ตอนที่ 55 หนุ่มวิทย์ตัวร้าย กับนายฮาโรลด์ปากหมา

My Death Flags Show No Sign of Ending

หลังจากยูสทัสเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ทั้ง 2 ฝ่าย เอลล์และคนอื่นๆก็ถูกเชิญไปยังห้องรับแขก มันเป็นห้องที่ทำมาจากไม้ให้บรรยากาศดูสงบ ทั้งพื้นและเพดานต่างทำมาจากไม้ ซึ่งมันไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของศูนย์วิจัยเลยซักนิด

ห้องรับแขกนี้สะอาดเอี่ยมและเป็นระเบียบอย่างมาก อีกทั้งทางทิศใต้ของห้องยังมีบริเวณที่แสงแดดสาดส่องถึง ที่บริเวณนั้นมีดอกไม้มากมายปลูกเอาไว้อยู่ด้วย

จะให้พูดยังไงดี ภาพลักษณ์ของยูสทัสที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สุดแสนมืดมน มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอทันทีที่เข้ามาในห้องรับแขกแห่งนี้ ทั้งเอลล์และลีฟาเองต่างประหลาดใจและคิดเหมือนๆกัน

อย่างไรก็ตามพอเอลล์ได้คิดๆดู ยูสทัสก็เป็นเพียงผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยแห่งนี้เท่านั้น เขาคงไม่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบตกแต่งภายในของศูนย์วิจัยแห่งนี้ หรือไม่ก็เป็นความชอบส่วนตัวที่เขาตกแต่งห้องของรับแขกของเขาตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของศูนย์วิจัย

แต่ จะยังไงก็ช่างเถอะ

 

[ เอ่อ ถ้วยชาอยู่ไหนหว่า ? ] – ยูสทัส

[ แกไปนั่งเงียบๆเหอะ ใครจะไปอยากดื่มชาเห่ยๆที่แกชงกันฟร่ะ ? ] – ฮาโรลด์

 

แม้กระทั้งชายผู้เป็นหัวหน้าของเขา ปากของฮาโรลด์ยังคงทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปากของฮาโรลด์จะด่าออกไปเช่นนั้น แต่มือของเขากลับกำลังเตรียมกาน้ำชาและถ้วยชาพอดีกับจำนวนคน กว่าที่เอลล์และลีฟาจะรู้ตัว ชาก็ถูกเตรียมเสร็จแล้ว นับว่าเป็นภาพที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเธอ

 

[ ใครบอกว่าจะให้แกได้ดื่มชาฝีมือชั้น ? ชั้นแค่จะดูแลคุณหนูเหล่านี้ ] – ยูสทัส

[ อ้อ นี่แกพยายามอวดความขี้งกของแกต่อหน้าแขกหรอ ? ยังน่าขยะแขยงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ] – ฮาโรลด์

[ หืม นายด่าคนอื่นว่าน่าขยะแขยงทั้งๆที่นายเที่ยวไล่ตกเด็กสาวมาเข้าฮาเร็มระหว่างปฎิบัตภารกิจเนี้ยนะ ? ไม่ใช่ว่านายเองก็อยากได้ภรรยาจนตัวสั่นหรอกเหรอ ? ] – ยูสทัส

[ อย่าพูดบ้าๆ ไม่มีทางที่ชั้นจะแต่งงานกับยัยผอมแห้งพวกนี้ ] – ฮาโรลด์

[ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากเป็นสาวเจ้าเนื้อซักหน่อย นายจะรับไว้พิจารณาสินะ หึหึ ขอให้โชคดี หวังว่าคู่หมั้นของนายจะยอมให้นายมีบ้านเล็กบ้านน้อยได้ ] – ยูสทัส

[ ไร้สาระ เป็นถึงนักวิทยาศาตร์แต่กลับด่วนสรุปอะไรง่ายๆและตัดสินทุกอย่างด้วยตรรกะเพี้ยนๆ ไม่ใช่ว่าการวิจัยแห่งดวงดาวที่แกกำลังวิจัยมันจะออกมาเหลวเป๋วหรอกเหรอ ] – ฮาโรลด์

[  นั้นหยาบคายไปหน่อยนะ แล้วใครกันที่จะได้ประโยชน์จากงานวิจัยที่ฉันกำลังศึกษา ? ช่วยระวังคำพูดของนายด้วย ] – ยูสทัส

[ งี่เง่า แกควรจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองดีกว่ามั้ย ดูๆแล้วน่าจะเกิดจากภาวะสมองเสื่อม ชั้นต้องบอกแกอีกกี่ครั้งว่าชั้นถอนหมั้นกับยัยนั้นไปแล้ว ] – ฮาโรลด์

 

ไร้ซึ้งการสบตาซึ่งกันและกัน การต่อสู้ด้วยวาจาของทั้ง 2 ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆและรัวๆ ทั้งเอลล์และลีฟาที่เห็นภาพนั้นถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้ว่าพวกเขาจะโต้เถียงกันรัวๆแบบไม่หยุดพัก แต่บางมุมเอลล์กลับรู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด

แม้เนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกันจะฟังดูไม่ลื่นหูเท่าไหร่ แต่บรรยากาศระหว่างยูสทัสและฮาโรลด์กับดูสงบจนน่าประหลาดใจ แน่นอนว่าไม่มีบรรยากาศที่ดูเป็นมิตรระหว่างพวกเขาทั้งคู่แม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นศัตรูกัน แต่ด้วยคำพูดของพวกเขามันดูเหมือนกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนทางธุระกิจอย่างไงอย่างงั้น

นี่มันแปลกประหลาด

และขณะเดียวกันที่ฮาโรลด์กำลังเสิร์ฟชาให้แก่คนอื่นๆ

เอลล์และลีฟาก็นั่งลงบนโซฟาสำหรับ 2 ที่นั่ง ยูสทัสเองก็นั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับพวกเธอ ส่วนฮาโรลด์ แยกไปนั่งที่ขอบหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปซักหน่อย

 

[ โอ้ใช่ อย่าไปสนใจไอ้คนประหลาดพรรค์นั้นเลย พวกเธอทั้งสอง– เอ่อ ชั้นยังไม่ทราบชื่อของคุณหนูทั้ง 2 เลยใช่มั้ยนะ ? ] – ยูสทัส

[ ฉะ-ฉัน ลีฟา กู๊ดริดจ์ ค่ะ ] – ลีฟา

[ ฉันเอลล์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ ศาสตราจารย์ ฟร์อย ผู้โด่งดัง ] – เอลล์

[ แค่ ยูสทัส ฟร์อย เฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้นหรอก ] – ยูสทัส

 

มันค่อนข้างผิดปกติที่หมอนี่พูดออกมาโดยไม่ยิ้มหรือไม่แสดงสีหน้าใดๆเลย อืม จริงๆเอลล์ก็คิดว่าเธอเองก็ไม่ปกติเหมือนกันในบางมุม

 

[ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับพวกเรา ] – เอลล์

[ แล้ว ? ทำไมคุณหนูทั้ง 2 ถึงมาที่นี่เหรอ ? ชั้นไม่คิดว่าฮาโรลด์จะชวนมาหรอกนะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆคงเกิดภัยทางธรรมชาติถล่มเมืองหลวงแล้วตอนนี้ ] – ยูสทัส

[ เอ่อ. จริงๆแล้วมีแค่ลีฟาที่อยากมา .. ] – เอลล์

 

เอลล์ใช้ศอกดันแขนของลีฟาราวกับเป็นการส่งสัญญาณ พอลีฟารู้สึกตัว เธอก็เริ่มพูดขึ้น

 

[ คือฉันสนใจเกี่ยวกับการวิจัยเวทมนตร์ศาสตร์ค่ะ จริงแล้วๆ ฉันกำลังศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองอยู่ ดังนั้น ฉันจึงขอร้องฮาโรลด์ให้พาฉันมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญและ– ] – ลีฟา

[ ด้วยชื่อเสียงของฮาโรลด์ที่พวกเราได้ยินมา เลยคิดว่าคุณผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของฮาโรลด์อาจให้คำปรึกษาแก่ลีฟาได้ ] – เอลล์

[ เข้าใจล่ะ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องหายากนะที่หมอนั้นยอมรับคำขอร้องเช่นนี้ ] – ยูสทัส                      

[ อืม ดูเหมือนว่าฮาโรลด์จะสนใจแนวคิดของลีฟาที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำพลังแห่งดวงดาวมาใช้งานเช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ใช่หัวข้อหลักของงานวิจัยของลีฟาก็ตาม ] – เอลล์

[ โอ้ เป็นงั้นเอง ] – ยูสทัส

 

เอลล์พยายามอธิบายเรื่องต่างๆแทนลีฟา และพลางเหลือบมองไปยังฮาโรลด์ที่กำลังจิบชาด้วยสีหน้าบูดบึ้งราวกับจะบอกว่าชามันรสชาตห่วยแตก

เรื่องที่พวกเขาเตี้ยมกันไว้ก่อนหน้าคือ ลีฟาและเอลล์ ทั้ง 2 เป็นเพื่อนกันและอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกัน พวกเธอได้พบกับฮาโรลด์ที่เมืองแอสติสโดยบังเอิญ และรู้มาก่อนว่าฮาโรลด์นั้นเกี่ยวข้องกับศาตราจารย์ ยูสทัส พวกเธอเลยขอร้องแกมบังคับให้เขาพาพวกเธอมาพบกับศาตราจารย์

นี่ถือเป็นการปฎิบัติภารกิจแรกของเอลล์ที่ฮาโรลด์มอบหมายให้ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งในตอนนั้น ตอนที่ลีฟาขอร้องฮาโรลด์ให้เป็นคนคุ้มกันขึ้นไปบนเขากิแรน ฮาโรลด์ได้ทำข้อตกลงกับเธอโดยระบุไว้ว่า “ชั้นจะให้เธอยืมพลัง หากเธอยอมรับเงื่อนไขของชั้น” แม้ว่าตัวของฮาโรลด์เองจะไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไร แต่เอลล์เชื่อว่าหากฮาโรลด์หยิบยกข้อตกลงที่ทำกับลีฟามาใช้ในตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์แก่ตัวของฮาโรลด์ 

คำสั่งของฮาโรลด์แก่เอลล์นั้นคือให้เธอพยายามล้วงข้อมูลและอ่านเจตนาของยูสทัสให้ได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้และพยายามเกาะติดกับลีฟาเพื่อป้องกันไม่ให้เธอเผลอหลุดข้อมูลใดๆออกมา

เพราะเช่นนั้น เป้าหมายหลักของเอลล์ในการล้วงข้อมูลคืองานวิจัยเวทมนตร์ที่ยูสตัสกำลังค้นคว้าอยู่ – หรือที่เขาเรียกมันว่า “ร่างกายของดวงดาว” แต่ทว่า งานนี้มันค่อนข้างยากเกินไปสำหรับเอลล์ที่จะดำเนินการด้วยตัวคนเดียว

ราวกับฮาโรลด์รู้อยู่แล้วว่าเป็นงานที่ยาก เขาจึงบอกกับเอลล์ไว้ก่อนแล้วว่า “ชั้นไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้น หากล้วงข้อมูลอะไรได้มาบ้างนิดหน่อย ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว สิ่งที่สำคัญทึ่สุดคือต้องไม่ให้หมอนั้นระแคะระคายว่าชั้นกับตระกูลกิฟเฟลต์มีความเกี่ยวข้องกันก็พอ “

ยูสทัสเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก กล่าวอีกนัยคือ ยูสทัสถือว่าเป็นตัวปัญหาใหญ่สำหรับฮาโรลด์

เอลล์นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮาโรลด์เมื่อ 5 ปีก่อน เธอคิดว่าต้องมีผู้บงการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังและมีอำนาจเหนือสภา บางทีคนๆนั้นอาจเป็นยูสทัส หรือไม่ก็คนที่ใกล้ชิดกับเขา 

เอลล์คิดว่าถ้าฮาโรลด์อยากให้เธอล้วงข้อมูลกับคนแบบนี้ เขาควรบอกทุกๆสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับยูสทัสให้เธอทราบล่วงหน้าจะดีกว่า ซึ่งเอลล์เองก็ไม่แน่ใจว่าฮาโรลด์ไม่ต้องการที่จะบอกเองหรือว่าเขาบอกไม่ได้กันแน่ แต่เธอเชื่อว่าฮาโรลด์จะต้องมีความลับสำคัญอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

เห็นได้ชัด ว่าฮาโรลด์นั้นไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน

 

( เอาเถอะ ฉันควรจะเพ่งสมาธิกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นตัวปัญหาเอาเรื่องทีเดียว ) – เอลล์

 

เพื่อดึงสมาธิกลับมาหลังจากที่หัวของเธอเริ่มจะคิดนอกเรื่องไปเรื่อยๆ เธอสวมรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติไว้บนใบหน้าราวกับว่าเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ถูกล้วงข้อมูลได้ง่ายๆเช่นกัน การดวลด้วยวาจาของเธอและยูสทัสได้เริ่มต้นขึ้น

 

 

 

 

[  ดูเธอจะรู้เรื่องราวของฮาโรลด์เยอะเหมือนกันนะ ] – ยูสทัส

[ เพราะมีไอ้เวรที่ไหนไม่รู้คอยแพร่ข่าวลือของฉันไปทั่วน่ะสิ ] – ฮาโรลด์

[ ชั้นไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันที่คอยแพร่ข่าวลือเสียๆหายแบบนั้นอยู่ คนพวกนั้นตรงกันข้ามกับชั้น เพราะชั้นนั้นพูดแต่เรื่องจริงที่เกี่ยวกับนาย ] – ยูสทัส

[ ใช่ ต้องขอบคุณพวกเวรนั้น ที่ทำให้ไม่ว่าจะไปที่ไหนชั้นก็จะถูกจ้องด้วยสายตาที่น่ารำคาญ ] – ฮาโรลด์

[ เอ๋ ชั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่านายจะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ด้วย แบบนี้ต้องจด ] – ยูสทัส

 

“ ก็แกเองไม่ใช่เรอะที่เที่ยวป่าวประกาศข่าวลือนั้น! “ ฮาโรลด์ได้แต่เก็บความแค้นอยุ่ในอกที่ดูราวกับว่าไม่สามารถซ่อนอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ได้อีกต่อไปและมันเริ่มเล็ดลอดออกมาจากการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางของเขา

ไม่ต้องคิดเยอะ คนที่แพร่กระจายข่าวลือเสียๆหายเพื่อให้ภาพลักษณ์ของฮาโรลด์ตกต่ำจะเป็นใครไปได้อีกนอกเสียจากตัวของยูสทัสเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ฮาโรลด์โดดเดี่ยวและไม่สามารถขอความช่วยเหลือใดๆได้ นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถผูกมัดฮาโรลด์ไว้กับเขาได้ง่ายขึ้น ไม่มีทางที่คนแปลกหน้าเหล่านั้นจะยอมเข้ามาช่วยเหลือฮาโรลด์หลังจากได้ยินข่าวลือเสียๆหายๆพวกนั้น และจนถึงตอนนี้ แผนการเผยแพร่ข่าวลือของยูสตัสก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงได้รับฉายาที่ฟังดูอันตรายอย่าง “นักฆ่าอัศวิน”

นอกจากนี้ ตัวของฮาโรลด์ยังมีภาพลักษณ์ที่ตกต่ำอย่างมากในหมู่เจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยที่เขาอาศัยอยู่แห่งนี้ จากมุมมองของเจ้าหน้าที่ มันเหมือนกับว่าพวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกับฆาตกร ฮาโรลด์ถูกปฎิบัติราวกับเป็นเดนมนุษย์ ซึ่งเขาก็ไม่สามารถหาทางทำอะไรกับเรื่องนี้ได้และเพราะปากของเขา ความผิดนี้ฮาโรลด์เลยมีส่วนผิดเองเช่นกัน

พูดง่ายๆก็คือ ตัวของฮาโรลด์ก็อดทนไม่ไหวกับความเป็นปรปักษ์ของพวกเจ้าหน้าที่ที่มุ่งตรงมาที่เขาอย่างโจ่งแจ้ง เขาจึงใช้ชีวิตในศูนย์วิจัยแห่งนี้โดยการเปิดสวิชต์ไว้ตลอดเวลายกเว้นแต่ตอนที่อยู่ภายในห้องส่วนตัว เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น มันก็ยากที่จะทำให้เขาสงบจิตสงบใจได้ นี่อาจฟังดูบ้า แต่ความเป็นปรปักษ์และความอาฆาตพยาบาทที่มนุษย์แสดงออกมานั้นเขารู้สึกว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดโหดๆเสียอีก

และบวกกับความสามารถปากของเขาตอนเปิดสวิชต์ เลยทำให้ทุกๆอย่างแย่ลงไปอีก ความเกลียดชังของเหล่าเจ้าหน้าที่ค่อยๆทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ และล่วงเลยมาถึงเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน ก็หาทางแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว

 

[ ไงก็ตาม ผมติดใจเรื่องที่บอกว่าฮาโรลด์สนใจแนวคิดของคุณหนูเรื่องการนำพลังแห่งดวงดาวมาใช้อะไรนั้น คุณหนูช่วยขยายความให้ผมได้ไหมครับ ? ] – ยูสทัส

[ ค- ค่ะ ฉันมีแนวคิดที่ว่าเราสามารถเพิ่มความสามารถทางเวทมนตร์ของแต่ละบุคคลได้หากเรานำเวทมนตร์มาผสมผสานกับวิทยาศาสตร์–- ] – ลีฟา

 

จริงๆแล้วเทคนิคการผสมผสานเวทมนตร์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่ลีฟาเป็นคนคิดค้นขึ้นด้วยตัวเอง เธอสามารถนำมาใช้งานจริงได้แล้ว แต่ฮาโรลด์สั่งไว้ว่าให้เธอพูดเรื่องนี้โดยบอกว่ามันยังคงเป็นแค่แนวคิดเท่านั้น

แม้ว่าตัวของฮาโรลด์เองจะมีเหตุผลบางอย่าง แต่แรงจูงใจจริงๆของฮาโรลด์คือการหลอกใช้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และแนวคิดของยูสทัสมาช่วยปรับปรุงและพัฒนาความสามารถให้กับตัวของลีฟา หากมองจากเหตุการณ์ที่เธอสู้กับมังกรไฮดร้า เห็นได้ชัดว่าพลังโจมตีของเธอยังไม่เพียงพอและจำเป็นต้องยกระดับขึ้นให้มากกว่านี้

เอาจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าจะหาทางช่วยกลุ่มของไรเนอร์จากในเงามืดอย่างลับๆ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าใช้วิธีนี้น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ดังคำกล่าวที่ว่า อยากได้โมจิก็ไปร้านโมจิ อยากได้ความรู้ทางวิทยาศาตร์ก็ไปหานักวิทยาศาตร์

แม้ว่าสุดท้ายลีฟาจะต้องเข้าร่วมกับปาร์ตี้ผู้กล้าและคงจะได้ร่วมกันต่อสู้กับยูสตทัสในภายหลัง แต่เมื่อถึงเวลานั้นยูสทัสคงรู้วิธีการต่อสู้และพลังโจมตีของเธอ นั้นคงกลายเป็นเรื่องเสียเปรียบสำหรับกลุ่มผู้กล้า แต่ช่างเรื่องนั้นไว้ก่อน

แต่ไม่ว่ายูสทัสจะฉลาดซักแค่ไหน ฮาโรลด์ก็ไม่คิดว่ายูสทัสจะมองเบื้องหลังของงานวิจัยที่ลีฟากำลังทำออกได้ และเมื่อถึงตอนที่เขารู้ว่าลีฟาต้องกลายมาเป็นศัตรู ใช่ว่าเขาจะหาวิธีรับมือความสามารถของลีฟาได้ง่ายๆอยู่ดี

และหากถึงตอนนั้นจริงๆ ยูสทัสคงกำลังยุ่งอยู่กับการแก้ไขแผนการณ์ที่ถูกกลุ่มของไลเนอร์ขัดขวาง และนอกจากนี้ ฮาโรลด์เองก็จะใช้ความรู้จากเกมส์แอบแทรกแซงอยู่เบื้องหลังอีกทางหนึ่ง หมอนั้นคงหัวหมุนอยู่กับการปรับเปลี่ยนแผนการณ์จนไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่นหรอก

นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงพาลีฟามาที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้ด้วย แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันเสี่ยง แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง นี่อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดที่สวรรค์ส่งมาให้เขาก็ได้

 

[ … อืมๆ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฮาโรลด์ถึงสนใจ ] – ยูสทัส

 

หลังจากที่ยูสทัสได้ฟังทฤษฎีที่ลีฟาพัฒนาขึ้น เขาก็กล่าวออกมาราวกับเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ฮาโรลด์จะฟังอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เพราะมีศัพท์ทางเทคนิคและคำพูดทางวิชาการมากเกินไป ทำให้เขาเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว

แม้ว่าลีฟาจะมีรูปร่างเหมือนกับเด็ก แต่มันสมองของเธอที่สามารถพัฒนายาปฎิชีวนะเพื่อใช้ขัดขาวงแผนของยูสทัสได้ คุณสมบัติของเธอมันเกินกว่าจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะ เพราะงั้น ไม่มีทางที่ฮาโรลด์จะตามบทสนทนาของ 2 อัจฉริยะได้ทัน

 

[ แล้ว ศาตราจารย์มีความเห็นอะไรไหมคะ ? มีอะไรที่ฉันสามารถปรับปรุงหรือ— ] – ลีฟา

[ ผมคงพูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะจนกว่าจะได้ลองใช้จริง แต่มันก็มีหลายๆไอเดียที่ผมคิดไว้เหมือนกัน จริงๆผมก็ไม่รังเกียจอะไรที่จะแนะนำเธอหรอกนะ แต่ว่าช่วงนี้ผมเองก็ค่อนข้างยุ่ง ]  – ยูสทัส

 

ยูสทัสหันไปมองนาฬิกาที่อยู่บนผนังของห้อง ราวกับจะบอกว่าเวลาว่างของเขากำลังจะหมดลงแล้ว และเมื่อไม่ได้รับคำแนะนำใดๆจากยูสทัส ลีฟาจึงได้แต่คอตกตอบรับว่า “เข้าใจแล้วค่ะ” อย่างท้อแท้ใจ แต่ทว่าคำพูดถัดไปของยูสตัสกลับทำให้เธอประหลาดใจ

 

[ แต่ว่าแนวคิดของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นหากเธอจะอยู่ที่นี่สักพักก็ได้นะถ้าเธอต้องการ และถ้าผมหาเวลาว่างได้พวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องต่างๆเหล่านี้ทีหลัง ] – ยูสทัส

[ เอ๊ะ ได้หรอคะ ? ] – ลีฟา

 

(ชิบหาย ยัยลีฟาติดกับเข้าให้แล้ว ! ไม่สิ ผมเองก็คาดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะยอมสละเวลาอันมีค่าของตัวเองมาให้ลีฟาอย่างง่ายๆ ไม่ใช่ว่ายูสทัสเป็นพวกไม่แคร์คนอื่นนอกจากเรื่องของตัวเองหรอกหรอ ? รึว่า ทฤษฎีที่ลีฟาคิดค้นขึ้นไปกระตุ้นต่อมความสนใจของมันกันแน่ ? ) -ฮาโรลด์

 

นั้นเพราะยิ่งลีฟาอยู่ที่ศูนย์วิจัยนี่นานเท่าไรยิ่งเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลมากขึ้นเท่านั้น บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เธอมองข้ามไปอาจเปิดเผยแผนการณ์ของฮาโรลด์และเอลล์ก็ได้

 

[ เย็นก่อนลีฟา ถ้าเธอตกลงอยู่ที่นี่ต่อ พวกเราก็กลับไปที่หมู่บ้านช้ากว่ากำหนดเดิมนะ แล้วเรื่องที่เราโกหกไว้จะทำยังไง เธอก็รู้นี่ว่าหากคุณลุงรู้เรื่องเข้า รอบนี้เธอไม่รอดแน่ๆ เข้าใจรึปล่าว ? ] – เอลล์

 

คนที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์นี้คือ เอลล์ ซึ่งฮาโรลด์ไม่รู้ว่าเอลล์ด้นสดบทสนทนานี้ขึ้นมาหรือเธอคาดเหตุการณ์นี้เอาไว้แล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเธอแสดงได้เป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอโกหกออกไปว่าด้วยเหตุผลบางอย่างพวกเธอทั้ง 2 ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป

ในตอนแรก สีหน้าของลีฟ่าเอ๋ออย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เอลล์พูด แต่สักพักพอเธอจับใจความและเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ใบหน้าเล็กๆของเธอก็เริ่มซีดเผือก จากมุมมองของคนนอก คงดูเหมือนว่าเธอกำลังหวาดกลัวเมื่อนึกภาพเรื่องของคุณลุงที่เอลล์พูดเอาไว้เมื่อสักครู่

 

[ หืม ? หมายความว่ายังไงหรอ ? ] – ยูสทัส

[ คือพวกเรา 2 คนมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่หมู่บ้านเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ แล้วเพราะลีฟาที่อุทิศตัวให้กับวิทยาศาสตร์ เลยทำให้เธอเป็นพวกแปลกแยกจากคนในหมู่บ้าน และครอบครัวของเธอมักจะบ่นเธอเรื่องที่เธอมักไปเสียเวลากับเรื่องงานวิจัยพรรค์นั้นแทนทีจะมาช่วยกันทำไร่ทำนา ] – ลีฟา

 

สิ่งที่เอลล์เล่านั้นไม่ได้เป็นเรื่องโกหกแต่อย่างใด เพราะลีฟากำลังเผชิญสถานการณ์นี้อยู่เหมือนกับเนื้อเรื่องในเกมส์ไม่ผิด

แม้ว่าฮาโรลด์จะสงสัยเหมือนกันว่าเอลล์รู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่สีหน้าของลีฟาไม่ได้แสดงความรู้สึกประหลาดใจแต่กลับเป็นใบหน้าที่กำลังเขิลอาย บางที ลีฟาอาจจะเล่าเรื่องนี้ให้เอลล์ฟังเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าภายในเวลาไม่กี่วัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไปไกลกว่าที่ฮาโรลด์คาดไว้นัก

 

[ จริงด้วย รอบนี้พวกเราพากันไปไกลถึงแอสติส แต่ฉันโกหกครอบครัวว่าฉันไปเที่ยวแค่เมืองหลวง แบบนี้คงอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ] – ลีฟา

[ อืมม แล้วคุณหนูอยู่ที่นี่ได้อีกนานแค่ไหนหรอ ? ] – ยูสทัส

 

ถ้าหากเป็นฮาโรลด์ เขาคงตอบกลับมาในทันทีว่า [ ไม่ ] โดยไม่คิดแต่น้อย

แต่ทว่า เอลล์กลับไม่ตอบเช่นนั้น หลังจากคิดอยู่สักพัก เธอก็ตอบออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

[ 2 อาทิตย์ พวกเราอยู่ได้ไม่เกินนี้ ] – เอลล์

[ หึๆ เป็นงั้นเองรึ ? แต่มันก็ตรงกับที่ชั้นคาดเอาไว้ เธอนี่หัวไวเหมือนกันนะ ชั้นคงสงสัยพวกเธอไปแล้วหากเธอตอบกลับมาในทันทีว่าอยู่ต่อไม่ได้ ] – ยูสทัส

 

จากคำพูดของยูสทัส ฮาโรลด์ก็ค่อยๆเข้าใจเจตนาของเอลล์ เหงื่อเย็นค่อยๆไหลอาบร่างของเขา

จากบทสนทนาก่อนหน้านี้ เอลล์คงรู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเดินทางจากหมู่บ้านของลีฟามายังเมืองหลวงและเมืองแอสติส และในเมื่อพวกเธอพบกับฮาโรลด์ที่เมืองแอสติส พวกเธอก็เดินทางมาเมืองหลวงพร้อมกับฮาโรลด์โดยเรือบิน เมื่อพิจารนาถึงเวลาที่ฮาโรลด์ออกไปทำภารกิจและเวลาที่เขาต้องใช้ในการเดินทางกลับ ทุกๆอย่างก็ลงตัว

โดยปกติแล้ว มันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กสาว 2 คน? จะเดินทางออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆโดยใช้การโดยสารที่แสนแพงอย่างเรือบิน อย่างหรูที่สุดก็คงเป็นรถม้า หรือแบบจนๆก็เดินเท้า แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ความเร็วของทั้ง 2 วิธีนี้ก็ยังแตกต่างจากเรือบินเป็นอย่างมาก

แต่ตอนนี้พวกเธอเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าเมืองหลวงนี้จะเป็นทางผ่านไปหมู่บ้านของเธอหรือไม่ หากพิจารณาระยะทางจากแอสติสมายังเมืองหลวงด้วยเรือบินซึ่งมันควรจะใช้เวลาเร็วกว่าการเดินเท้าหรือนั่งรถม้าเป็นอย่างมาก และมันคงเป็นเรื่องแปลกถ้าพวกเธอเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนกำหนดแต่กลับบอกว่าไม่มีเวลา และหากพวกเธอเดินทางช้ากว่ากำหนดจริงๆ พวกเธอคงไม่มีทางที่จะแวะมาพบกับยูสทัส ดังนั้นไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ตาม มันไม่มีทางที่พวกเธอจะไม่มีเวลาว่างได้

ฮาโรลด์เชื่อว่าคำโกหกของเอลล์ไม่มีช่องว่าง มันสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สถานการณ์มาไกลเกินกว่าจะปฎิเสธการอยู่ที่นี่ต่อได้แล้ว 

และเรื่องที่แย่ที่สุดคือคำพูดสุดท้ายที่ยูสตัสกล่าวเอาไว้ มันบ่งบอกว่าเขาสงสัยในตัวของเอลล์และลีฟาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ มันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเอลล์ที่จะเคลื่อนไหวสืบข้อมูลได้อย่างสะดวก

 

[ ถ้างั้น เอาแบบนี้ละกัน หากคุณหนูต้องการจะกลับหมู่บ้านเมื่อไหร่ ผมจะเตรียมเรือบินให้ไปส่งที่เมืองใกล้ๆหมู่บ้านของพวกเธอ แบบนี้พวกคุณหนูจะได้มีเวลาอยู่ที่นี่ต่อนานยิ่งขึ้น ] – ยูสทัส

 

สำหรับฮาโรลด์ ข้อเสนอที่ยูสทัสเสนอมันฟังดูเหมือนเขาได้รับโทษประหารชีวิตอย่างไงอย่างงั้น

 

———————–

เปย์ขนมแมวผู้แปลได้ที่

กสิกร / 0708329679 / กิตติพิชญ์