บทที่ 34 ความผิดของตู้เสี่ยวเหอ

วันส่งท้ายปีเก่า

ถังหลี่ยื่นซองอั่งเปาสีแดงให้เด็กน้อยทั้งสี่คน

“สวัสดีปีใหม่..เด็ก ๆ ขอให้พวกเจ้าสุขภาพแข็งแรงและเติบโตไว ๆ”

เด็กทั้งสี่รับอั่งเปามาอย่างมีความสุข

“ขอบคุณขอรับท่านแม่”

“ขอบคุณท่านแม่~”

“ขอบคุณท่านแม่!”

เสียงน่าเอ็นดูทั้งสามดังขึ้นที่ละคน เหล่าก้อนแป้งน้อยยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาไม่เคยได้รับอั่งเปาในวันปีใหม่มาก่อนเลย!

“ขอบคุณท่านพี่ ชีวิตของพวกเราจะดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน!” สวี่เจวี๋ยกล่าว ตั้งแต่บิดาเสียไป เด็กชายคิดว่าตัวเองจะต้องเร่ร่อนไปตลอดชีวิตเสียแล้ว เขาไม่คาดหวังว่าจะได้มีครอบครัวอีกครั้ง เด็กน้อยชอบบ้านหลังนี้และครอบครัวนี้มาก เขาแทบจะเร่งวันเร่งคืนให้ตนเองเติบโตขึ้นไว ๆ เพื่อจะได้ปกป้องครอบครัว และทำให้บ้านหลังนี้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น!

สวี่เจวี๋ยเคยเข้าเรียนที่สำนักศึกษา ทำให้เขาพูดจาได้อย่างฉะฉาน และประโยคนั้นก็พุ่งเข้าชนหัวใจของถังหลี่

“ใช่แล้ว ครอบครัวของเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และพวกลูก ๆ ก็จะเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี”

ครอบครัวทั้งหกคนใช้เวลาในช่วงวันเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข

หลังจากผ่านพ้นช่วงปีใหม่แล้ว โรงงานผลิตถุงหอมของถังหลี่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ห้องทั้งหมดถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องหนึ่งเต็มไปด้วยยาสมุนไพร ส่วนอีกห้องเต็มไปด้วยม้วนผ้าและอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย

ที่ลานหน้าบ้าน ถังหลี่ ฮูหยินซู หมอซู สาวปักผ้าทั้งห้าและหลันฮวา มีชีวิตชีวาอย่างมาก และในฐานะหัวหน้างาน ถังหลี่จึงได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้ร่วมงานของนาง

“พวกเราทุกคนมาจากหมู่บ้านเดียวกันและมีความรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ของพวกเราจะแตกต่างไปจากเดิม วันนี้พวกเราคือครอบครัว และเราจะสร้างโรงงานถุงหอมนี้ให้สำเร็จไปด้วยกัน!”

“และเมื่อกิจการของเราดีขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงเวลานั้นพวกเราทุกคนจะจะมีเนื้อสัตว์กินได้ตามต้องการทุก ๆ วัน!”

“กินเนื้อสัตว์ได้ทุกวันหรือ ?!”

นี่มันช่างยั่วยวนเกินไปแล้ว เนื้อสัตว์เป็นของฟุ่มเฟือยมาก เดิมทีพวกเขาจะได้กินก็ยามเทศกาลเท่านั้น แต่หากได้กินเนื้อทุกวันจะต้องมีเงินมากขนาดไหนกันนะ?

“ตราบใดที่ทุกคนทุ่มเททำงานให้หนักราวกับเชือกที่ฟั่นเป็นเส้นเดียวกัน ตราบนั้นก็จะเกิดผลสำเร็จอย่างแน่นอน!”

เสียงของถังหลี่ดังก้องกังวานเปี่ยมไปด้วยพลัง ฟังแล้วปลุกเร้าให้ในใจของผู้คนรู้สึกฮึกเหิม หญิงสาวที่ยืนฟังต่างพากันตื่นเต้นกับคำพูดของถังหลี่เป็นอย่างยิ่ง

“แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อน ถ้าหากมีผู้ใดตุกติกคิดเล่นกล กินแรงและขี้เกียจในการทำงาน ฉุดให้เราย่ำอยู่กับที่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ใบหน้าของถังหลี่เย็นชาขึ้น นางทั้งปลุกปลอบและกล่าววาจาเข้มงวดไปพร้อมกัน เพื่อไม่ให้คนงานเห็นว่าเงินนั้นเป็นของที่หามาได้ง่าย ท่าทางที่เย็นชาทำให้หญิงสาวดูน่าหวั่นเกรงไม่น้อย

“พวกเราจะตั้งใจทำงานเจ้าค่ะ !”

“ตราบใดที่มีเนื้อให้กิน เราจะขยันตั้งใจ!”

คำพูดของถังหลี่ ราวกับไปกระตุ้นความกระตือรือร้นและจิตวิญญานแห่งการต่อสู้ของหญิงสาวทุกคน …

นี่เท่ากับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี!

ฮูหยินซูและหมอซูคือเสาหลักที่สำคัญของโรงงานผลิตถุงหอมแห่งนี้ ฮูหยินซูรับผิดชอบเรื่องงานปัก ส่วนหมอซูมีหน้าที่จัดเตรียมยาสมุนไพร เนื่องจากงานเตรียมยาเป็นงานที่ละเอียดพิถีพิถัน และต้องเก็บเป็นความลับ ในตอนนี้นางก็ยังไม่พบคนงานที่เหมาะสมและไว้ใจได้ หมอซูจึงขอให้ถังหลี่ทำด้วยตนเองไปก่อน หมอซูและภรรยาจำต้องนอนเฝ้าโรงงานถุงหอมเอง เพราะยังหาคนที่ไว้ใจไม่ได้ …

อันที่จริงแล้ว หมอซูมีความคิดลึก ๆ อยู่ในใจของเขา นั่นคือ.. ถ้าตนได้อยู่ในโรงงานถุงหอมด้วยล่ะก็ เขาจะได้เห็นภรรยามากขึ้น แต่ด้วยอายุที่มากแล้ว เขาเขินอายเกินว่าจะบอกความคิดเล็ก ๆ ที่น่าละอายนี้ให้ภรรยาได้ล่วงรู้…

……

หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ถังหลี่ได้จ่ายค่าตอบแทนของวันนั้นให้แก่หญิงปักผ้าทั้งห้าคน ซึ่งแต่ละคนปักงานได้สำเร็จไปหนึ่งชิ้น ดังนั้นทุกคนจึงได้รับเงินคนละหนึ่งร้อยอีแปะ ผู้หญิงทุกคนต่างกำเงินหนึ่งร้อยอีแปะเอาไว้แน่น ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความสุขจนล้นปรี่ ภรรยาของเว่ยฉิงคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งตัวจริง

หญิงปักผ้าต่างพากันทยอยเดินจากไปอย่างมีความสุข เมื่อคิดถึงวันพรุ่งนี้แล้วพวกนางต้องขยันทำงานให้มากขึ้น

หลันฮวาเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวทำความสะอาดห้องจนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว นางทำงานเป็นช่างฝึกหัดเท่านั้น หญิงสาวต้องเรียนรู้อีกมากนัก

“หลันฮวา นี่ของเจ้า”

ถังหลี่ยัดเงินห้าสิบอีแปะไว้ในมือของหลันฮวา เด็กสาวตกตะลึงกับเงินจำนวนนี้ นางส่ายหัวและพยายามเอาเงินคืนให้ถังหลี่

“อ่าาา อ่าาา”

“นี่เป็นค่าจ้างหนึ่งวันของเจ้า เจ้าปักงานได้ครึ่งหนึ่ง และเมื่อปักถุงหอมเสร็จแล้ว ข้าจะให้ค่าแรงที่เหลือแก่เจ้า” หลันฮวาพยายามยัดเงินกลับไปให้ถังหลี่

“หลันฮวา นี่เงินของเจ้า เจ้าอยากทำงานกับข้าไหม?”

“อ่าาา!” หลันฮวาส่ายหัวมากขึ้น

“หลันฮวา นี่คือเงินที่เจ้าหามาได้ เจ้าทำได้ดีแล้วนี่คือรางวัลของเจ้า หากเจ้าทำไม่ได้ข้าก็ไม่ให้เงินเจ้าหรอก … เอาเงินนี่ไปให้ยายของเจ้าสิ… นางจะได้ภูมิใจ”

ถังหลี่ตบไหล่หลันฮวา หญิงสาวจึงตัดสินในรับเงินห้าสิบอีแปะไว้ ดวงตาของนางแดงก่ำน้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ร้องไห้ทำไม ทำงานให้หนักขึ้นเถิด อนาคตจะได้มีเงินมากกว่านี้อีก ตายายของเจ้าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีก เจ้าจะได้เลี้ยงดูพวกเขาได้”

ตาของนางอายุมากแล้วทำงานได้น้อยลงทุกวัน ส่วนยายเองก็ต้องเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างซักผ้าได้ค่าแรงแค่สองสามอีแปะ เงินน้อยนิดจึงพอซื้อได้แค่หมั่นโถวเนื้อหยาบเพียงสองสามลูกเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกเสียใจ ตนเองเป็นใบ้แถมยังไร้ความมั่นใจ ไม่สามารถช่วยอะไรได้

หลันฮวากำเงินห้าสิบอีแปะไว้แน่น นางหาเงินได้จริง ๆ หรือนี่!.. ต่อไปนางจะทำงานให้หนักมากขึ้น เพื่อเลี้ยงดูตากับยาย และจะไม่ทำให้ถังหลี่ผิดหวังในตัวของนางอย่างแน่นอน !

………

ในระหว่างทางที่หลันฮวาเดินกลับบ้านนั่นเอง นางบังเอิญเดินชนเข้ากับคนผู้หนึ่งจนล้มลงกับพื้น อีกทั้งยังถูกเตะเข้าที่หน้าท้องอีกด้วย

“นังโง่! ตาบอดหรือ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!”

สองคนนั้นคือตู้เสี่ยวเหอและหลี่เที่ยมู่ หลังจากที่ขายบ้านให้ถังหลี่ไปแล้ว พวกเขามาเฝ้าดูทุกวันเพื่อรอให้ถังหลี่พบกับโชคไม่ดี แต่ผลลัพธ์ที่เห็นคือนางยังอยู่ดีมีสุขอีกทั้งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตู้เสี่ยวเหอโกรธมาก บ้านที่อยู่แล้วเจริญรุ่งเรืองแบบนี้กลับถูกขายไปในราคาแค่ยี่สิบตำลึงเท่านั้นเอง นางรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ นางต้องการเอาบ้านคืน

หลันฮวาถูกเตะอย่างแรงจนเจ็บปวด นางเหลือบมองตู้เสี่ยวเหออย่างหวาดกลัว ตู้เสี่ยวเหอไม่ถูกกันกับกับยายของหลันฮวา พวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำ แต่เสี่ยวเหอไม่เคยเอาชนะยายของนางได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงชอบรังแกหลันฮวายามที่ยายของนางไม่อยู่ หลันฮวาเป็นใบ้ พูดไม่ได้ พอถูกทำร้ายก็ไม่มีทางสู้

“นังโง่ แกถืออะไรอยู่ในมือ?” ตู้เสี่ยวเหอเห็นหลันฮวากำบางอย่างอยู่ในมือ ดังนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปจะฉวยดู หลันฮวาหดมือกลับ เสี่ยวเหอยื้อแย่ง พอเห็นเป็นแผ่นทองแดง ดวงตาของตู้เสี่ยวเหอเบิกกว้างขึ้น

“เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน! นังเด็กนี่ เอามาให้ข้านะ!” หลันฮวากำมันแน่น นางยอมตายเสียดีกว่า

“อ่า!!!” เด็กสาวส่งเสียงคำรามราวกับว่าลำคอจะระเบิดให้ได้

ตู้เสี่ยวเหอไม่รู้ว่าหญิงใบ้ผู้นี้ไปเอาพละกำลังมาจากไหน ทำให้นางไม่สามารถแย่งเงินมาได้ หลี่เที่ยมู่จึงเข้ามาใช้กำลังกับหลันฮวาเช่นกัน คนทั้งคู่ต่างพากันแย่งเงินของหญิงใบ้อย่างไร้ยางอาย ถังหลี่ที่ได้ยินเสียงคำรามของหลันฮวา นางรีบถลันออกมาดูก่อนที่จะตะโกนอย่างสุดเสียง

“ขโมย!!! ขโมย!!!!”

ทันทีที่นางตะโกนออกมา เพื่อนบ้านและผู้คนที่ผ่านไปมาทั้งหมดมองไปที่ตู้เสี่ยวเหอทันที ทำให้นางอับอายต่อสายตาที่จับจ้องมา ตู้เสี่ยวเหอปล่อยหลันฮวาอย่างรวดเร็ว

“ขโมยเงินอะไร? ข้าแค่หยอกล้อกับนังใบ้เท่านั้นเอง!” ตู้เสี่ยวเหอมองไปที่ถังหลี่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“บ้านเว่ย กิจการของพวกเจ้าเฟื่องฟูนักหรือ ? ” หลังจากที่พูดจบ พวกเขาก็เดินเข้ามาในลานบ้านของถังหลี่อย่างไม่เกรงใจ และมองไปรอบ ๆ ราวกับว่ากำลังเดินอยู่บ้านของตัวเอง

“ดูสิ บ้านของข้าอยู่แล้วดีใช่ไหมเล่า ? ดูรั้วนี่สิ ลานบ้านก็กว้างมาก โอ้…นี่เจ้าทำเนื้อตากแห้งด้วยหรือ? ”

ตู้เสี่ยวเหอพูด และฉวยหยิบเนื้อตากแห้งไว้ในมือ

“บ้านของข้าดีมาก เจ้าไม่ละอายหรือที่จ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้เพียงแค่ยี่สิบตำลึงเท่านั้น อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนซื่อสัตย์อยู่แล้ว ข้าไม่ยึดบ้านคืนจากเจ้าหรอก เพียงแต่.. เจ้าจ่ายเงินเพิ่มให้ข้าอีกสามสิบตำลึงดีไหม?”

ถังหลี่ไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย

นางขู่กรรโชกข้าหรือ?!

“หากเจ้าไม่ให้ล่ะก็ ข้ากับเที่ยมู่ก็จะมาอาศัยอยู่ที่นี่!”

ตู้เสี่ยวเหอผลักประตูเข้าไป ในนั้นมีเครื่องเรือนครบถ้วน เนื่องจากถังหลี่ได้ตระเตรียมไว้ให้หมอซูอยู่กับภรรยาของเขา ตู้เสี่ยวเหอมองไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตาของนางเป็นประกายแแวววาว นางรีบเรียกเที่ยมู่มาและพูดว่า

“ท่านพี่ ดูบ้านหลังนี้สิ เราสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันเถิด !”

————————–