พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 37 หาสามีให้น้องสาว
หนานกงลู่ซิ่วที่อยู่ในน้ำใช้แรงกำลังทั้งหมดไปจนหมดนานแล้ว ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างหนักอึ้ง ในน้ำเหมือนมีบางอย่างกำลังดึงนางลงไปอย่างสุดชีวิต ร่างกายค่อยๆจมลงไปจากไหล่จนถึงคอทีละนิด ใกล้จะจมหายไปแล้ว
จ้านเป่ยเซียวชำเลืองมองครู่หนึ่ง: “เจ้าอยากให้มีคนตายหรืออย่างไร?”
เฟิ่งชิงหัวคาดสายคาดเอวที่อยู่ในมือให้เรียบร้อย ถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า: “ทำไมท่านอ๋องถึงคิดเช่นนี้ล่ะ นี่คือน้องสาวของข้านะ ข้าจะใจร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ข้าช่วยนางอย่างสุดชีวิตขนาดนั้นแม้แต่แขนก็แหว่งจนเจ็บไปหมด แต่ตัวน้องสาวจับสายคาดเอวไม่ได้เองข้าจะทำอะไรได้ ข้ารีบไปหาคนมาช่วยดีกว่า”
ขณะที่พูดไปเฟิ่งชิงหัวก็ยืนอยู่ข้างสะพานสองมือล้อมเอาไว้ข้างปากแล้วตะโกนเสียงดัง: “ช่วยด้วย มีคนตกน้ำ ช่วยด้วย”
เดิมทีหนานกงจี๋ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ได้ยินเสียงนี้ก็นึกว่าท่านอ๋องเจ็ดตกน้ำโดยสัญชาตญาณ รีบเรียกข้ารับใช้สองคนมากระโดดลงน้ำไปช่วยคน
เพียงแต่ว่าในตอนที่สองคนนั้นกระโดดเข้าไปคิดจะช้อนตัวคนขึ้นมา หนานกงจี๋ก็เห็นเฟิ่งชิงหัวที่กำลังมองมาทางน้ำรวมถึงท่านอ๋องเจ็ดที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
บนใบหน้าของหนานกงจี๋แฝงความละเอียดอ่อนเล็กน้อย ในสมองยังไม่ทันตอบสนองกลับมา ปากก็ตะโกนออกมาแล้ว: “ปล่อยมือ ไม่ต้องช่วยแล้ว รีบปล่อยคนไปซะ!”
แต่เฟิ่งชิงหัวยังดันกล่าวออกมาอย่างเหมือนกับไม่ทันได้สังเกต: “ท่านพ่อ น้องสาวสามตกน้ำ ทำไมท่านถึงได้ให้ผู้ชายกระโดดลงน้ำไปช่วยคนเช่นนี้เลยล่ะ ดูท่าทางน้องสาวสามคงได้แต่แต่งงานกับหนึ่งในข้ารับใช้สองคนนี้แล้ว”
ข้ารับใช้สองคนนั้นได้ยิน ก็ดึงแขนของหนานกงลู่ซิ่วเอาไว้คนละข้างแล้วลากตัวคนขึ้นฝั่งทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดงเลือดฝาด
หนานกงจี๋กัดฟันกรามหลังจนเสียงดังกึก แต่จ้านเป่ยเซียวดันอยู่ด้วยจะระเบิดความโกรธก็ทำไม่ได้
ในตอนที่หนานกงลู่ซิ่วถูกลากตัวขึ้นมาถึงฝั่งเสื้อผ้าก็เปียกไปหมดแล้ว ผ้าโปร่งที่สวมใส่กึ่งโปร่งใสไปแล้ว เสื้อผ้าบนร่างกายแนบติดไปตามส่วนโค้ง คนหมดสติไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปกล่าวด้วยสีหน้ากังวล: “ท่านพ่อ น้องสาวสามสำลักน้ำแล้ว รีบหาคนมาปฐมพยาบาลด่วนเลยสิ พวกเจ้าสองคน ยังไม่รีบผายปอดให้คุณหนูสามอีก อีกเดี๋ยวหากคนเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน!”
“หยุดนะ!” หนานกงจี๋กลัวว่าข้ารับใช้สองคนนั้นจะกระทำการบุ่มบ่าม เดินเข้าไปอย่างเร็ว คว้าเท้าของหนานกงลู่ซิ่วเอาไว้ยกคว่ำขึ้นมา แล้วเขย่าขึ้นลง
หนานกงลู่ซิ่วคายน้ำที่อยู่ในท้องออกมาจากปาก ถึงกับคายปลาตัวยาวเท่านิ้วมือออกมาหนึ่งตัว
หนานกงลู่ซิ่วไอเสียงดังออกมา หนานกงจี๋ถึงได้ปล่อยนางไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีเวลามาสนใจว่าตอนนี้นางได้รับความตกใจหรือไม่ กล่าวตำหนิออกมาโดยตรง: “ทำไมเจ้าถึงตกลงในน้ำได้ ต่อหน้าท่านอ๋องกับพระชายา ดูเหมือนอะไรกัน!”
มือข้างหนึ่งของหนานกงลู่ซิ่วกุมหน้าอกเอาไว้อีกข้างก็เช็ดคราบน้ำที่อยู่บนใบหน้าร้องไห้สะอื้นขึ้นมา เครื่องสำอางบนใบหน้ายับเยินไม่เป็นท่า กระดำกระด่างอยู่บนใบหน้า ยิ่งเช็ดก็ยิ่งน่าเกลียด
ผมที่จัดแต่งเอาไว้อย่างดีในตอนแรกยุ่งเหยิงไปไม่ว่า ข้างบนยังมีโคลนสีเขียวดำติดอยู่ไม่น้อย เข้าไปดมใกล้ๆยังได้กลิ่นเหม็นคาวอีกด้วย
“เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีก!” หนานกงจี๋กล่าวอย่างมืดมน
หนานกงลู่ซิ่วตกใจกับเสียงพูดนี้ หยุดร้องไห้ในทันที จากนั้นก็ชี้ไปทางเฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่บนสะพาน กล่าวด้วยเสียงเกลียดชัง: “คือพี่สาวรอง พี่สาวรองเป็นคนผลักข้าลงไปในน้ำ นางรู้อยู่แท้ๆว่าข้าว่ายน้ำไม่เป็น เห็นข้ากำลังจะตายก็ยังไม่ช่วย ท่านพ่อ นางอยากจะให้ข้าตายชัดๆ!”
ในใจของหนานกงจี๋ย่อมมีความสงสัยเช่นนี้รู้อยู่แล้ว ได้ยินคำพูดนี้ก็ย่อมต้องมองไปทางเฟิ่งชิงหัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว: “ทำไมเจ้าต้องทำร้ายน้องสาวเจ้าด้วย? ใจของเจ้ามันโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยหรือ?”
ตอนนี้ในใจของหนานกงจี๋อดที่จะรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยไม่ได้ บางทีตอนนั้นก็ไม่ควรจะให้นางแทนที่เข้าไปตั้งแต่แรก ผู้หญิงคนนี้ ควบคุมยากเกินไปจริงๆ
จ้านเป่ยเซียวเห็นว่าหนานกงจี๋ฟังความข้างเดียวก็ตัดสินความผิดให้กับพระชายาของตัวเองแล้ว มองไปด้วยดวงตาเย็นชา กำลังจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงอดกลั้นเสียงสะอื้นดังมาจากด้านข้าง
กลับเห็นหญิงสาวที่เมื่อครู่นี้ยังชมการแสดงอยู่ใช้แขนเสื้อบังหน้าของตัวเองเอาไว้ ก้มหน้าลงแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความน้อยใจไร้ที่เปรียบ: “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงฟังแต่คำพูดของน้องสาวสามล่ะ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนอยากจะพาท่านอ๋องไปเดินเล่นในสวน อยากจะให้ข้าแยกออกไปชัดๆ ข้าก็แค่จะทำตามความต้องการของนางกะว่าจะกลับเข้าไปในห้อง ใครจะรู้ว่าจู่ๆทำไมนางถึงตกลงไปได้ ไม่ว่าข้าจะดึงอย่างไรก็ดึงเอาไว้ไม่อยู่ ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่เชื่อท่านสามารถถามท่านอ๋องได้”
พูดไป เฟิ่งชิงหัวก็มองไปทางจ้านเป่ยเซียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขา
หนานกงจี๋มองไปที่ลูกสาวคนเล็กที่ตกลงไปในน้ำจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วมองไปที่เฟิ่งชิงหัวด้วยความสงสัย ตกลงใครกำลังพูดโกหกกันแน่?
ความจริงใครเป็นคนพูดโกหกล้วนไม่สำคัญทั้งนั้น ขอเพียงท่านอ๋องเจ็ดพูดอะไรออก ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
จ้านเป่ยเซียวกวาดตามองสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายตรงหน้าครู่หนึ่ง เกี่ยวริมฝีปากแล้วกล่าวว่า: “ได้ยินมาว่าเฉินเซี่ยงโปรดปรานลูกสาวคนรองคนนี้มาตลอด วันนี้ได้เห็น”
คำพูดด้านหลัง ชายหนุ่มไม่ได้พูดออกมา แต่แผ่นหลังของหนานกงจี๋กลับแข็งทื่อขึ้นมาในทันใด จากนั้นก็เข้าใจในทันที
ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าตนเองจะมีจิตใจต่อต้านที่มีต่อเฟิ่งชิงหัวจะแข็งกร้าวเกินไปหน่อย จากนั้นก็กล่าวว่า: “เยว่ลั่วย่อมเป็นลูกสาวที่ข้ารักและเอ็นดูมากที่สุดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้นางออกเรือนไปแล้ว กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว ข้าที่เป็นพ่อคนนี้ ย่อมไม่สามารถตามใจนางได้อีก เมื่อครู่นี้ใช้คำพูดที่เฉือนคมเล็กน้อยก็เป็นเพราะเป็นห่วงว่านิสัยเช่นนี้ของนางเข้าไปในจวนอ๋องแล้วจะสร้างปัญหาให้กับท่านอ๋อง”
จ้านเป่ยเซียวปัดฝุ่นบนแขนเสื้อที่ไม่ได้มีอยู่จริง กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ: “เฉินเซี่ยงจำได้ก็ดีแล้ว ในเมื่อตอนนี้นางเป็นคนของข้า คนอื่นก็ไม่สามารถมาข่มเหงรังแกได้ ถึงแม้จะข่มเหงรังแกคนอื่น นั่นก็ถือว่าเป็นเกียรติของคนคนนั้น”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย มองไปทางคนอยู่บนเก้าอี้เข็นคนนั้น ใบหน้าของคนคนนั้นสวมหน้ากากเอาไว้ ดูไม่ออกว่าจริงใจมากแค่ไหน
“ใช่ๆๆ” หนานกงจี๋รีบร้อนตอบรับ มองไปทางหนานกงลู่ซิ่วที่ยังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น ส่งสัญญาณอย่างเฉียบขาด: “ยังมีหน้ามาร้องไห้อีก ยังไม่รีบขอโทษท่านอ๋องกับพระชายาอีก ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นเจ้าทำไมถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้ ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก!”
หนานกงลู่ซิ่วกล่าวขึ้นมาอย่างน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม: “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงคิดถึงแต่เพียงพี่สาวใหญ่ เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้คนที่ตกน้ำคือข้าแท้ๆ”
หน้าผากของหนานกงจี๋กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย: “เลิกพูดเรื่องไร้สาระ รับไสหัวกลับไป คัดลอกบัญญัติเตือนหญิงหนึ่งร้อยรอบ”
หนานกงลู่ซิ่วลุกขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ จ้องไปทางเฟิ่งชิงหัวอย่างดุดันครู่หนึ่ง ใช้สายตาส่งสัญญาณว่า: แค้นนี้ ช้าเร็วข้าจะต้องล้างแค้นแน่!”
เฟิ่งชิงหัวเห็นดังนั้นก็เกี่ยวมุมปากยิ้มขึ้นมา: “หยุดนะ!”
หนานกงลู่ซิ่วหันหน้ากลับมาด้วยความโกรธ: “เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”
“ท่านพ่อ เรื่องมันยังไม่จบนะ จะให้น้องสาวสามกลับไปได้อย่างไร?”
ตอนนี้หนานกงจี๋เข้าใจหลักเหตุผลที่ว่าการเชิญเทพมาบ้านนั้นง่ายแต่การส่งออกไปนั้นยากอย่างสุดซึ้งแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าเฟิ่งชิงหัวจะเล่นลูกไม้อะไร กล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์: “เยว่ลั่ว น้องสาวของเจ้าอายุยังน้อย ล้อเล่นไปครู่หนึ่งก็แล้วไปเถอะ ข้าให้นางขอโทษเจ้าแล้วกัน”
หนานกงลู่ซิ่วกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง: “ข้าไม่ผิด เหตุใดต้องให้ข้าขอโทษด้วย! หากต้องขอโทษก็ควรเป็นนางที่ขอโทษข้า!”
ขอโทษผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอด นางไม่สามารถทำเรื่องที่น่าละอายขนาดนั้นได้หรอก
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ลามไปถึงขั้นการขอโทษที่มันร้ายแรงขนาดนั้นได้อย่างไร ข้าก็แค่รู้สึกว่า จวนเฉิงเซี่ยงเป็นวงศ์ตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมอันดีงาม ตอนนี้น้องสาวสามตกน้ำถูกชายที่เป็นคนนอกช่วยเหลือ แล้วก็ถูกเห็นร่างกายหมดแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการกระทบต่อชื่อเสียงของจวนเฉิงเซี่ยงและน้องสาวสาม ข้ากับท่านอ๋องตัดสินใจจะเลือกลูกเขยจากหนึ่งในสองคนนี้ให้กับน้องสาวสาม ท่านพ่อคิดเห็นอย่างไร?”