บทพิเศษ (1)

หญิงสาวจอมเหม่อลอยกับหญิงสาวผู้ร่าเริง

 

“เฮ้ เฮ้ เฮ้!”

เสียงเสียงหนึ่งดังเข้าสู่โสตประสาทของอีกคนหนึ่ง ในสถานที่แห่งหนึ่ง… สถานที่แห่งนี้มองไปทางไหนก็มีแต่ภาพที่หม่นๆ

เป็นสีเทาทุกอย่างในระยะสายตา.. แนวคิดเรื่องกาลเวลา สถานที่ ทุกอย่างๆ ที่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยคนธรรมดาล้วนเลือนรางในสถานที่แห่งนี้

จะบอกว่าเหมือนกับความว่างเปล่าแรกเริ่มก็ไม่แปลกเท่าไหร่นัก แต่ถึงแบบนั้นในที่ห่างออกไปในพื้นที่สีเทาจะมีจุดแสงเหมือนแสงจากดวงดาวอยู่ประปรายไปหมด

มันมากกว่าจำนวนที่จะประเมินได้.. หากนิยามของคำว่าไร้ที่สิ้นสุดคือจำนวนที่เยอะที่สุดในทุกๆ อย่างแล้ว

แสงเหล่านั้นก็คงจะเป็นจุดที่ว่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่าที่แห่งนี้แม้แต่แนวคิดเรื่องเช่นนั้นก็ไม่ดำรงอยู่

และเพราะแสงจากพวกนั้นเลยทำให้ที่แห่งนี้ไม่หม่นสนิท… สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่หม่นสีเทาไปรอบด้าน

ท่ามกลางความเวิ้งว้างนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเหม่อลอยอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวคนนี้มีรูปร่างที่เลือนรางอย่างมาก

เอาเข้าจริงเพราะความเลือนรางของเธอเลยทำให้ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ราวกับว่าแม้แต่ตัวตนของเธอเองก็ยังเลือนรางมีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริงพร้อมกัน

ส่วนเสียงอีกเสียงคือเสียงจากหญิงสาวอีกคนที่มีสภาพเลือนรางไม่ต่างจากคนที่เหม่อลอยเลยแม้แต่น้อย

“เธอไหวหรือเปล่า? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าน่ะ?”

“อะ..อืม..?”

หญิงสาวที่ยืนเหม่อ.. ขอเรียกเธอว่าหญิงสาวจอมเหม่อลอยแล้วกัน หญิงสาวจอมเหม่อลอยตื่นจากอาการเหม่อด้วยเสียงเรียกของหญิงสาวอีกคน

หญิงสาวอีกคนนั้นที่เป็นคนแรกนั้นฟังจากน้ำเสียงที่ดูร่าเริงของเธอแล้ว เธอน่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนลี่สนิทกับคนอื่นง่าย

ดังนั้นจึงขอเรียกเธอว่า หญิงสาวผู้ร่าเริงก็แล้วกัน… หญิงสาวจอมเหม่อลอยที่ถูกคนแปลกหน้าปลุกขึ้นมาเธอก็ได้แต่มองไปยังหญิงสาวผู้ร่าเริงซึ่งปลุกเธอ

“ที่นี่คือ….?ไม่สิ เธอเป็นใคร?”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยยังจับทิศทางของสถานการณ์ไม่ค่อยได้ แต่พอมานึกดูดีๆ ก่อนจะถามว่าอีกฝ่ายเป็นใครหรือที่นี่คือที่ไหน

จะว่าไปแล้ว..

“เดี๋ยวก่อน แล้วฉันเป็นใคร?”

หญิงสาวถามคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือความทรงจำที่ผ่านมาเธอแทบจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

แต่ทว่าเหมือนเธอจะยังมีความคิดที่สามารถคิดวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้ นี่มันน่าพิศวงจนเกินไป

แน่นอนว่าคนที่พึ่งปรากฏขึ้นก็คือหญิงสาวจอมเหม่อลอย ส่วนหญิงสาวผู้ร่าเริงเธอเหมือนจะดำรงอยู่ในที่แห่งนี้ก่อนนานแล้ว..

หญิงสาวผู้ร่าเริงค่อยๆ ตอบคำถามของหญิงสาวจอมเหอมลอยพอที่จะทำได้

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหนนะ.. แต่ฉันเรียกมันว่า ‘ปฐมภูมิ’ น่ะแล้วก็ฉันคือผู้อาศัยอยู่ที่นี่นั่นแหละนะ”

“ส่วนถ้าจะให้ฉันตอบว่าเธอเป็นใครก็เถอะ คงตอบให้ไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

หญิงสาวผู้ร่าเริงตอบด้วยความเป็นกันเอง เธอยิ้มให้กับหญิงสาวจอมเหม่อลอย เมื่อหญิงสาวจอมเหม่อลอยได้ฟังเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่ว่ามันก็แค่ความไม่เข้าใจเท่านั้น เพราะเดิมทีเธอก็ไม่มีความทรงจำจากเรื่องที่ผ่านมาเลย ดังนั้นความไม่เข้าใจของเธอจึงไม่ใช่ ‘มีที่แบบนี้ด้วยเหรอ’

‘ที่แห่งนี้มีไว้ทำอะไร’ , ‘ทำไมเธอถึงเกิดมา ฉันถึงเกิดมา ทำไมถึงเป็นปฐมภูมิ’ หรือ ‘ทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้’

เพราะความเข้าใจของหญิงสาวจอมเหม่อลอยก็คือ ‘มันคงจะเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า เพราะเธอเองก็ไม่ใช่คนแรกที่เกิดขึ้นมา’ นั่นเอง

กล่าวคือเธอแค่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพียงเท่านั้นเอง

“เธออยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ?”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยถามด้วยความสงสัย

“ก็ใช่สิ ตอนแรกฉันนึกว่าฉันเป็นสิ่งเดียวที่พูดได้หรือคิดได้ด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเธอถึงได้โล่งอกขึ้นมา อย่างน้อยที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีแค่ฉันละนะ”

“เธอไม่เหงาเหรอ?”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยสงสัยเลยถามออกไป ทำให้หญิงสาวผู้ร่าเริงได้แต่มองหญิงสาวจอมเหม่อลอยด้วยความงุนงง

พอเห็นสายตางุนงงของหญิงสาวผู้ร่าเริง หญิงสาวจอมเหม่อลอยจึงเริ่มทบทวนคำพูดตัวเองว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป..

ไม่สิ.. จุดผิดมันก็คือ ‘เหงา’ เหงาคืออะไร..?เพราะเดิมทีที่แห่งนี้ก็มีแค่คนเดียวแต่แรกเป็นอย่างเดียวที่มีอยู่

แม้แต่แนวคิดของคำว่าโดดเดี่ยวยังไม่มีอยู่เพราะ.. เธอเป็นคนเดียวแต่แรกนั่นเอง.. แน่นอนว่าหญิงสาวจอมเหม่อลอยที่ตระหนักว่าตัวเองพูดอะไรแปลกๆ ไป

เพราะเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหงาคืออะไร หญิงสาวจอมเหม่อลอยจงได้แต่ขมวดคิ้วทบทวนกับคำพูดของตัวเอง

“เธอหมายความว่าไง ‘เหงา’ คืออะไรเหรอ?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงถามขึ้นด้วยความสงสัย เอาเข้าจริงฟังจากน้ำเสียงเธอคงรู้ว่าเธอไม่เคยพบเจอกับความเหงาอย่างแน่นอน

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน… ฉันจำอะไรไม่ได้เลย?”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยกล่าวด้วยความสับสนเล็กน้อย แต่หญิงสาวผู้ร่าเริงก็หัวเราะกับท่าทางตกใจของเธอ

“จำอะไรไม่ได้เหรอ.. ฉันว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ น่าจะเป็นเพราะว่าเธอพึ่งเกิดมาต่างหากไม่ใช่เหรอ?”

“พึ่งเกิด..?”

“ใช่ ฉันตอนเกิดขึ้นมาก็เหมือนเธอนั่นแหละ ต่างกันที่ฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำแต่เธอเหมือนจะไม่มีอะไรเลย ดีจังน้า ไม่ต้องทำอะไรเนี่ย”

“หมายความว่ายังไง?”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยได้แต่งุนงงกับสิ่งที่หญิงสาวผู้ร่าเริงพูด ส่วนหญิงสาวผู้ร่าเริงเองก็ได้แต่ตัดพ้ออย่างอิจฉา

“ฉันมีหน้าที่ต้องเดินไปเรื่อยๆ น่ะ”

“หือ หมายความว่าไง?”

“ถึงจะถามแบบนั้นก็เถอะนะ แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำนี่น่า แล้วฉันก็ทำมาตลอดด้วย แต่เธอเหมือนจะไม่ต้องทำสินะ”

“ทำไมถึงรู้ว่าฉันไม่ต้องทำล่ะ”

“ก็ถ้าเธอต้องทำเธอคงไม่ถามหรอกใช่ไหมล่ะว่าตัวเองคือใคร.. เพราะฉันไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าฉันเป็นใคร สาเหตุนั้นก็ง่ายมาก เพราะว่าฉันเป็นคนที่จะเดินต่อไปน่ะ”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวผู้ร่าเริงบอกเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็พอจะเข้าใจว่าหญิงสาวผู้ร่าเริงต้องเดิน

ถึงจะไม่เข้าใจวาทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หรือทำไมต้องเกิดมาเพื่อเดินอย่างเดียวเลยสักนิดก็ตาม

“ไม่เหนื่อยเหรอ?”

“เหนื่อย..?เหนื่อยทำไมล่ะ เดิมทีที่นี่ไม่มีระยะทางด้วยซ้ำน่ะนะ”

“อ่าว แล้วเดินเรื่อยๆ มันจะมีความหมายอะไรล่ะ”

“มีสิ.. ก็เพราะว่าฉันต้องเดินไงล่ะ นั่นแหละคือความหมายของมันน่ะ”

“อืม.. ฟังดูซับซ้อนจัง”

หญิงสาวจอมเหม่อลอยยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม พอเห็นหญิงสาวจอมเหม่อลอยงุนงง

หญิงสาวผู้ร่าเริงก็อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“คุยกับเธอแล้วรู้สึกประหลาดจัง ฮ่า”

“ฉันก็พึ่งเคยคุยกับคนประหลาดแบบเธอเป็นครั้งแรกนี่แหละ”

“อะไรกัน.. ฉันก็ครั้งแรกเหมือนกันนั่นแหละ เป็นครั้งแรกที่แปลกชะมัดเลยนะ ว่าไหม?”

“นั่นสินะ.. ก็แปลกกันทั้งคู่นี่น่า”

ไม่รู้ว่าเพราะเป็นอัธยาศัยของหญิงสาวผู้ร่าเริงที่ดี หรือเพราะหญิงสาวจอมเหม่อลอยที่ถนัดตอบกลับอยู่แล้ว.. ไม่ก็เพราะทั้งสองคนเหมือนกันอย่างกับแกะ

แต่ไม่ว่าจะแบบไหนทั้งคู่ก็ดูมีเคมีที่เข้ากันอย่างเห็นได้ชัดทำให้พวกเธอกลายเป็นเพื่อนกันได้อย่างรวดเร็ว เอาเข้าจริงพวกเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนคืออะไร

“เอาแบบนี้ ฉันจะเดินเป็นเพื่อนเธอเอง เธอจะได้ไม่เหงา”

“หือ จะดีเหรอ เธออุตส่าห์ไม่ต้องทำอะไรไม่ใช่เหรอ? … แต่จะว่าไปแล้วไอ้คำว่าเหงานั่นคืออะไรเหรอนั่นน่ะ”

“ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าฉันจะเดินไปพร้อมกับเธอเอง”

“อืมมมมม เข้าใจแล้ว งั้นก็ไปกันเถอะ”

“อืม!”

ในโลกที่มีเพียงแค่คนสองคน มองไปทางไหนก็มีเพียงสีเทาหม่นที่ไร้จุดสิ้นสุด ไม่ว่าจะออกเท้าไปกี่ก้าวทุกอย่างในมุมมองก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป

ราวกับว่าพวกเธอกำลังเดินอยู่กับที่.. แต่ถึงแบบนั้น ทั้งสองคนก็ยังคงเดินต่อไป.. เดินไปยังทิศทางมที่ไม่มีปลายทางหรือแม้แต่ทิศทางตั้งแต่แรก

มือของหญิงสาวทั้งสองจับมือกันไว้..

พวกเธอ.. จะเดินแบบนี้ต่อไป

เดินไปเรื่อยๆ…

ตลอดกาล..

หากคำว่าเดินไปไม่มีกระทั่งจุดสิ้นสุด

มันยังดูน้อยไปด้วยซ้ำหากให้เทียบกับการเดินเท้าของคนทั้งสอง

หญิงสาวจอมเหม่อลอยและหญิงสาวผู้ร่าเริง

นี่ต่างหาก……

…..ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริง

ซึ่งจะนำไปสู่ความยุ่งเหยิงที่สุด—

จุดเริ่มต้นที่แท้จริง