ตอนที่ 49 กลุ่มอาการเส้นลมปราณตับติดขัดจากความเย็น

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 49 กลุ่มอาการเส้นลมปราณตับติดขัดจากความเย็น

ตอนที่ 49 กลุ่มอาการเส้นลมปราณตับติดขัดจากความเย็น

เมื่อเห็นฉินเคอวั่งกลับมา ฉินมู่หลานจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เคอวั่ง นายกลับมาก็ดีแล้ว พี่เอาหนังสือบางส่วนมาให้นาย มีบางเล่มที่นายต้องศึกษาดูให้มาก”

ฉินเคอวั่งได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ได้ ผมจะทบทวนดี ๆ เลย” แต่หลังจากเอ่ยจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้ง “พี่ แล้วพวกเราจะไปขึ้นเขาอีกตอนไหน?”

“ตอนนี้ยังไม่ไป รออีกสักสองวัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเคอวั่งก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างนิดหน่อย “งั้นก็ได้ สองวันนี้ผมจะอ่านหนังสือแล้วกัน”

ซูหว่านอี๋มองลูกชายของตนด้วยท่าทางขบขัน ก่อนจะมองไปที่ลูกสาวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มู่หลาน เย็นนี้อยู่กินข้าวที่บ้านเถอะ”

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ กว่าจะถึงมื้อเย็นก็อีกตั้งหลายชั่วโมง หนูว่าจะกลับไปเขียนบทความก่อน”

เมื่อเห็นลูกสาวเอ่ยเช่นนั้น ซูหว่านอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบ “มู่หลาน อย่าโหมงานมากเกินไป ทั้งเขียนบทความ ทั้งขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร แม่เห็นลูกซูบผอมลงไปเยอะมาก ทำแค่เรื่องเดียวก่อนดีกว่า”

หล่อนไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย วันนี้ตอนที่ได้คุยและมองดูลูกสาวก็พบว่าเสื้อผ้าของลูกหลวมลงไปมาก เมื่อมองดูดี ๆ จึงพบว่าเห็นมิติโครงหน้าของลูกสาวได้ชัดเจนขึ้นแล้ว

ถึงแม้ว่าลูกสาวจะเคยบอกว่าอ้วนเกินไปไม่ดี แต่พอเห็นน้ำหนักตัวลูกสาวลดมากขนาดนี้ หล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจ

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “แม่ หนูไม่เหนื่อยจริง ๆ ค่ะ เขียนบทความอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย ส่วนเรื่องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรก็เป็นความสนใจของหนูด้วย แล้วอีกอย่างหนูไม่ได้จะไปเก็บสมุนไพรทุกวัน จึงไม่เหนื่อยเลยค่ะ”

ซูหว่านอี๋เห็นว่าตอนนี้ลูกสาวโหมงานหนักมาก จึงอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์

เมื่อก่อนหล่อนเคยกังวลกับลูกสาวที่อยู่บ้านแล้วไม่ต้องทำอะไรเลย ตอนนี้กลับเป็นกังวลกับเรื่องที่ลูกสาวขยันโหมงานเกินไป แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวดูท่าทางจะสนุกกับมัน ำล่เนจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ลูกรีบกลับเถอะ”

หลังจากฉินมู่หลานกลับมา เธอก็กลับเข้าไปเขียนบทความในห้อง

เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น เหยาจิ้งจือก็ออกมาจากห้อง แล้วตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร ฉินมู่หลานได้ยินเสียงฝีเท้าการเคลื่อนไหว จึงเข้าไปช่วยในครัวด้วยเหมือนกัน

“แม่คะ ให้ฉันทำอาหารเองไหมคะ แม่ไปพักผ่อนเถอะ” เมื่อเห็นว่าเหยาจิ้งจือดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก เธอจึงเสนอตัวเองแบ่งเบาภาระให้

เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้นจึงส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกมู่หลาน ให้ฉันทำดีกว่า”

หลังเห็นท่าทางและได้ยินคำพูดของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานจึงไม่เอ่ยสิ่งใดต่อให้มากความ

ในขณะที่ทำอาหาร เหยาจิ้งจือก็ไม่ใช่คนพูดมากเป็นทุนเดิม ฉินมู่หลานก็นั่งเงียบๆ อยู่ทางด้านหลังเพื่อจุดเตาไฟ สุดท้ายก็มีหลี่เสวี่ยเยี่ยนที่กลับมาและทำลายความเงียบลง

“แม่คะ แม่รีบไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวงานที่เหลือในครัวให้ฉันกับมู่หลานจัดการเองก็พอ”

เหยาจิ้งจือไม่ยอมไป หลี่เสวี่ยเยี่ยนจึงต้องเกลี้ยกล่อมหล่อนอยู่อีกหลายครั้งต่อหลายครั้ง

เมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหญ่เริ่มเซ้าซี้ สุดท้ายเหยาจิ้งจือจึงยอมพยักหน้าแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ฉันจะไปนอนพักสักหน่อย”

ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้หล่อนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

หลังจากเหยาจิ้งจือออกไปแล้ว หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็รีบหันมองฉินมู่หลานพลางเอ่ยถาม “มู่หลาน เธอได้ไปกินข้าวกลางวันกับครอบครัว ผอ.โรงอาหารไหม”

“ค่ะ ผู้อำนวยการอวี๋กับครอบครัวของเขาสุภาพมาก ให้ผลไม้ฉันกลับมาด้วย เอาไว้พี่ปอกแอปเปิ้ลให้เสี่ยวอวี่กินนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็รู้สึกดีใจ

“มู่หลาน ผอ.โรงงานของพวกเราชอบเธอมากนะ วันนี้ ผอ.โรงงานมาคุยกับฉัน บอกว่าฉันทำหน้าที่ได้ดี ที่ชวนเธอไปกินข้าวที่บ้านเขาได้”

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนได้รบคำชมจาก ผอ.โรงงาน หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

เมื่อเห็นหลี่เสวี่ยเยี่ยนเป็นเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “พี่สะใภ้ตั้งใจทำงานให้ดีนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผอ.อวี๋ก็จะเล็งเห็นเหมือนกันค่ะ”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนรีบรับปากทันที “มู่หลานวางใจได้เลย ฉันจะทำงานให้หนักขึ้น” เธอชอบทำงานในโรงงานอาหารมาก อยากจะทำต่อไปอีกนาน จึงตั้งใจทำงานอย่างหนัก

ทั้งสองพูดคุยกันขณะทำอาหาร ไม่นานนักอาหารก็ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อย

หลังจากรับประทานอาหาร ฉินมู่หลานก็กลับเข้าห้องเพื่ออ่านหนังสือและเขียนบทความ พรุ่งนี้เธอจะเข้าเมืองไปฝังเข็มให้เจี่ยงสือเหิง จากนั้นจะแวะไปดูว่าในตัวเมืองเทศบาลมี 《ชุดหนังสือฝึกทำโจทย์คณิต ฟิสิกส์ เคมี》หรือไม่ ได้ยินมาว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มาก หากเข้าใจเนื้อหาในนั้นได้ทั้งหมด การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

เมื่อถึงเช้ามืดในวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็เตรียมพร้อมออกไปข้างนอกหลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จ

เหยาจิ้งจือเห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “มู่หลาน เธอจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ?”

“ใช่ค่ะแม่ หนูว่าจะไปหาซื้อหนังสือที่ตัวเมืองเทศบาลค่ะ”

“ซื้อหนังสือหรือ?”

เหยาจิ้งจือมีท่าทางฉงนนิดหน่อยในตอนแรก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกสะใภ้คนเล็กสร้างรายได้จากการเขียนบทความ จึงพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดเธอจึงอยากซื้อหนังสือ สุดท้ายแล้วการเขียนบทความนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้น “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเธอก็รีบไปเถอะ”

หลังจากฉินมู่หลานออกไป เหยาจิ้งจือก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางใจฝากเสี่ยวอวี่เอาไว้กับป้าพานข้างบ้าน แล้วออกไปเช่นกัน

ทางด้านฉินมู่หลานที่มาถึงเขตเมืองแล้วก็ได้มุ่งตรงไปที่บ้านของเจี่ยงสือเหิง ครั้งนี้เมื่อมาถึง เจี่ยงสือเหิงกับลุงเจี่ยงต่างก็อยู่ที่นั่น

เจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลาน บนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น “หมอฉิน เธอมาแล้วเหรอ”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงดูดีขึ้น จึงอดยกยิ้มไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าอาการจะทุเลาลงแล้วนะคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจี่ยงสือเหิงจึงเอ่ยกล่าวจากใจจริง “ต้องขอบคุณฝีมือรักษาอันยอดเยี่ยมของหมอฉิน อาการของฉันถึงได้ดีขึ้น”

ลุงเจี่ยงที่อยู่ด้านข้างก็ยกย่องฉินมู่หลานเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าโชคดียิ่งนักที่ได้พบกับฉินมู่หลาน

ฉินมู่หลานไม่รับคำเยินยออย่างใด เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เก็บค่ารักษา และวันนี้วางแผนจะไปหาซ่งโหย่วเต๋อเร็วกว่าเดิมสักหน่อย จึงรีบเร่งตรวจชีพจรของเจี่ยงสือเหิงโดยเร็วแล้วทำการฝังเข็ม หลังจากนั้นจึงปรับใบสั่งยาอีกสักเล็กน้อย แล้วไปซื้อยา

ไม่ทันคาดคิด เจี่ยงสือเหิงก็รั้งฉินมู่หลานเอาไว้

“หมอฉิน รอสักครู่นะครับ”

ฉินมู่หลานมองอย่างนึกสงสัย พลางเอ่ยถาม “มีอะไรเหรอคะ?”

เจี่ยงสือเหิงหยิบกล่องผ้าใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อพลางยื่นออกไป แล้วเอ่ย “หมอฉิน กล่องนี้เป็นของเธอ ไม่รู้ว่าเธอจะชอบหรือเปล่า”

ฉินมู่หลานไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก่อนจะเอ่ยพูดแทน “ค่ารักษาเก็บเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณลุงไม่ต้องให้อะไรหนูอีกแล้วค่ะ”

“หมอฉิน อันที่จริงแล้วฉันอยากให้เธอส่งจดหมายให้หน่อย ของชิ้นนี้ถือว่าเป็นค่าส่งจดหมาย”

เมื่อเห็นสีหน้าของฉินมู่หลานเต็มไปด้วยความฉงน เจี่ยงสือเหิงจึงเอ่ยอธิบาย “คุณเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนแล้ว บางครั้งก็จะมีพวกคนเพ่งเล็งมาที่ผมกับลุงเจี่ยง พวกเราจึงออกไปส่งจดหมายได้ไม่สะดวก จึงทำได้แค่รบกวนหมอฉิน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็รับกล่องผ้ามา พลางเอ่ย “แล้วจดหมายล่ะคะ?” เธอกำลังจะไปส่งบทความพอดี ดังนั้นการไปช่วยส่งจดหมายให้จึงไม่ใช่เรื่องหนักหนา

เจี่ยงสือเหิงได้ยินสิ่งนี้ จึงยกยิ้มพลางยื่นจดหมายให้ฉินมู่หลาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “รบกวนหมอฉินด้วยนะ”

ฉินมู่หลานโบกมือให้กับเขา พลางเอ่ย “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณลุงเป็นคนจ่ายเงินทุกอย่างเองอยู่แล้วนะคะ”

วันนี้มีเรื่องมากมาย เวลาก็จวนจะใกล้หมดแล้ว ฉินมู่หลานจึงไม่ได้เปิดดูสิ่งของที่อยู่ข้างในกล่องผ้า หลังจากเธอรับกล่องผ้าและจดหมายเรียบร้อยแล้ว ก็รีบตรงไปที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนทันที

ซ่งโหย่วเต๋อเห็นฉินมู่หลานมา จึงเอ่ยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ในที่สุดคุณก็มา ผมรอคุณมาตั้งแต่เมื่อวาน”

เขาจึงเอ่ยเรื่องเคสของผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว

“คุณพูดถูกจริง ๆ ก่อนหน้านี้ คนไข้รายนั้นรู้สึกเขิน จึงไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ครั้งนี้พอถามซ้ำแล้วซ้ำอีก หล่อนถึงยอมเปิดปากบอกว่าทุกครั้งหลังจากมีเพศสัมพันธ์ อาการปวดศีรษะจะแย่ลง” เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย เขาก็ดึงใบบันทึกชีพจรออกมา

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยบอกตามตรง “ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจได้แล้วว่าหล่อนมีกลุ่มอาการเส้นลมปราณตับติดขัดจากความเย็นค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตอนนี้มู่หลานก็ผอมลงแบบเห็นได้ชัดแล้วน่ะสิ ถ้าพี่หลี่กลับมาอีกทีจะจำได้ไหมเนี่ย

ในกล่องผ้าที่นายน้อยเจี่ยงให้เป็นอะไรกันน้อ

ไหหม่า(海馬)