บทที่ 29 บดขยี้สังหารปราณก่อกำเนิดขั้นห้า ระดับเปลี่ยนวิญญาณของลัทธิมาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 29 บดขยี้สังหารปราณก่อกำเนิดขั้นห้า ระดับเปลี่ยนวิญญาณของลัทธิมาร
เมื่อปราศจากโอสถช่วยเสริม หานเจวี๋ยได้แต่ฝืนทนมุมานะฝึกฝนต่อ

ถึงแม้เป็นเช่นนี้ เขาก็เข้าใกล้ปราณก่อกำเนิดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

สองปีต่อมา

รากวิญญาณวารีบรรลุระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าในที่สุด หานเจวี๋ยจึงเริ่มฝึกฝนรากวิญญาณพฤกษา

แถวอักขระพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

[ยินดีด้วย ท่านมีอายุครบหนึ่งร้อยปี เปิดฟังก์ชันแบบจำลองการทดสอบ]

[แบบจำลองการทดสอบ: ท่านสามารถตั้งค่าตบะและระดับพลังของฝ่ายตรงข้าม แล้วจำลองการต่อสู้ นอกจากนี้ยังตรวจสอบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีร้อยลี้ คัดลอกพลังของมันและต่อสู้ด้วยได้ ผลลัพธ์ของการต่อสู้จะไม่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและร่างกายในความเป็นจริง ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการต่อสู้]

แบบจำลองการทดสอบ?

ทั้งยังตรวจสอบสิ่งมีชีวิตในรัศมีร้อยลี้ได้ด้วย?

หานเจวี๋ยอึ้งไป ต่อจากนั้นก็ตื่นเต้นยินดี

นี่มันทักษะขั้นเทพเลยนี่!

ตลอดมาหานเจวี๋ยไม่รู้ชัดว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน ในที่สุดก็ทดสอบดูได้แล้ว

เขารีบเปิดแบบจำลองการทดสอบ และต้องหลับตาอย่างควบคุมไม่ได้

เขาเข้ามาในพื้นที่มืดมิดแห่งหนึ่ง

[ท่านสามารถเลือกบุคคลในค่าความสัมพันธ์มาเป็นต้นแบบพลังของคู่ต่อสู้]

หานเจวี๋ยเลือกหลี่ชิงจื่ออย่างรวดเร็ว

เขาอยากดูว่าพลังของเขากับเจ้าสำนักห่างชั้นกันแค่ไหน

ไม่นานนัก หลี่ชิงจื่อก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา หลี่ชิงจื่อผู้นี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก ลักษณะเหมือนหุ่นเชิดมาก

เริ่มการต่อสู้!

หลี่ชิงจื่อนำบรรทัดสีทองออกมา ก่อนโจมตีไปทางหานเจวี๋ยทันใด

หานเจวี๋ยเรียกกระบี่กิเลนออกมา เท้าก็เหยียบย่างก้าวลวงตาเจ็ดชั้นทิ้งระยะห่างจากหลี่ชิงจื่อ

เขาแสดงวิชาสามกระบี่แยกเงาอย่างว่องไว เงากระบี่สามเงาปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งไปสังหารหลี่ชิงจื่อ

หลี่ชิงจื่อโบกบรรทัดทองด้วยความเร็วสูง โจมตีเงากระบี่จนแตกกระจาย แล้วจึงไล่สังหารหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยยกมือปล่อยตราประทับเก้ามังกรขจัดมารออกไป พลังวิญญาณหกสายเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ตราประทับมากมายพุ่งเข้าใส่หลี่ชิงจื่อ

เดิมทีหลี่ชิงจื่อยังสามารถทำลายตราประทับเก้ามังกรขจัดมารให้แตกสลายได้ แต่ไม่นานก็ถูกตราประทับโจมตีกระเด็นออกไป

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

ดูท่าตราประทับเก้ามังกรขจัดมารของเขาจะแข็งแกร่งมาก!

มิน่าถึงกำราบจิตดั้งเดิมของผู้อาวุโสสูงสุดได้

ทว่าตราประทับเก้ามังกรขจัดมารไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้หลี่ชิงจื่อ ฝ่ายตรงข้ามโจมตีมาอีกครั้งแล้ว

หานเจวี๋ยก็ไม่รีบร้อน สามารถกวนใจหลี่ชิงจื่อได้ เขาก็พอใจมากแล้ว

การต่อสู้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาสิบนาที หานเจวี๋ยตกเป็นเบี้ยล่าง

กายทองเทียนกังของหลี่ชิงจื่อแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง วิชาเวทโจมตีโดนร่างแล้วไม่เกิดความเสียหายเด่นชัดอะไร

ทว่า!

หานเจวี๋ยพบว่าหากใช้กระบี่กิเลนแสดงวิชาสามกระบี่แยกเงา พลังสังหารจะแก่กล้ายิ่งขึ้น สามารถทำลายการป้องกันของกายทองเทียนกังของหลี่ชิงจื่อ เลือดสาดกระเซ็น ณ ตรงนั้น

สมกับเป็นกระบี่เวทชั้นเลิศ!

แต่ก็แค่ทำลายการป้องกันเท่านั้น ไม่อาจโจมตีให้พ่ายแพ้ได้

เขาปรับตบะของหลี่ชิงจื่อให้ต่ำลง

ปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด!

ยังสู้ไม่ได้!

ปราณก่อกำเนิดขั้นหก!

เสมอกัน!

ปราณก่อกำเนิดขั้นห้า!

บดขยี้สังหาร!

หานเจวี๋ยกระตุ้นกระบี่กิเลน สำแดงวิชาสามกระบี่แยกเงา เงากระบี่สามสายพลันฉีกกายเนื้อของหลี่ชิงจื่อแหลกเป็นชิ้น

ไม่เลว ไม่เลว!

‘ข้ามขั้นไปสังหารปราณก่อกำเนิดขั้นห้า คู่ควรกับวิชายุทธ์ คุณสมบัติ วิชากระบี่ และกระบี่เวทชั้นเลิศของข้า!’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ในใจ

จากนั้นเขาก็ปรับตบะของหลี่ชิงจื่อลงไปที่รวมแก่นปราณขั้นเก้า และได้รู้ว่าพลังวิญญาณของตนเองเหนือกว่าหลี่ชิงจื่อ

ความแข็งแกร่งของวัฏจักรหกวิถีสะท้อนให้เห็นว่า การฝึกฝนรากวิญญาณหกสายทำให้พลังวิญญาณของหานเจวี๋ยมากมายมหาศาล ไม่ต้องใช้กระบี่กิเลน เขาก็สังหารหลี่ชิงจื่อที่อยู่ระดับเดียวกันได้โดยตรง

จิตสำนึกของเขากลับมาสู่โลกความจริง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา

‘ตอนนี้ข้าสังหารยอดฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้าได้ รอข้าทะลวงถึงปราณก่อกำเนิดแล้ว ไม่เท่ากับว่าจะงัดข้อกับระดับเปลี่ยนวิญญาณได้หรือ’

หานเจวี๋ยคิดอย่างตื่นเต้น ก่อนจะส่ายหน้าทันที

พลังของระดับเปลี่ยนวิญญาณต้องห่างชั้นกับระดับปราณก่อกำเนิดราวฟ้ากับดินแน่ ตนเองจะคิดดีเกินไปไม่ได้ จะได้ไม่ล้มเหลวกลางคัน

‘ข้าต้องคิดแบบนี้ ข้าสู้ระดับเปลี่ยนวิญญาณไม่ได้แน่นอน เช่นนี้ถึงจะระมัดระวังรอบคอบ’

หานเจวี๋ยแสดงละครจิตวิทยากับตัวเองเงียบๆ

เหลือเพียงแค่รากวิญญาณพฤกษาและพสุธาแล้ว

หานเจวี๋ยมีอารมณ์ฮึกเหิม คิดว่าจะฝึกฝนรากวิญญาณทั้งสองสายให้ถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าภายในสิบปี!

ยิ่งมีรากวิญญาณถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้ามาก ความเร็วในการฝึกรากวิญญาณที่เหลือก็จะมากขึ้นตาม สิบปีก็เพียงพอที่เขาจะฝึกฝนรากวิญญาณทั้งสองสายให้บรรลุระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าแล้ว!

……

สิบปีผ่านไปรวดเร็วยิ่ง

หานเจวี๋ยไม่ได้ออกจากถ้ำเทวาเลยแม้แต่ครึ่งก้าว ดูเหมือนจะฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา

เขาประสบความสำเร็จในการฝึกฝนรากวิญญาณทั้งหกสายจนบรรลุระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า ต่อไปก็เริ่มทะลวงขั้นสมบูรณ์

หานเจวี๋ยตื่นเต้นดีใจเมื่อพบว่าตนเองดูดซับพลังวิญญาณหกสายพร้อมกันได้

เมื่อก่อนทำไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แล้ว!

หรือว่าระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าจะเป็นเงื่อนไขหนึ่ง?

หานเจวี๋ยค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตนเองสามารถดูดซับพลังวิญญาณหกสายพร้อมกัน การฝึกบำเพ็ญของเขาก็ไม่นับว่าช้าเกินไป สรุปคือเร็วยิ่งกว่าเมื่อก่อน

เป็นเรื่องดี!

หานเจวี๋ยฝึกฝนต่อด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

ครึ่งปีต่อมา รากวิญญาณทั้งหกสายของเขาไปถึงตบะระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าโดยสมบูรณ์

สามารถฝึกบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดได้แล้ว!

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้หย่อนหยาน เริ่มเตรียมพร้อมฝ่าด่านเคราะห์ทันที!

เขตอาคมถูกเปิด มันปกคลุมถ้ำเทวาฟ้าประทานเอาไว้ทั้งหมด!

……

ณ ยอดเขาหลัก สำนักหยกพิสุทธิ์

ภายในตำหนัก

หลี่ชิงจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของทั้งสิบแปดยอดเขามารวมตัวกัน นอกจากพวกเขาแล้วยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคน

คนทั้งหมดมีสีหน้าตึงเครียด

เซียนเฒ่าเต้าเหลยจากยอดเขาอัสนีสวรรค์มีสีหน้าไม่น่ามองยิ่งนัก เขากัดฟันถาม “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ”

หลี่ชิงจื่อทอดถอนใจ กล่าวว่า “จริงแท้แน่นอน เมื่อเดือนก่อนต้วนทงเทียนเพิ่งฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จ กำลังทำตบะให้มั่นคง ตอนนี้เขาเป็นผู้ทรงพลังระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว!”

เปลี่ยนวิญญาณ!

ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี ราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับไว้จนหายใจไม่ออก

แม้แต่เซียนซีเสวียนก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก

“ท่านอาจารย์เล่า ไม่ใช่ว่าท่านฝึกจิตดั้งเดิมออกจากร่างแล้วหรือ เข้าใกล้ระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้วใช่หรือไม่” นักพรตเต๋าจิ้งซวีรีบถามขึ้นมา

หลี่ชิงจื่อถอนหายใจเอ่ย “ไม่ได้เป็นเช่นนั้น จิตดั้งเดิมของท่านเป็นแค่พลังวิเศษชนิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้น ท่านจะเจอการโจมตีบางอย่าง หลายสิบปีก่อนจึงละทิ้งพลังวิเศษนั้นไป ตอนนี้ยังคงมุมานะฝึกฝน แม้จะเป็นระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเก้าแล้ว แต่ยังอยู่ห่างจากระดับเปลี่ยนวิญญาณเสมือนมีกำแพงที่ไม่อาจข้ามได้”

ตำหนักใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน อึดอัดหาที่เปรียบมิได้

ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามอย่างอดไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไร ขอกำลังสนับสนุนหรือ”

หลี่ชิงจื่อถอนใจกล่าว “ข้าส่งสารขอกำลังเสริมจากสำนักสายหลักต่างๆ แล้ว ยามนี้ยังไม่มีใครตอบกลับมา”

บรรดาผู้อาวุโสพากันวิพากษ์วิจารณ์

“ระดับเปลี่ยนวิญญาณหรือ ตาเฒ่าอย่างพวกเรารวมตัวกันก็ไม่แน่ว่าจะสู้ได้!”

“นอกจากลัทธิมารฟ้ามืดจะมีต้วนทงเทียนแล้ว ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดก็มีไม่น้อย”

“เฮ้อ ลัทธิมารที่โหดเหี้ยมกลับมีระดับเปลี่ยนวิญญาณโผล่มาคนหนึ่ง ในที่สุดเคราะห์ใหญ่ของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็มาถึงอยู่ดี”

“ต่อกรซึ่งหน้าเอาชนะไม่ได้แน่นอน หรือว่าพวกเราจะหนี”

“หนีอย่างไร หนีไปที่ใด รากฐานหลายร้อยปีไม่เอาแล้วหรือ”

เหล่าผู้อาวุโสแย่งกันพูด น้ำเสียงของแต่ละคนล้วนไม่น่าฟัง

เผชิญกับเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ ไม่มีใครสงบใจพูดได้อีก

หลี่ชิงจื่อทอดถอนใจ สีหน้าเปี่ยมด้วยความกลัดกลุ้ม

……

เหง่ง…

เสียงระฆังบนยอดเขาหยกวิเวกดังขึ้นมา ศิษย์ทั้งหมดมารวมตัวกันหน้าประตูใหญ่ของตำหนักหยกวิเวก

หลังจากเข้าไปในตำหนัก บรรดาศิษย์นั่งลงบนเบาะรองนั่ง

เซียนซีเสวียนกวาดสายตาดูทีหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เจ้าเด็กหานเจวี๋ยนั่นไม่มาอีกแล้ว

ช่างเถอะ

ศิษย์ทั้งหมดมองไปทางเซียนซีเสวียน ไม่ได้รู้สึกกังวล และไม่ได้เฝ้ารอคอยด้วย

พวกเขาคิดว่าการทดสอบของสำนักฝ่ายในใกล้จะมาถึงแล้ว

“จากข่าวกรองล่าสุด ต้วนทงเทียนเจ้าลัทธิมารฟ้ามืดทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างมากสุดอีกหลายปี ลัทธิมารฟ้ามืดจะบุกสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา”

ขณะที่เซียนซีเสวียนกล่าวคำเหล่านี้ ท่าทีเฉยเมยเป็นอย่างยิ่ง

ศิษย์ทั้งหลายอึ้งตะลึง ก่อนจะส่งเสียงกันอลหม่าน

“ระดับเปลี่ยนวิญญาณ!”

“เป็นไปได้อย่างไร!”

“สำนักหยกพิสุทธิ์เรามีระดับเปลี่ยนวิญญาณหรือไม่”

“มีที่ไหนกัน ระดับเปลี่ยนวิญญาณคือตำนานเชียวนะ!”

“แย่แล้ว…มิน่าช่วงนี้คนของลัทธิมารฟ้ามืดถึงอาละวาดหนักขึ้นเรื่อยๆ”

……………………………………….