหว่านอี๋ก็เหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน จึงยกยิ้มให้ลูกทั้งสองพลางเอ่ย “เอาเถอะ พวกลูกไปขึ้นเขากันเถอะ”

หลังจากเห็นว่าลูกชายได้รับรายได้มาห้าหยวน หล่อนจึงตั้งตารอให้เขาขึ้นเขาไปกับลูกสาวด้วยกัน

แต่พวกฉินมู่หลานยังไม่ทันจะได้ออกเดินทาง หวังจาวตี้กับซ่งอวี้เฟิ่งเองก็เข้ามาสทบ

“มู่หลาน พวกเธอจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเหรอ พวกเราขอไปด้วยได้ไหม”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นทันที “ถ้าพวกพี่อยากไปก็ไปได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตฉันหรอกค่ะ”

เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้วก็พาฉินเคอวั่งออกเดินทาง

หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปทันที

ซูหว่านอี๋เห็นว่าทั้งสองคนนั้นไปด้วย จึงขมวดคิ้วไม่พอใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นไปบนเขาต้าชิงซานได้ทั้งนั้น พวกเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานพาฉินเคอวั่งไปตรงที่ที่เคยเก็บสมุนไพรก่อนหน้านี้

ฉินเคอวั่งรู้จักสมุนไพรหลายชนิดแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้พี่สาวบอกก็เริ่มเก็บเองได้

ส่วนหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งพากันเดินตามหลังฉินมู่หลาน หวังคอยมองดูว่าเธอเก็บสมุนไพรอะไรบ้าง เพื่อพวกหล่อนเองจะได้เก็บตามบ้าง

อย่างไรก็ตาม ฉินมู่หลานไม่ได้เก็บสมุนไพรอะไรเลย เพียงแค่เดินสำรวจเล่นไปตามภูเขา หวังจาวตี้จึงทนไม่ไหว พลางเอ่ยขึ้น “มู่หลาน ฉันเห็นว่าเคอวั่งเริ่มเก็บแล้ว ทำไมเธอยังไม่เริ่มอีกเล่า”

หลัวงจากได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง “ตรงนี้ไม่มีสมุนไพรอะไรให้เก็บหรอกค่ะ”

แต่ถึงอย่างนั้น หวังจาวตี้ก็ไม่ยอมเชื่อ

“มู่หลาน เธอไม่อยากบอกพวกเราใช่ไหม”

ถึงแม้ว่าซ่งอวี้เฟิ่งจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่จากสายตาที่มองมาก็พอจะรู้ความหมายได้

“ถ้าพวกพี่ไม่เชื่อ งั้นก็ไปเก็บเอง”

“เธอ…”

ตอนแรกหวังจาวตี้คิดว่าตนจะหาเงินของวันนี้ได้แล้ว ไม่คาดคิดว่าฉินมู่หลานจะไม่ยอมพาพวกหล่อนไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็หาวิธีอื่นได้เช่นกัน

“เหอะ…”

หวังจาวตี้แค่นเสียงเยือกเย็น ก่อนจะหยุดเดินตามฉินมู่หลาน แล้วไปหาฉินเคอวั่งที่อยู่ทางด้านนั้น ถึงอย่างไร ฉินเคอวั่งเองก็รู้จักหน้าตาสมุนไพรเหมือนกัน หากติดตามเขาก็ย่อมได้เหมือนกัน

ฉินมู่หลานเห็นดังนั้น ก่อนจะสำรวจวนไป ตามที่เธอบอกก็ไม่ได้ผิด เพราะตรงนี้ไม่มีสมุนไพรอะไรให้เลือกเก็บจริงๆ “เคอวั่ง พี่จะไปดูข้างหน้านะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเข้ามาด้วยหรือเปล่า วันนี้จึงหาสมุนไพรที่ดีไม่ค่อยได้นัก ฉินมู่หลานและฉินเคอวั่งจึงไม่ได้สมุนไพรอะไรเลย ไม่ต้องพูดถึงทางฝั่งหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่ง หลังจากนั้น กลุ่มคนก็ต้องลงจากเขา

หวังจาวตี้มองตะกร้าสานของตัวเองที่ว่างเปล่า รู้สึกเกลียดชังอยู่ในใจ

“มู่หลาน เธอไม่อยากพาพวกเราไปด้วย วันนี้ก็เลยไม่ได้เลือกเก็บสมุนไพรใช่ไหม ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะ”

ไม่ทันที่ฉินมู่หลานจะได้เอ่ยพูด ฉินนแคอวั่งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นก่อน “พี่สะใภ้ พี่สาวผมจะไม่อยากเก็บสมุนไพรได้ยังไง วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มาเดินครั้งนี้กลับไม่เจอสมุนไพรอะไรเลย ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้มีคนไปด้วยเยอะเกินไปหรือเปล่า”

เขาทราบอยู่ในใจว่าคงเป็นเพราะวันนี้มีหวังจาวตี้กับซ่งอวี้เฟิ่งเสียมากกว่า จึงทำให้โชคของสองคนพี่น้องเสื่อมลง

หวังจาวตี้ได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกไม่อยากเชื่อ “จะเป็นได้อย่างไร”

แต่พูดมากไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ หากไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มี

เมื่อซุนฮุ่ยหงทราบเรื่อง จึงตบหน้าลูกสะใภ้ทั้งสอง วันนี้หล่อนอุตส่าห์ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่บ้านเพื่อที่จะได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหาเงิน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย

ฉินมู่หลานและฉินเคอวั่งพูดคุยกัน เป็นเพราะได้สมุนไพรกลับมาที่บ้านเพียงเล็กน้อย หากรู้ตั้งแต่แรกว่าไม่มีสมุนไพรให้เก็บ คงอยู่บ้านเขียนบทความเสียดีกว่า

ฉินเคอวั่งเห็นว่าพี่สาวกำลังจะไป จึงรีบทักท้วง “พี่ ไม่อยู่กินข้าวที่บ้านเหรอ”

“ไม่ล่ะ พี่จะกลับแล้ว”

ไม่รู้ว่าเมื่อวานตอนเย็นกินมากเกินไปหรือเปล่า เธอจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าใด

เมื่อฉินมู่หลานกลับถึงบ้าน เธอก็หาอะไรกินแบบง่าย ๆ หลังจากนั้นก็กลับเข้าห้องไปเพื่อเขียนบทความ

แต่หลังจากเขียนเสร็จเรียบร้อย ก็พบว่าว่าบ้านเงียบเหงามาก เหยาจิ้งจือยังไม่ได้ทำอาหารเย็น ปกติในเวลานี้ กับข้าวก็ควรจะใกล้เสร็จแล้ว

ในขณะนี้ หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เพิ่งกลับมาถึง หลังจากทราบเรื่อง หล่อนก็หันมองแล้วเอ่ยกับฉินมู่หลาน “มู่หลาน เดี๋ยวฉันไปดูที่ห้องพ่อกับแม่ก่อนนะ”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นฉันไปเข้าครัวก่อนนะคะ”

ไม่นานนักหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็กลับมา เมื่อหล่อนเข้ามาถึงห้องครัว ก็รีบช่วยกันทำอาหาร ก่อนจะกดเสียงต่ำพูดคุยกับฉินมู่หลาน “แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย ก็เลยนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอาหาร แต่ช่างเถอะ ฉันว่าแม่ดูไม่ค่อยมีความสุขเลย พอฉันลองถาม ก็ได้รู้ว่าคนในหมู่บ้านกำลังนินทาเรื่องน้องสามีของพวกเราอยู่”

ตอนนี้หล่อนต้องไปทำงานทุกวัน จึงไม่ทราบเลยว่าข่าวลือได้แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน

นอกจากนี้ฉินมู่หลานเองก็เพิ่งทราบวันนี้ “วันนี้เหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ ฉันเองก็ทราบข่าวอยู่บ้าง ไม่คิดว่าแม่เองก็ได้ยินเหมือนกัน”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “พวกเขาลือกันว่ายังไงบ้างเหรอ?”

ฉินมู่หลานตอบกลับเพียงไม่กี่คำเท่านั้น จากนั้นจึงเอ่ย “พวกเรารีบทำอาหารกันดีกว่าค่ะ”

“ได้ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่นานนัก หล่อนก็ลังเลที่จะหันไปพูดกับฉินมู่หลาน หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความลังเลใจ “มู่หลาน พรุ่งนี้…เธอเข้าเมืองไหม?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ก็มันไม่มีให้เก็บ แล้วจะไปว่าเขากั๊กได้ยังไงเล่าพวกเธอสองคนนี้นี่

ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั่วหมู่บ้านเลย

ไหหม่า(海馬)