ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 43 พาเจ้าไปฆ่าคน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 43 พาเจ้าไปฆ่าคน

ดวงดาราเต็มฟ้า

เมืองธารหลาก ตำหนักทะเลสาบกระบี่

นี่เป็นเมืองกลางทะเลสาบ ตำหนักทะเลสาบกระบี่เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมตั้งอยู่ที่นี่ เขาศักดิ์สิทธิ์ยักษ์ทั้งลูกสูงเสียดเมฆ ตัวภูเขาถูกค่ายกลเล็กๆ พิสดารมากมายดันขึ้น ลอยขึ้นมาเหนือทะเลสาบใหญ่ธารหลาก ศิษย์แกนหลักตำหนักทะเลสาบกระบี่ฝึกบำเพ็ญบนเขานี้ ไอวิญญาณทั้งทะเลสาบธารหลากหนาแน่น ห้องส่วนตัวของศิษย์ถูกค่ายกลแยกออก ในมือถือป้ายคำสั่ง สามารถไปยังถ้ำลอยฟ้าที่สร้างตรงก้นทะเลสาบได้ตลอดเวลา

ตะเกียงแขวนอยู่ สายลมยามราตรีพัดผ่าน แสงอ่อนวูบไหว

ประชากรเมืองธารหลากใต้ภูเขาพลันได้ยินเสียงดังสนั่น

ทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์โคลงเคลง

“ได้ยินชื่อเสียงของตำหนักทะเลสาบกระบี่มานาน สวีจั้งแห่งเขาสู่ซานมาเยี่ยมเยือน!”

เสียงเหมือนระฆังดัง เมื่อสิ้นเสียง ร่างเงาเลือนรางกระเด็นออกไปกระแทกกับประตูภูเขายามราตรี คนนั้นถูกสวีจั้งถีบขึ้นเขาไปทีละครั้ง สุดท้ายหิ้วคอมาฟาดกับประตูตำหนักทองสัมฤทธิ์อย่างไม่เกรงใจ ทุบจนประตูหนักสองบานพังทลาย ตัวคนเป็นตายอย่างไรไม่รู้

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่กำลังปิดด่านบำเพ็ญขมวดคิ้ว ทะเลสาบวิญญาณเกิดคลื่นกระเพื่อมทันที เห็นสองร่างเงายืนนอกประตูสำนักตนกลางยามราตรี

สวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน

แล้วก็…เด็กหนุ่มที่ดูอายุเพียงสิบหกปี

ผู้บำเพ็ญใหญ่ระดับดาราชะตาหลายคนเปิดด่านบำเพ็ญออกมา ถึงหน้าประตูสำนักในทันที

“สวีจั้ง…เจ้าจะเอาอย่างไร” ผู้บำเพ็ญใหญ่ที่เพิ่งจุดดาราชะตาคนหนึ่งจ้องสวีจั้งพลางพูดอย่างเย็นชา “ตอนนั้นสังหารตำหนักทะเลสาบกระบี่ไปสิบเอ็ดชีวิต ตอนนี้ยังบุกมาสำนัก คิดจะฉีกหน้าเขาสู่ซานกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ให้ถึงที่สุดเลยรึ”

“ตำหนักทะเลสาบกระบี่ยังมีหนังหน้าให้พูดได้อีกหรือ”

สวีจั้งยิ้ม ถามอย่างไม่สนใจใยดี “หลังจากเจ้าหรุยตาย ในเมืองหลวงคืนนั้นพวกเจ้าส่งคนมาฆ่าข้ากี่คน พวกเจ้าปิดล้อมเผยหมินอย่างไร”

ผู้บำเพ็ญใหญ่ที่เพิ่งจุดดาราชะตามีสีหน้าปั้นยาก เขาเอ่ยมาทีละคำ “นั่นเป็นแค้นเก่าเมื่อสิบปีก่อน หรือเจ้าจะมาสะสางในวันนี้กัน”

“วิญญูชนล้างแค้นสิบปีก็ไม่สาย” สวีจั้งถอนหายใจ ก่อนจะส่ายหน้า “หรือเจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้กัน แน่นอน…เลยสิบปีไปแล้วก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่วิญญูชน ข้าจะล้างแค้น ไม่สนหรอกว่าจะผ่านไปนานเท่าไร

สิบปีมานี้ ตำหนักทะเลสาบกระบี่พวกเจ้าล่าข้าจากแดนประจิมถึงแดนบูรพา ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นับเจ้าหรุยกับเผยหมิน แค่บัญชีแค้นที่หัวข้า พวกเจ้าจะชดใช้อย่างไร”

บุรุษยิ้ม เขาพูดเย้าหยอกเสียงเบา “ไม่เรียกเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่พวกเจ้าออกมาล่ะ ให้ข้าเห็นหน่อยว่าสุนัขแก่นั่นถูกเผยหมินทุบตีตอนนั้นอยู่ในสภาพใด รับข้าได้สักสองกระบวนท่าหรือไม่”

“สามหาว!”

“ไร้มารยาท!”

ลำแสงสองสายพุ่งเข้ามา สวีจั้งใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้ใช้พินิจเหมันต์ เพียงแค่ชนซ้ายชนขวา ร่างเงาผู้บำเพ็ญที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วสองคนทยอยกันชนกับไหล่ของสวีจั้ง วินาทีต่อมาก็กระแทกกับประตูสำนักด้วยความเร็วที่มากกว่า

‘ตึง’ ‘ตึง’ เสียงดังสองครั้ง

หนิงอี้หน้าซีดขาว ใจนึกสวีเดิมทีก็เหี้ยมโหดอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ใช้อาวุธ ก็ยังเป็นมังกรคลั่งร่างมนุษย์ที่มีกายและจิตวิญญาณบ้าที่สุด

หนิงอี้เห็นผู้บำเพ็ญดาราชะตาสองคนกลางฝุ่นควันสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ติดอยู่ในผนังหินขยับตัวไม่ได้ เขาส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ ไว้อาลัยเงียบๆ ในใจ และปลงอนิจจังอีกครั้ง

แข็งแกร่งมาก…

หนิงอี้มักจะรู้สึกว่าวันนี้สวีจั้งโหดจนน่าเหลือเชื่อ

พลังบำเพ็ญของสวีจั้ง หลังจากใช้กระบี่เดียวฟันคนยักษ์เกราะทองแตกกระจาย ตอนนี้ก็ยังลดลงไปช้าๆ ครั้งนี้เขาไม่ใช้กระบี่ พลังบำเพ็ญตกจากขอบเขตที่ห้า มาจุดสูงสุดขอบเขตที่สี่ แสงดาราแตกกระจาย แสงดาราพวกนั้นที่เดิมทีหายไปในฝุ่นควัน ขยับมาโดยที่ตาเนื้อมองไม่เห็น ทยอยกันไหลเข้าไปในขลุ่ยกระดูกตรงหน้าอกหนิงอี้

มีศิษย์ทยอยกันออกมาที่ประตูสำนักเรื่อยๆ เห็นอาจารย์อาสองคนถูกสวีจั้งอัดฝังกับผนังหิน อยู่ในสภาพน่าเวทนา ต่างก็ตกใจจนเหลือเชื่อ

ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็มีแสงสีฟ้าเข้มสายหนึ่ง เทียบกับพลังของแสงหลายสายก่อนหน้านี้ รวมกันยังหนาแน่นกว่า พลังนี้ไม่ใช่การสังหาร แต่มีความนุ่มนวล ตกลงนอกประตูภูเขา บุรุษสวมจีวรเต๋ายกสองนิ้วมือขึ้น ยันต์สีฟ้าม้วนหนึ่งพันรอบกาย ไฟลุกขึ้นเบาๆ เหมือนเพลิงภูตแผ่กระจายดันศิษย์ที่เข้ามาใกล้ออกไปอย่างอ่อนโยน

ประตูภูเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ เปิดออกเป็นพื้นที่กว้างโล่งโดยมีบุรุษจีวรเต๋าสีฟ้าเข้มอยู่ใจกลาง

“อาจารย์สิ้นชีพไปแล้ว…บุญคุณความแค้นรุ่นก่อนกลายเป็นฝุ่นธุลีตกลงพื้นแล้ว คนที่ร่วมการสังหารผู้อาวุโสเผยหมินในเมืองหลวง ตำหนักทะเลสาบกระบี่มีเพียงอาจารย์คนเดียว เขาใช้ชีวิตเป็นราคาต้องจ่ายแล้ว”

บุรุษจีวรเต๋ามองสวีจั้งด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าคือหลิ่วสือ เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่รุ่นปัจจุบัน ตอนนั้นที่ท่านใช้เลือดล้างเขาศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักทะเลสาบกระบี่รู้ดีว่าไม่ได้ขวางและไม่ได้ล่วงเกิน การลอบสังหารตลอดสิบปีมานี้…ข้าไม่รู้เห็นด้วย ต้องมีคนชั่วอยู่เบื้องหลังแน่”

สวีจั้งมองบุรุษจีวรเต๋าตรงหน้าอย่างเฉยชา

เขาพูดขึ้น “ซูขู่ตายแล้ว ข้าเป็นคนฆ่าเอง เขายอมรับว่าเป็นฝีมือของตำหนักทะเลสาบกระบี่”

คำพูดนี้สร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้น

ผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาหลายคนหน้าอกกระเพื่อม พวกเขาไม่สนใจเนื้อหาเบื้องหลังสวีจั้งพวกนั้น พวกเขาแค่รู้ว่าซูขู่เป็นผู้บำเพ็ญที่เพิ่งเลื่อนขั้นของตำหนักทะเลสาบกระบี่ เป็นความหวังในอนาคตของตำหนักคุมกฎ กลับตายไปเช่นนี้หรือ

“ข้าเข้าใจแล้ว”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่พูดอย่างจริงใจ “ข้าจะสะสางหนี้นี้แทนตำหนักทะเลสาบกระบี่เอง”

เขาหมุนตัวกลับ เลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือกดในอากาศ พลันเกิดตราเวทสีฟ้ายักษ์ขึ้น ผนึกทั้งตำหนักทะเลสาบกระบี่หุบอยู่ใต้ดวงตา

ภาพเงาเลือนรางวนเวียนใต้ดวงตาของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ เขามองภาพแต่ละภาพ ดึงผนึกในห้องส่วนตัวซูขู่ออกมา ผู้บำเพ็ญที่เข้าๆ ออกๆ การตกลงและการเจรจาไปมาหาสู่ การยืดยาวของความแค้น การจุดชนวนความโกรธ…สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่ในดวงตา พลันเข้าใจแจ่มแจ้ง

หลิ่วสือสะบัดแขนเสื้อใหญ่ด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ตราเวทพลันสลายไป เขาเดินมาหน้าผู้บำเพ็ญตำหนักคุมกฎอย่างเย็นชา มองแววตาตื่นกลัวของอีกฝ่าย ก่อนกดนิ้วลงกลางระหว่างคิ้ว

ศพแขนขาไร้เรี่ยวแรงล้มลงกับพื้นร่างหนึ่ง

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่มีสีหน้าสงสารใดๆ เลย เขาเดินมาหน้าผู้บำเพ็ญที่ฝังอยู่ในผนังหิน วางฝ่ามือและลูบผ่านเบาๆ ดวงตาที่เดิมทีเบิกโต หลังฝ่ามือขยับผ่านก็สิ้นพลังชีวิต

“เป็นอย่างไร”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่หลิ่วสือเดินมาหน้าสวีจั้ง น้ำเสียงเขายังคงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ตำหนักทะเลสาบกระบี่ข้าก่อกรรมไม่มากเท่าเขาอนันต์เล็ก มีผู้บำเพ็ญทั้งหมดเก้าคน ซูขู่ตายไปแล้ว ตัวการสองคนที่ล่าสังหารเจ้าตอนนั้น ข้าก็ลบไปแล้ว”

“เขาอนันต์เล็กรึ” สวีจั้งยิ้ม “เจ้าวางใจ มันน่าเวทนากว่าเจ้าแน่”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่เงียบ เขาถามอย่างจริงจัง “เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ”

สวีจั้งส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่พอ”

หลิ่วสือมองบุรุษชุดคลุมดำ นึกไปถึงนิสัยของตัวอ่อนสังหารเขาสู่ซานคนนี้ในคำเล่าลือ…เขาถอนหายใจ “ทุกชีวิตดั่งเมล็ดคะน้า ไม่มีใครลากผู้บงการทั้งหมดออกมาได้ อีกอย่างคนที่จะฆ่าเจ้าตอนนั้นถูกเจ้าฆ่าไปหมดแล้ว”

สวีจั้งยิ้มแต่ไม่พูด

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มองเด็กหนุ่มที่สวีจั้งมาพาเป็นพิเศษ ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สอง ในสายตาของสวีจั้งไม่มีทีท่าว่าจะปิดบังว่าตนต้องการทรัพยากรเลย

เขาพูดเชิงไตร่ตรอง “ไข่มุกตะวันคร้านพันปีสิบเม็ด”

หนิงอี้ที่ได้ยินคำพูดนี้เบิกตาโตมาก

สิบเม็ดรึ

ตนพยายามสุดชีวิตปล้นสินค้าขององค์ชายสามมา ของที่ล้ำค่าที่สุดในนั้นมีเพียงไข่มุกตะวันคร้านพันปี สวีจั้งเพียงแค่พาตนขึ้นเขามาทวงความยุติธรรม ก็จะได้ไข่มุกตะวันคร้านพันปีสิบเม็ดไปง่ายๆ หรือ

หนิงอี้มองสวีจั้ง รู้สึกปากแห้งนิดๆ

สวีจั้งกลับส่ายหน้า “ไม่พอ”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มีสีหน้าปั้นยาก “ไข่มุกตะวันคร้านพันปีเม็ดเดียวก็พอให้ทะลวงขอบเขตกลางแล้ว สิบเม็ดส่งเขาไปถึงขอบเขตที่สิบ ยังไม่พออีกหรือ”

สวีจั้งชักพินิจเหมันต์ออกมาเงียบๆ หันคมกระบี่ออก ใช้ปลายกระบี่กดกับพื้น มองไปรอบๆ

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่กัดฟันพูด “รวมไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสามพันปีอีกหนึ่งเม็ด ตำหนักทะเลสาบกระบี่ข้าให้ทรัพยากรที่พอจุดดาราชะตาแล้ว”

สวีจั้งถึงได้หันคมกระบี่พินิจเหมันต์กลับ เขาเอ่ยถามขึ้นทันที “ได้ยินว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่มีโอสถวิมานเทพที่สงบวิญญาณบ่มเพาะจิตได้อย่างนั้นหรือ”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่อัธยาศัยดีมาตลอดได้ยินคำว่าโอสถวิมานเทพก็ถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างจริงจัง “คนแซ่สวี ได้คืบอย่าเอาศอกเลย”

“บัญชีแค้นของพวกเจ้ากับข้า เมื่อครู่นี้ถือว่าสะสางกันได้ ตอนนี้สะสางบัญชีของซูขู่กับหนิงอี้” สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น ไม่มีทีท่าจะยอมถอยเลย “ข้ารู้ว่าซูขู่จะต้องมีโอสถวิมานเทพแน่ เอาของสะสมของซูขู่ในตำหนักทะเลสาบกระบี่ให้เขา บัญชีนี้ถือว่าหายกัน”

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่จ้องหนิงอี้ “หนิงอี้…เป็นศิษย์ของเจ้ารึ”

“แน่นอน…ว่าไม่ใช่ เขาเป็นศิษย์ของเจ้าหรุย เป็นผู้รับตำแหน่งอาจารย์อาน้อยจากข้า” สวีจั้งยิ้ม “ถ้าข้ารับเป็นศิษย์ จะไปใจอำมหิตพาเขามาขู่กรรโชกที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ได้อย่างไร รอข้าตายแล้ว เขาจะไม่ถูกพวกเจ้าล่าสังหารไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว พันดาบฟาดฟันเป็นเสี่ยงๆ รึ”

เดิมทีหนิงอี้กำลังคำนวณอย่างมีความสุขว่าผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาอย่างซูขู่จะมีของสะสมเท่าไรกันแน่ แต่พอได้ยินคำพูดของสวีจั้งก็รู้สึกแปลกๆ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีไป

หนิงอี้เงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก เห็นบุรุษกระแอมไอ อยากจะยกขึ้นมาปิดปากเน่านั่นด้วยความเสียใจภายหลัง

แต่สายไปแล้ว…

สวีจั้งมองไปรอบๆ ยิ้มเย็นชา ก่อนพูดกับศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่เสียงดัง “พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ…เหตุใดเมื่อสิบปีก่อนข้าสวีจั้งถึงบุกมาตำหนักทะเลสาบกระบี่ได้ ทุบตีพวกเจ้าหนีหัวซุกหัวซุน สิบปีต่อมาก็ยังเหมือนเดิม

เหตุใดวันนี้ตำหนักทะเลสาบกระบี่พวกเจ้าถึงถูกข้าตบหน้าดังเพี๊ยะๆ ก็เพราะข้าสวีจั้ง เป็นอดีตอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน!”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ ‘มือ’ ข้างหนึ่งกดศีรษะหนิงอี้ น้ำเสียงดังกึกก้อง

“อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานเป็นหนึ่งในใต้หล้า! วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าจดจำนามนี้ไว้…หนิงอี้!

เขาคืออาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานตอนนี้!

อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานอันดับหนึ่งในใต้หล้า!” คำพูดนี้บ้าอำนาจยิ่ง พูดโดยสวีจั้ง กระแทกหน้าประตูภูเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ รวมกับศพผู้บำเพ็ญที่นอนบนพื้นสองคน ดูเข้ากันมาก

เงียบ

เงียบสงัด

หนิงอี้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารของจริงแผ่มาจากสี่ทิศ หากสายตาฆ่าคนได้ หนิงอี้รู้สึกว่าก่อนที่ศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่จะสังหารตนนั้น คงฟันสวีจั้งแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว

เขาด่าทอสวีจั้งในใจหมื่นรอบ

ภายนอกหนิงอี้ยังมีใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ส่วนลึกในใจตื่นตระหนกมาก มองไปรอบๆ เผชิญหน้ากับสายตายำเกรงและโกรธแค้น เขายืดหลังตรง สู้กลับด้วยรอยยิ้มลึกล้ำ

พลังบำเพ็ญของสวีจั้งมีแค่ขอบเขตที่ห้า แต่ก็ยังสังหารผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาได้

พลังบำเพ็ญเขามีแค่ขอบเขตที่สองแล้วอย่างไร

หนิงอี้สูดลมหายใจเบาๆ

เขารู้สึกถึงสายตาลึกล้ำ

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยอาการใจฝ่อนิดๆ สังเกตเห็นว่าเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่กำลังเพ่งมองตน

“หนิงอี้…อาจารย์อาน้อยคนใหม่แห่งเขาสู่ซาน ดีมาก ข้าจำเจ้าไว้แล้ว”

………………………..