บทที่ 46 เผาสำนักวัชระ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 46 เผาสำนักวัชระ

“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” เจ้าสำนักวัชระดวงตาพลันจ้องเขม็ง คลื่นในใจซัดถาโถมรุนแรง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

เด็กหนุ่มที่เขาเห็นอยู่คนนี้สวมเสื้อขนสัตว์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก เพียงแต่…สีของเสื้อขนสัตว์ปรากฏรอยเลือดแห้งกรังและฉายรังสีอำมหิตออกมาให้เห็น

แม้ผมเผ้ายุ่งเหยิงและคราบไคลบนใบหน้าจะบดบังความหล่อเหลา แต่ตอนนี้สายลมพิษหอบพัดผมของเขาปลิวขึ้นก็เผยดวงตาทั้งสองที่ไม่อาจปกปิดได้ออกมาให้เห็น

ความเฉียบคมและความเย็นชาที่ไม่อาจบรรยายได้ในดวงตา ในเสี้ยวขณะนี้ แม้จะอยู่ในหมอกที่ไอพลังประหลาดหนาแน่นก็ยังคงแจ่มชัด

ในเสี้ยวพริบตาที่ประสานสายตากับเขา ใจของเจ้าสำนักวัชระก็มีไอเย็นเยือกผุดขึ้นมา

“เด็กน้อย!!”

ต่อให้ไม่เคยเห็นรูปวาดของสวี่ชิง แต่เสี้ยวขณะนี้ ในหัวของเจ้าสำนักวัชระก็มีสมญาคนเก็บกวาดของอีกฝ่ายผุดขึ้นมา

เขารู้ว่าบรรพจารย์กับผู้อาวุโสสองคนและลูกศิษย์มากมายกำลังไล่ฆ่าคนคนนี้อยู่ ทว่าตอนนี้…บรรพจารย์และผู้อาวุโสไม่กลับมา แต่เด็กน้อยที่ถูกไล่ฆ่ากลับมาปรากฏตัวในสำนัก

ภาพนี้ทำให้เมื่อเจ้าสำนักวัชระคิดอย่างละเอียดแล้วก็หวาดกลัวสุดขีด แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ได้คิดมากนัก เขาประสานปางมือทันใดนั้นก็มีพายุพัดโหมเข้ามาจากทุกทิศ ในขณะเดียวกับที่พัดลมพิษให้สลายไป คลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากลมพายุลูกนี้ก็พุ่งไปหาสวี่ชิงด้วย

ดวงตาเย็นชาของสวี่ชิงแค่กวาด ไม่สนใจเจ้าสำนักวัชระคนนี้ ร่างถอยไปข้างหลังหลบหลีกทันที เปลี่ยนตำแหน่งอย่างเร็วรี่ โยนลูกกลอนดำในมือต่อไป

เสียงตูมๆ ดังกึกก้อง เจ้าสำนักวัชระสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของลูกกลอนดำ สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง กระทืบเท้าเต็มแรง ไล่ตามสวี่ชิงไปคิดจะขัดขวาง

แต่สวี่ชิงไม่สู้กับเขา หลบหลีกอีกครั้ง อาศัยความเร็วจากยันต์บินเคลื่อนที่ไปในสำนักแห่งนี้ต่อ ทำให้เจ้าสำนักวัชระจำต้องใช้ยันต์บินเหมือนกัน

มองไกลๆ แล้วเจ้าสำนักวัชระกับสวี่ชิงคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งอยู่ข้างหลัง ทุกที่ที่บินผ่านเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดสาย

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลูกกลอนดำโยนมาจากสวี่ชิงไม่หยุดท่ามกลางเสียงระเบิดอีกด้วย

“สมควรตาย!” โทสะพวยพุ่งขึ้นในใจเจ้าสำนักวัชระ คิดอยากจะขัดขวาง เพียงแต่ต่างคนต่างใช้ยันต์บินกันทั้งคู่ ความเร็วพอๆ กัน นี่ทำให้เขาไม่อาจไล่ตามความเร็วได้ทัน

ดังนั้น ไม่นานนัก คลื่นวนที่เกิดขึ้นจากลูกกลอนดำในสำนักวัชระก็ปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงระเบิด ไอพลังประหลาดหนาแน่นก็พวยพุ่งอย่างรวดเร็วน่าตกใจ ค่อยๆ ใกล้เคียงกับเขตพื้นที่ต้องห้าม

จวบจนลูกกลอนดำของสวี่ชิงไม่เหลือแล้ว ทั้งสำนักวัชระ…ก็กลายเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาวงหนึ่ง

คลื่นวนวงหมุนอยู่ตลอด ทำให้ไอพลังประหลาดมหาศาลทยอยทะลักเข้ามา ท้องฟ้าถูกบดบัง ยิ่งเมื่อความหนาแน่นของไอพลังประหลาดมาถึงขีดสูงสุดจนเกิดเป็นหมอกแล้ว มันก็ยิ่งโหมกระหน่ำ เหมือนปกคลุมฟ้าดิน แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ

มองไกลๆ สำนักวัชระที่หมอกปกคลุม ข้างในมีเสียงคำรามและเสียงร้องตื่นตกใจดังลอยออกมาไม่หยุด ลูกศิษย์ทุกคนในนั้นตอนนี้หวาดกลัวสุดขีด

ในขณะเดียวกันนี้ เนื่องจากขาดกำลังคน แม้ลมพิษจะถูกพัดสลายไปแล้วบางส่วน แต่ผงพิษส่วนมากกลับพัดขึ้นมาตามลมปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน พัดเข้าไปในสำนักวัชระ ผสมรวมไปกับลมแล้วโดยสมบูรณ์

ทุกที่ที่พัดผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างเหี่ยวเฉาทันที กระทั่งก้อนหินยังมีเสียงดังแซ่ดๆ ออกมา เหมือนถูกกัดกิน

เสียงโหยหวนน่าสังเวชดังสะท้อนก้องขึ้นมาทันทีในเสี้ยวขณะนี้

ทั้งสำนักวัชระน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ไอพลังประหลาดเข้มข้นลอยตลบ สรรพสิ่งทุกอย่างแปดเปื้อน พิษหลอมรวมอยู่ในหมอกปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ รวมกับไอพลังประหลาดเกิดเป็นความน่าหวาดกลัวมหาศาล

และทุกอย่างนี้เกิดขึ้นภายในเวลาร้อยอึดใจสั้นๆ เท่านั้น ความเร็วของมันยากจะทำให้คนตั้งตัวได้ทัน สำนักวัชระตกอยู่ในความวุ่นวายทันที

ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งในนั้นคิดอยากแย่งกันหนี แต่พิษที่นี่รุนแรงเหลือเกิน ต่อให้กินลูกกลอนแก้พิษลงไปแล้วก็ยังไม่มีประโยชน์มากเท่าไรนัก ไม่นานก็มีคนเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ร้องโหยหวนคร่ำครวญ

ยังมีบางส่วนที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว คนที่เหลือก็ไล่ตามสวี่ชิงไปภายใต้เสียงคำรามกราดเกรี้ยวของเจ้าสำนัก

เพียงแต่ตอนนี้สำนักวุ่นวาย ทั้งสวี่ชิงยังเร็วมากอีกด้วย อาศัยความวุ่นวาย บินฉวัดเฉวียนสามสี่ทีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย คนอื่นๆ อยากออกจะค้นหา แต่ตอนนี้ก็มีแสงไฟฉายวาบขึ้นมาจากบริเวณที่ไม่ห่างไกลมากนัก

ภาพนี้ทำเอาคนหนังศีรษะชาวาบ เจ้าสำนักวัชระยิ่งหวาดกลัวสุดขีด ไม่มีกระจิตกระใจไปไล่ตามสวี่ชิงแล้ว รีบเรียกลูกศิษย์ไปดับไฟ

แต่…แสงไฟไม่ได้มีแค่ที่เดียว ไม่นานนักก็มีจุดไฟจุดแล้วจุดเล่าปรากฏขึ้นในสำนักแห่งนี้ไม่หยุด เปลวเพลิงลุกโหมเริ่มเผาไหม้

“ไอ้เด็กน้อย!!” เจ้าสำนักวัชระส่งเสียงน่าสังเวชออกมา ความเคียดแค้นพุ่งถึงขีดสุด แต่หาตัวไม่เจอ ทำได้แค่ดับไฟอย่างสุดกำลัง

ในขณะเดียวกันนี้ เงาร่างของสวี่ชิงก็เหยียบย่างเข้าไปในสิ่งก่อสร้างงดงามหรูหราต่างๆ ในสำนักวัชระ หลังจากเข้าไปกวาดค้นเอาของแล้ว ก็ทำการวางเพลิงก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่นานนัก ท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ สวี่ชิงเห็นตัวอักษรบนป้ายข้างบนที่หน้าสิ่งก่อสร้างที่เห็นได้ชัดว่ายิ่งงดงามหรูหราขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง

“หอเก็บสมบัติรึ” สวี่ชิงตาจ้องเขม็ง หลังจากที่เข้าไปใกล้ก็ยกมือขวาแล้วชกออกไปหมัดหนึ่ง

ประตูหอเก็บสมบัติระเบิดออกทันที ลมพิษจากภายนอกทะลักเข้าไปข้างใน สวี่ชิงก้าวตามเข้าไปมองเห็นชั้นตั้งเรียงรายเป็นแถวๆ อยู่ข้างใน

บนชั้นมีลูกกลอนประเภทต่างๆ เหรียญวิเศษและของวิเศษล้ำค่าวางอยู่

สวี่ชิงกวาดตามอง ใจเต้นโครมครามบ้าคลั่ง รีบไปกวาดเอาทุกอย่างที่ขนไปได้ทันที หลังจากที่กวาดค้นเสร็จก็จะจากไป

แต่สายตาของเขาพลันจ้องเพ่ง สังเกตเห็นลมพิษโจมตีคืบคลานไปตามรอยแยกที่มองไม่เห็นบนกำแพงด้านในหอเก็บสมบัติ แล้วก่อเป็นโครงร่างเหมือนประตู เหมือนว่าตรงนั้นมีประตูลับบานหนึ่ง

สวี่ชิงจึงเลิกคิ้ว เดินไปถีบประตูลับเกิดเป็นรอยแยกท่ามกลางเสียงดังสนั่น แต่กลับไม่ระเบิดออก

สวี่ชิงร้องเอ๊ะเบาๆ ประกายเย็นเยือกในดวงตาฉายวาบ เสียงกร๊อบๆ ดังออกมาจากในกาย เงาขุยพลันปรากฏออกมาข้างหลัง ในขณะที่คำรามออกมาอย่างไร้เสียงก็ผสานไปกับมือขวา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นหมัดชกออกไปอย่างสุดกำลัง

เสียงตูมสนั่นหวั่นไหว ประตูลับพังทลาย เผยห้องลับห้องหนึ่งออกมา

วัตถุข้างในมีไม่มาก มีแค่ถุงผ้าขนาดฝ่ามือใบหนึ่งเท่านั้น

สวี่ชิงแปลกใจเล็กน้อย ยกมือจะเอื้อมไปคว้า

แต่ในตอนนี้เอง ใต้ถุงผ้าก็พลันมีฉายประกายแสงเจิดจ้าฉายออกมา แต่ละเส้นๆ ก่อเป็นรูปซับซ้อนบนพื้น แล้วเกิดเป็นคมพายุหมุนวนลอยขึ้นตามแสงที่ส่องกะพริบ ขวางมือที่เอื้อมมาคว้าของเขา

สวี่ชิงชักมือกลับทันที มองถุงผ้าที่อยู่ในคมพายุ ดวงตาก็ฉายประกายประหลาดออกมา เขารู้สึกว่าของสิ่งนี้จะต้องเป็นของวิเศษล้ำค่าแน่ๆ ดังนั้นสายตาจึงกวาดไปมองรูปที่เกิดขึ้นจากเส้นแสงใต้ถุงผ้า

“นี่คืออะไร” สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังวิญญาณบนนั้นเขาก็แค่นเสียง หยิบเอาลูกกลอนดำที่เหลือเพียงสองเม็ดของตัวเองออกมา แล้วบีบจนแตกละเอียด

ทันใดนั้นไอพลังประหลาดก็ปะทุออกมา ซัดโหมไปรอบๆ กวาดม้วนออกไปปกคลุมห้องลับ รูปที่สว่างขึ้นมาบนพื้นที่ตอนนี้ส่องกะพริบแสงเจิดจ้า ยังไม่อาจต้านทานการถูกกัดกินได้ สุดท้ายก็หม่นแสงลงไป แล้วดับท่ามกลางเสียงแครกๆ

สวี่ชิงคว้าถุงผ้าอย่างไม่ลังเล ร่างเพียงไหววูบก็ไปจากหอสมบัติ

ตอนนี้ที่นี่วุ่นวายไปทั่ว เต็มไปด้วยเสียงร้องคร่ำครวญ สำนักวัชระตลบอบอวลไปด้วยไอพลังประหลาดและลมพิษ แสงเพลิงพวยพุ่ง สวี่ชิงสีหน้าเย็นชา ร่างพลันลอยขึ้นท่ามกลางแสงของยันต์บินที่กะพริบวูบวาบ กำลังจะจากไป

เขารู้ดีว่าต่อให้ในสำนักวัชระตอนนี้ไม่มีบรรพจารย์อยู่ แต่ตัวเองแค่ได้เปรียบจากการลอบโจมตีเท่านั้น หากอยู่ต่อไปก็จะเป็นอันตราย

และการมาเยือนของเขาครั้งนี้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อฆ่าคน แต่เพื่อทำลายสำนักวัชระ แย่งชิงไปได้เท่าไรก็เท่านั้น ตอนนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว เขาจึงระเบิดความเร็วพุ่งจากไปในท้องฟ้า

แต่ตอนนี้มีเสียงคำรามอย่างโมโหดังลอยมา เจ้าสำนักวัชระในหมอกผมกระเซิงสยาย พุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงร่างอยู่กลางอากาศ ก้มหน้า จิตสังหารในดวงตาฉายวาบ พลังเคล็ดวิชาคีรีสมุทรขั้นเจ็ดปะทุ เงาขุยปรากฏออกมาข้างหลัง ชกหมัดไปยังเจ้าสำนักวัชระที่ประชิดเข้ามา

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าสำนักวัชระร่างถอยไปข้างหลังท่ามกลางเสียงคำราม กำลังจะบุกเข้าต่อ แต่เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาดาบสีม่วงก็ก่อขึ้นข้างหน้าสวี่ชิง

ดาบสวรรค์ฟันลงมา

ฟันไปยังเจ้าสำนักวัชระทันที

เจ้าสำนักวัชระหน้าเปลี่ยนสี ร่างพลันถอยหลังกลับไปในลมพิษและหมอกไอพลังแปลกประหลาด ส่วนแสงดาบสีม่วงก็ไล่ตามไปทันใด

สวี่ชิงไม่ได้ไล่ตามไป แววตาฉายกะพริบแล้วถอยหลังไปทันที แปลงเป็นรุ้งพุ่งไปในท้องฟ้า จากไปไกลอย่างรวดเร็ว

และในเสี้ยวขณะที่เขาจากไป เงาร่างเจ็ดแปดร่างก็พุ่งออกมาจากหมอกที่เจ้าสำนักวัชระถอยเข้ามา แต่ละคนต่างโจมตีออกไปอย่างสุดกำลัง

ความรุนแรงของพลังโจมตีทำให้ท้องฟ้าเหมือนจะระเบิด เสียงดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว เกิดเป็นรอยยุบ เทียบได้กับพลังของระดับสร้างฐาน

หากสวี่ชิงไม่จากไป แต่ไล่ตามไปล่ะก็ น่ากลัวว่าคงถูกซัดเข้าที่ร่างอย่างแน่นอน

ส่วนเงาร่างเจ็ดแปดร่างนั้นล้วนเป็นคนชราทั้งสิ้น ตอนนี้สีหน้าล้วนขาวซีด เลือดสดๆ กระอักออกมา เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่สำเร็จได้จากเคล็ดวิชาลับที่พวกเขาจะต้องร่วมมือกัน

ตอนนี้เห็นสวี่ชิงหนีไป พวกเขาลังเลว่าจะตามไปหรือไม่

“ผู้คุ้มกฎทั้งเจ็ดไม่ต้องตามไปแล้ว” เจ้าสำนักวัชระโซซัดโซเซออกมาจากหมอก แขนข้างหนึ่งขาด ตอนนี้เลือดไหลริน ใบหน้าเขาขาวซีด ร่างจวนเจียนจะทรุดเต็มที

“ไอ้โจรนั่นระวังตัวเองเหลือเกิน ไม่ได้ไล่สังหารตามข้าเข้ามา ตอนนี้เรื่องสำคัญของพวกเราคือสลายลมพิษและไอพลังประหลาดในสำนักให้เร็วที่สุด จากนั้นรอท่านบรรพจารย์กลับมา!”

เจ้าสำนักวัชระอัดอั้นแน่นอก กัดฟันกรอด เมื่อครู่เขาคิดจะหลอกล่ออีกฝ่ายไม่สนอาการบาดเจ็บ แต่กลับล้มเหลว

ผู้อาวุโสเจ็ดแปดคนนั้นต่างไม่พูดไม่จา มีคนก้าวไปพยุงเจ้าสำนัก มองสำนักที่ตอนนี้ยังวุ่นวาย สีหน้าพวกเขาก็งุนงงสับสนไปเช่นกัน ก่อนจะถอนหายใจออกมา ทำได้แค่พยายามสลายลมพิษและหมอกไปให้ได้มากที่สุด

กาลเวลาไหลไป ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งวัน

ยามเมื่อสายันห์มาเยือน ในที่สุดพิษและไอพลังประหลาดในสำนักก็สลายไปกว่าครึ่ง อย่างแรกใช้วิชาเวทสายวายุจำนวนมหาศาลจากลูกศิษย์สลายไป ส่วนอย่างหลัง…ทำให้พวกเขาจำต้องบีบเหรียญวิญญาณแตกละเอียด ใช้พลังวิญญาณบริสุทธิ์ไปเจือจาง

ค่าใช้จ่ายมหาศาล

ทั่วทั้งสำนัก…พังเสียหายไปหมด แม้แต่ตำหนักใหญ่บนยอดเขายังกลายเป็นซากปรักหักพัง สิ่งก่อสร้างส่วนมากพังถล่ม ทุกที่ล้วนมีร่องรอยไฟไหม้

คิดอยากจะฟื้นฟูกลับคืนใหม่ ค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นกัน

สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือไอพลังประหลาดในร่างของลูกศิษย์สำนักวัชระทุกคนเข้มข้น ตอนนี้ร่างดำคล้ำกันหมด จำต้องใช้ลูกกลอนขาว กระทั่งว่าต้องใช้ลูกกลอนล้างธุลีมาจัดการด้วยซ้ำ

เจ้าสำนักและผู้คุมกฎทั้งหลายของสำนักวัชระต่างอยู่ในความเหนื่อยล้าและอัดอั้น ปลายขอบฟ้าไกล รุ้งเส้นยาวพาดผ่านมา

บรรพจารย์สำนักวัชระกลับมาแล้ว

สภาพเขาน่าสังเวชอเนจอนาถเช่นกัน ร่างมีบาดแผลหลายแห่ง ผมกระเซิงหลุดรุ่ย สะกดโทสะ หลังจากที่หนีออกมาจากเขตพื้นที่ต้องห้าม เขาก็ตัดสินใจแล้วว่า จากนี้เขาจะต้องฆ่าเด็กนั่นให้ได้โดยไม่เสียดายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

จวบจนเห็นสำนักมาจากที่ไกลๆ เขาก็อึ้งตะลึงไปกลางอากาศ รีบเร่งความเร็วเข้ามาในพริบตา ก้มหน้าลงไปจากท้องฟ้าเหนือสำนัก มองซากปรักหักพังที่ใต้เท้าตัวเองอย่างเหม่อลอย

“ท่านบรรพจารย์…” ลูกศิษย์สำนักวัชระเมื่อเห็นร่างของบรรพจารย์แต่ละคนต่างร่ำรำพันออกมา

“ท่านบรรพจารย์ เด็กนั่นอาศัยช่วงที่ท่านไม่อยู่มาก่อความวุ่นวายสำนักเรา พวกลูกศิษย์บาดเจ็บล้มตายสาหัส”

“ท่านบรรพจารย์ หอเก็บสมบัติของพวกเราก็ถูกเจ้าโจรนั่นกวาดไปจนเกลี้ยงแล้ว สิ่งที่เอาไปไม่ได้ก็แปดเปื้อนไอพลังประหลาดหมดแล้ว”

“ท่านบรรพจารย์ เด็กนั่นไม่มีความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย พวกลูกศิษย์จำนวนมากมายถูกพิษร้ายแรง ยากจะกำจัดพิษ”

มีเพียงเจ้าสำนักและผู้คุมกฎเท่านั้นที่เงียบนิ่งไม่พูดจา

ฟังเสียงร่ำรำพันของเหล่าลูกศิษย์ บรรพจารย์สำนักวัชระมองสำนักที่เสียหายวายวอด มองลูกศิษย์ที่น่าสังเวช แล้วก็มองเจ้าสำนักที่เสียแขนไปและผู้คุมกฎที่แค่ละคนได้รับบาดเจ็บ ร่างก็ค่อยๆ สั่นเทิ้มขึ้นมา

สีหน้าเปลี่ยนจากดำคล้ำเป็นขาว แล้วเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเขียวคล้ำ ร่างซวนเซ กระอักเลือดออกมาคำโตอย่างไม่อาจควบคุมได้

ลมหายใจถี่กระชั้น มือทั้งสองของเขากำแน่น ดวงตาแดงก่ำจนเหมือนจะกินคน เงยหน้าส่งคำรามเหี้ยมโหด

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เสียงคำรามสะท้อนก้องราวกับสายฟ้าฟาด แต่กลับส่งไปไม่ถึงค่ายส่งข้ามเมืองเขากวางตอนนี้

ในเมืองเขากวาง ข้างค่ายกลส่งข้าม สวี่ชิงเข้าแถวอยู่ตรงนั้น

ข้างหน้าเขาเป็นค่ายกลส่งข้ามขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง

ค่ายกลทรงแปดเหลี่ยมนี้สร้างขึ้นบนเวทีเวทแห่งหนึ่ง ข้างในสลักอักขระไว้นับไม่ถ้วน ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ส่องกระพริบก็จะทอแสงหมื่นจั้ง พลังท้วมท้น

รอบๆ ยังมีองครักษ์ที่พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดาอีกจำนวนหนึ่ง มองพวกเขาเหล่านี้ที่เข้าแถวอยู่อย่างเย็นชา ประกายเย็นเยียบในดวงตาเหมือนว่าหากพวกเขามีจิตคิดไม่ซื่อ ก็จะสังหารทิ้งที่นี่ทันที

ไม่นานนัก เมื่อการส่งข้ามของคนข้างหน้าหายไป ในตอนที่ถึงตาสวี่ชิง เขาก็มองไปยังลานเวทที่ค่ายกลส่งข้ามตั้งอยู่

จนเมื่อเดินไปบนลานเวท ก้าวเข้าไปในค่ายกลส่งข้ามที่ซับซ้อนแล้ว สวี่ชิงก็หมุนตัวมองไปทางดินแดนที่อาศัยมาหลายปีแห่งนี้

ตอนนี้เป็นช่วงโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดทอผืนดิน ลมเดือนเจ็ดที่แฝงไอร้อนไว้ด้วยพัดมา พัดเอาเส้นผมที่ปรกดวงตาออกไป ทำให้เขามองโลกใบนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เขามองไปทางเมืองร้าง แล้วมองไปทางฐานที่มั่นคนเก็บกวาด สุดท้ายก็กวาดตาไปทางสำนักวัชระอย่างเย็นชา

“ได้พบกันอีกแน่”

สวี่ชิงพึมพำ ในสายตาที่เย็นชายิ่ง ประกายแสงของค่ายกลส่งข้ามกะพริบสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนลำแสงมหาศาลปะทุ ท่วมจมทุกสิ่งรวมไปถึงเงาของสวี่ชิง

เสี้ยวพริบตาต่อมา ในยามที่แสงของค่ายกลส่งข้ามหายไป สวี่ชิงที่อยู่ในนั้นก็หายไปแล้ว