บทที่ 25 ความจริงในอดีต
เมื่อเห็นพระชายาเกรี้ยวจนแทบจะกระทืบเท้าอยู่รอมร่อ ชิงอวี่จึงแอบยิ้มอยู่ในใจ ทว่าใบหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ชิงอวี่ไม่กล้าพูดปด หากพระชายาไม่เชื่อ ลองตรวจสอบดูก็ได้เจ้าค่ะ”
โม่หานเยียนไม่พูดอันใดอีก ทว่าสายตาที่มองไปยังชิงอวี่ทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยม เด็กคนนี้ทำนางอับอายขายหน้า เรื่องเช่นนี้น่าโมโหยิ่ง!
“ฮะ ๆ คงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันกระมัง” ไป๋ฉิงเห็นว่าบรรยากาศตึงเครียดจัดจึงเปล่งเสียงหัวเราะอ่อน ๆ ออกมาเพื่อบรรเทาสถานการณ์ และลุกขึ้นไกล่เกลี่ย “พระชายาเก็บตัวหลายปี ถึงจะยังคอยดูแลเรื่องในจวนอ๋อง แต่เมื่อต้องดูแลคนจำนวนมากย่อมมีเรื่องบางอย่างถูกมองข้ามไปบ้าง คงเป็นเพราะพวกข้ารับใช้ทำงานเลินเล่อจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปให้พ่อบ้านจัดการเรื่องนี้ก็พอ”
ระหว่างพูด นางก็มองเด็กสาวที่มีใบหน้าโศกเศร้าด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง มีพระชายาคอยดูแล ต่อจากนี้พวกเจ้าจะไม่ถูกปฏิบัติเยี่ยงนั้นอีก”
“ขอบพระทัยพระชายารอง ขอบพระทัยพระชายาเอก” ชิงอวี่ส่งสายตาขอบคุณให้ไป๋ฉิง จากนั้นหันมามองโม่หานเยียนอย่างมีความหวัง
ไป๋ฉิงช่วยพูดให้ถึงขนาดนี้ หากโม่หานเยียนไม่ลงมือแก้ปัญหาเรื่องเด็กสาว นางคงได้กลายเป็นพระชายาใจดำ ไม่มีใจเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
โม่หานเยียนสูดหายใจเข้าลึก พยายามกดความโกรธที่พลุ่งพล่านที่มีอยู่เต็มอกอย่างยากเย็น นางกัดฟันกรอดและพูดลอดไรฟัน “ในฐานะพระชายา….. ข้ารับรองเจ้าได้”
“เหยียนเฟย”
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ พระชายามีคำสั่งใด?”
“นำคำข้าลงไป จากนี้ต่อไป ทุกอย่างที่เรือนสงบเงียบกิน สวมใส่ ใช้ และอาศัย จะต้องมีคุณภาพเท่าเทียมกับคุณหนูคนอื่น ๆ ในจวนอ๋อง เหล่าข้าทาสบริวารต้องรู้ว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว หากมีข้ารับใช้คนใดทำผิด ไม่รู้จักที่ถูกที่ควร กล้าล่วงเกินเจ้านาย จะถูกไล่ออกจากจวนอย่างไม่มีข้อยกเว้น หากมีข่าวเช่นนี้กระจายออกไปจากจวนอ๋องจะมีคนครหาได้”
แต่เมื่อเทียบกับการที่ต้องสร้างเรือนสงบเงียบขึ้นใหม่ ต้องมีการก่อสร้างใหญ่ในจวนอ๋อง เช่นนี้ยังดีกว่ามาก
“เช่นนี้ เจ้าพอใจหรือไม่?” โม่หานเยียพูดเย้ยหยัน “ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องต้องการสร้างเรือนสงบเงียบเสียใหม่ พวกเจ้าน่าจะรู้ว่านั่นหมายถึงจำต้องใช้เงินและเวลามาก…..”
“พระชายาโปรดวางใจ ข้าจะไปพูดกับท่านพ่อแน่นอน ข้ากับน้องชายอยู่ที่เรือนสงบเงียบมาจนชิน ไม่ต้องการให้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” ชิงอวี่เดาสิ่งที่นางกำลังจะพูดต่อไปออก ดังนั้นจึงรีบพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เมื่อมองหน้าเด็กสาวที่ปรากฏรอยยิ้มเชื่อฟังผู้นี้ ในใจโม่หานเยียนพลันรู้สึกเหมือนเสียรู้เสียอย่างงั้น
ทว่านางกลับปัดความคิดนั้นทิ้งไป เจ้าเด็กคนนี้มีดีเพียงหน้าตางดงาม ฮึ่ม! หากเป็นเรื่องความนึกคิดยังไม่อาจทัดเทียมนางได้
สตรีนางนั้นชิงเอาใจท่านอ๋องไป นางจะไม่นั่งรอความตาย ปล่อยให้ลูกทั้งสองคนของสตรีนางนั้นแย่งความสนใจไปจนหมดหรอก!
หลังจากนั้น ภายใต้บรรยากาศอิหลักอิเหลื่อ สตรีทุกนางต่างกินอาหารมื้อที่กดดันและน่าอึดอัดใจที่สุดลงไป หากพวกนางเมินเฉยต่อมารยาทบนโต๊ะอาหารที่สิ้นหวังของสองพี่น้องจากเรือนสงบเงียบ นอกจากใบหน้าโม่หานเยียนที่เปลี่ยนสีไปมาราวกับเป็นถาดสีแล้ว ทุกอย่างก็นับว่าไม่เลวนัก
หากแต่จากนี้ต่อไป โม่หานเยียนคงไม่เชิญเด็กสองคนนี้มาร่วมโต๊ะที่เรือนใหญ่อีก แค่มองนางก็รู้สึกรังเกียจจนแทบจะทนไม่ไหว
ทว่าเมื่อเทียบกับการที่ไม่ต้องเสียเงินในการปรับปรุงเรือนสงบเงียบเสียใหม่แล้ว นับว่าคุ้มค่ากว่านัก ไม่คุ้มค่าเพียงโม่หานเยียน หากแต่คนอื่น ๆ ก็จะยินดีปรีดาด้วยเช่นกัน ด้วยเงินจำนวนนั้นสามารถนำมาซื้อชุดงาม ๆ ใส่ไปได้ทั้งฤดู
ยามที่ต้องเดินทางมาร่วมมื้ออาหารที่เรือนใหญ่ ชิงอวี่เดินทอดน่องจากเรือนสงบเงียบอย่างไม่ร้อนใจ ใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม หากแต่ขากลับนางกลับใช้วิชาลับ โยกย้ายมิติเพียงครั้งก็สามารถกลับมาถึงเรือนสงบเงียบภายในพริบตา
เมื่อไม่มีสายตาคนนอก ชิงเป่ยจึงเลิกแกล้งพิการ ลุกขึ้นเดินนำหน้าชิงอวี่ “พี่ ท่านแสดงละครตบตา กินเข้าไปตั้งเยอะ ไม่รู้สึกไม่สบายตัวบ้างหรือ?”
ถึงจะเป็นเพียงการแสดงละคร ทว่านางก็ทำจนเกินไป ปกตินางไม่ใช่คนทานเยอะอะไร ชิงเป่ยไม่เคยเห็นนางทานเข้าไปมากขนาดนี้มาก่อน อาหารพวกนั้นต่างเป็นเนื้อมันเยิ้ม ตัวเขาเองยังกินไปเพียงนิดหนึ่งเท่านั้น
“ข้าไม่ได้กินอะไรเลย!” ชิงอวี่กล่าวก่อนกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
“ข้าเห็นท่านกินไปตั้งมาก!” ชิงเป่ยเบิกตากว้างจ้องนาง พวกเขานั่งอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันเพียงนิด เขาจะมองพลาดไปได้อย่างไร?
“ข้าไม่ได้กินอะไรไปจริง ๆ” ชิงอวี่แบมือยักไหล่ “ข้าสับมือแวบเดียว อาหารก็ถูกปัดออกไป ไม่เข้าปากข้าแล้ว ข้าไม่ได้กินสักคำ”
“ว่าไงนะ?” ชิงเป่ยทำหน้าไม่เชื่อ “ปัดไปที่ใด??”
“เจ้ารู้จักพวกสุนัขนิสัยดุร้ายพวกนั้นในจวนอ๋องหรือไม่? ข้าเอาเนื้อให้พวกมันหมด ตอนนี้คงจะนอนอิ่มพุงกางไปแล้วกระมัง!” ชิงอวี่พูดพร้อมหัวเราะ
เมื่อบำเพ็ญวิชาฝังวิญญาณจนถึงระดับหนึ่ง คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องกินดื่มอันใดก็ได้ เมื่อสมัยที่นางบำเพ็ญวิชานี้ ทั้งเดือนไม่ดื่มน้ำสักหยดก็นับเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นทุกครั้งที่นางกินข้าว นางก็จะกินเข้าไปเพียงนิดเท่านั้น นางไม่ได้กินเพื่อให้ท้องอิ่มทว่าเป็นเพราะเหงาปาก เพียงแค่อยากหาอะไรมาเคี้ยวดับความอยากเท่านั้น
ได้ยินดังนั้น ชิงเป่ยจึงพยักหน้าเข้าใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็กังวลว่าท่านจะทานเยอะ จนไม่สบายท้อง!”
“เจ้าโง่ เจ้าเห็นข้าเป็นพวกที่จะหลอกผู้อื่นแล้วลากตนเองไปทรมานด้วยงั้นหรือ?” ชิงอวี่กลอกตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง
จากนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มเขินอายออกมา
ชิงอวี่นั่งลง รินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วยก่อนยกขึ้นจิบ จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เป็นเช่นนี้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มาหาเรื่องเราสักพัก จากนี้ไปข้าเชื่อว่านางคงรู้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่คนที่จะยอมให้ถูกรังแกได้ง่าย ๆ แต่หากแค่การปรับปรุงเรือนสงบเงียบยังสามารถดึงให้นางออกจากเรือนตนเองได้ ข้าสงสัยนักว่าสตรีผู้นั้นยอมทิ้งศักดิ์ศรีตนเอง ที่สงบปากสงบคำอยู่หลายปีได้อย่างไร”
เมื่อนางพูดจบ ก็เห็นว่าชิงเป่ยกำลังจ้องนางหน้าขรึมอยู่ ไม่รอให้นางต้องเอ่ยปากถาม เขาถอนหายใจยาวออกมาก่อนพูดขึ้น “ถึงท่านจะคอยพูดอยู่ตลอด….. ว่าท่านไม่ใช่ชิงอวี่ตัวจริง ทว่าเมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าข้าจำต้องเชื่อคำท่านจริง ๆ เสียแล้วว่า….. ชิงอวี่ ….. ไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
“ท่านแม่ของเรา หลังจากให้กำเนิดพวกเราแล้วก็สิ้นใจไป พระชายาริษยา เกลียดชังท่านแม่มาโดยตลอด ดังนั้นถึงท่านแม่จะไม่อยู่แล้ว พระชายาก็ยังเกลียดสถานที่ที่ท่านแม่เคยอาศัย และเกลียดลูก ๆ ของนาง” ชิงเป่ยมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมาก ใบหน้าหล่อเหลาและนัยน์ตาปลายเฉียงขึ้นของเขาจ้องมองนางนิ่ง “ที่จริงแล้ว ชิงอวี่และตัวข้า….. ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านพ่อ แต่ความจริงเรื่องนี้….. มีเพียงท่านพ่อกับพระชายาเอกเท่านั้นที่รู้”
มือทั้งสองข้างของเขาพลันกำเป็นหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังกดความรู้สึกบางอย่างไว้ภายใน เขากำมือแน่นมากจนกระทั่งเส้นเลือดที่หลังมือพากันปูดโปนขึ้นมา
ชิงอวี่ไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่มองเขาอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้เด็กหนุ่มคงจะอัดอั้นมากด้วยต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ตนเองไม่อยากนึกถึง
สิ่งที่นางทำได้ มีเพียงรับฟังเขาด้วยความตั้งใจเท่านั้น
“ข้าเพิ่งจะรู้ความจริงตอนที่แอบได้ยินพระชายาคุยกับข้ารับใช้”
เด็กหนุ่มหลับตา น้ำเสียงพลันแหบพร่า “โชคร้ายที่นางดันเจอตัวข้าเข้าเสียก่อน จึงสั่งให้คนหักขาข้าและกรอกยาพิษที่ทำให้ข้ากลายเป็นคนปัญญาอ่อน”
“ปีนั้นข้าเพิ่งอายุได้ห้าขวบ”
“ช่วงเวลาที่เด็กคนอื่น ๆ ได้หัวเราะสนุกสนาน วิ่งเล่นกันจนเหนื่อยหอบ ข้ากลับต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นเหมือนกับนกถูกเด็ดปีกที่อยากโผบิน ทำได้เพียงวาดฝันเท่านั้น”
ยามเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาเขาก็แดงก่ำ เส้นเลือดสีแดงในนัยน์ตาทำให้ชิงอวี่สัมผัสถึงความโศกเศร้าของเด็กหนุ่มที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ใจนางพลันรู้สึกวูบวาบ ความเกลียดชังจากเด็กหนุ่มถาโถมเข้าสู่ร่าง ชวนให้นึกถึงความรู้สึกที่เหมือนกันกับตนเองเมื่อชาติก่อน
มองย้อนกลับไปเมื่อชาติก่อน ชิงอวี่เองก็ถูกครอบครัวที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดหักหลัง ถูกคนในตระกูลหลอกใช้ ทว่านางใช้ชีวิตเช่นนั้นมาตั้งแต่ยังเล็ก หัวใจนั้นได้เหือดแห้งตายจากนางไปนานแล้ว ไม่มีความรู้สึกอันใดต่อเรื่องเหล่านี้อีก
จนถึงตอนสุดท้าย ตอนที่ความหวังสุดท้ายของนางถูกทำลายลง นางเพียงรู้สึกว่าตนเหนื่อยล้ากับโลกที่แสนโสมแห่งนั้นยิ่งนัก ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไปเพียงแค่นั้น
แก้แค้นหรือ?
นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน
พลังอำนาจที่นางเคยมีเมื่อตอนนั้น หากต้องการกวาดล้างโลกใบนั้นย่อมง่ายดายเพียงกระดิกนิ้ว
แต่ถึงโลกใบนั้นหายไป แล้วอย่างไรต่อล่ะ?
สุดท้ายนางก็ยังเหลืออยู่ตัวคนเดียวมิใช่หรือ ยังต้องใช้ชีวิตอันสับสนยุ่งเหยิงของตนต่อไปอย่างไร้ความหมาย
ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะตายอย่างเงียบ ๆ เมื่อนางตายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนพยายามในเรื่องใดอีก ไม่ต้องวางแผนหลอกลวงอีก ไม่ต้องเห็นใบหน้าน่ารังเกียจของเหล่าคนเสแสร้งพวกนั้นอีก หากนางตายไปเงียบ ๆ โลกจะได้สงบสุขเสียที
หึ….. นางเคยเป็นคนจิตใจสูงส่งเช่นนั้นเลยหรือ?
ฮ่า ๆ บางทีคนที่เสแสร้งอาจจะเป็นตัวนางเองที่คิดอยู่ตลอดว่าตนเป็นนักบุญ ผู้โอบกอดทุกชีวิตในใต้หล้า
แต่ก็ยังมีเรื่องบางสิ่งที่นางไม่อาจมีกำลังทำได้
อย่างเช่นตอนที่นางต้องเห็นเพื่อนพวกนั้นที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจต้องทอดทิ้งชีวิตไปเพราะนาง นอกจากมองลมหายใจสุดท้ายของพวกเขาหลุดลอยไปแล้ว นางก็ไม่มีพลังอำนาจทำสิ่งใดได้อีก
ดังนั้นยามได้เกิดใหม่มายังโลกแห่งนี้ นางจึงเชื่อในสิ่งสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือใช้ชีวิตอยู่เพื่อตนเอง เพื่อผู้คนที่นางอยากปกป้อง ทว่าก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ นางจำเป็นต้องมีทั้งความแข็งแกร่งและพลังอำนาจเหนือใครเสียก่อน!
ชิงอวี่ยื่นมือออกไปแตะเปลือกตาที่แดงก่ำนั้น “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะเสี่ยวเป่ย ข้าจะทำให้คนเหล่านั้นต้องชดใช้กับความเจ็บปวดทุกอย่างที่เจ้าต้องฝืนทนไปทีละนิดเอง”
ร่างของเด็กหนุ่มเกร็งไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะผ่อนคลายลง เปลือกตาใต้นิ้วเรียวของนางกะพริบเบา ๆ สองที “ท่าน….. จะคอยอยู่ข้างกายข้า….. ใช่หรือไม่?”
นางเคยบอกว่านางเป็นวิญญาณจากต่างโลก เช่นนั้นวันหนึ่งนางจะหายไปหรือไม่?
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจของเขา ชิงอวี่ก็เอื้อมมือไปกอดร่างของเด็กหนุ่มไว้อย่างแผ่วเบา “แน่นอน ข้าจะคอยอยู่ข้างกายเจ้า”
ชาติก่อนที่นางสิ้นใจลง เป็นเพราะนางไม่มีห่วงใดเหลืออยู่ ทว่าในชีวิตใหม่นี้ นางจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาข่มขู่ทำร้ายนางหรือคนที่นางรักและหวงแหนได้
หากมีสิ่งใดที่ขวางทาง นางย่อม….. ทำลายล้างสิ่งเหล่านั้นให้สิ้นไป!
—————
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ วังขององค์รัชทายาทได้มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน
ส่วนตัวตนของแขกผู้มีเกียรติผู้นั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ทว่าทั้งอาหารเลิศรสและเหล้าชั้นดีต่างถูกส่งเข้าไปที่ตำหนักอยู่ทุกวัน เหล่าข้ารับใช้ทำงานของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังเคารพนบน้อม ไม่กล้าเกียจคร้านแม้เพียงนิด
ในตอนนั้นเอง บนเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ทั้งอบอุ่นและงดงามภายในสวนสวยแห่งหนึ่ง มีบุรุษผู้หนึ่งกำลังเอนหลังหลับตาพริ้ม งีบหลับสบายอยู่
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านนอก เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้น
คนผู้หนึ่งผลักประตูเดินเข้ามา ร่างผอมสูงในชุดยาวสีงาช้าง ปักด้วยลายมังกร มีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนกำลังเดินเข้ามา คือองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อนั่นเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง? ยังไม่สบายตรงไหนอยู่อีกหรือไม่?” ซวนหยวนเช่อถาม เอื้อมมือไปจับชีพจรของบุรุษที่นอนอยู่บนเก้าอี้
บุรุษผู้นั้นดึงมือตนกลับ ก่อนมองซวนหยวนเช่อด้วยสายตารังเกียจ “ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร เจ้านี่พูดมากจริง”
ขมับซวนหยวนเช่อถึงกับกระตุก เขาพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขัน “เจ้าคิดว่าข้าอยากยุ่งกับเจ้านักหรือ? หากเจ้ามาตายในตำหนักข้า คงมีปัญหาไม่น้อยตามมาก็เท่านั้น”