บทที่ 20 โซนระดับ S

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 20 : โซนระดับ S

ผู้ถือครองดาบปีศาจมักถูกเลือกจากความแข็งแกร่ง ผู้โดดเด่นและไร้ที่ติจากสิบอัศวินแห่งแสงเสมอ

ส่วนผู้ถือครอบมันในปัจจุบันนี้ โจเซฟนั้นถือว่ามีตัวตนดั่งแสงสว่างราวพระอาทิตย์ ทว่าตัวเขาเองก็เป็นดั่งเพชรซึ่งมีความเปราะบางอยู่เบื้องหลังใต้ความแข็งแกร่งอันมากล้น

ระหว่างการต่อสู้กับไวลด์ เขาได้เสียแขนขวาไปพร้อมกับแสงนั้น

ต่อให้เขาจะยังมีผู้สนับสนุนอยู่เหมือนเคย เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานผู้นี้ได้แสดงความบกพร่องที่ไม่อาจลืมเลือนไปแล้ว

ความแคลงใจและบทวิจารณ์ต่างถาโถมมาจากที่ซึ่งมองไม่เห็น แม้ไม่มีคนกล้าพอจะเอ่ยออกมาตรงหน้า และหลายคนต่างเชื่อกันว่าไวลด์ได้ตายไปแล้ว ความไม่เชื่อในตัวเองของโจเซฟนั้นเองที่ค่อย ๆ กลืนกินเขา

สุดท้ายโจเซฟจึงเลือกจะเกษียณ เขารับตำแหน่งกึ่งเกษียณเป็นหัวหน้าแผนกหน่วยข่าวกรองมา โจเซฟจึงยิ่งซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย และเฉื่อยแฉะในที่สุด

บางทีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะจับไวลด์ให้ได้คือ ความต้องการประเมินคุณค่าตัวเองอีกครั้ง

เขารู้ดีว่าบางคนมองเขาอย่างไร คนแรกที่จะปล่อยให้ตัวเองสิ้นใจก่อนดาบปีศาจจะกัดกินสติ และกลายเป็นผู้ถือครองดาบปีศาจที่มีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด…

“บางทีเขาคิดจะปล่อยให้ตัวเองตายตอนดาบปีศาจไม่ได้ให้ความสนใจก็ได้ ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าดาบนั่นก็จะทำอะไรเขาไม่ได้ไง!” มีคนเคยพูดแบบนี้มาก่อน

โจเซฟในตอนนั้นรู้สึกว่าตนถูกดูหมิ่นเกียรติถึงที่สุด ถึงขั้นคันไม้คันมืออยากจะต่อยหน้าคนพูดนั่นสักที

โอ ดวงแสงอันศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเอ๋ย ได้โปรดยกโทษให้ด้วย

เขาเกือบจะทำอย่างที่คิดจริง ๆ ซึ่งนั่นเป็นความคิดอันหยาบคายนัก!

แต่ตอนนี้ ท่าทางเขาจะโชคดีกว่าผู้ถือครองคนอื่น เพราะเมื่อแสงไฟนั้นหายไป เมื่อเขาล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย มันลดรอยร้าวในจิตใจโจเซฟได้ดีนัก ทำให้การกลืนกินของดาบปีศาจช้าลงกว่าเดิม

ดังนั้นในแง่นี้ สิ่งที่เจ้าของร้านหนังสือกล่าวออกมาก็ถือว่าถูกต้อง อีกทั้งโจเซฟนั้นโชคดีกว่าใครตรงที่เขาอาจได้พบ… กับผู้สืบทอดดาบปีศาจเล่มนี้

ตอนที่เจ้าของร้านหนังสือบอกเขาว่า ‘ปล่อยให้ผมจัดการ’ โจเซฟยอมรับเลยว่าเป็นข้อเสนอที่ล่อตาล่อใจมาก

หอพิธีกรรมต้องห้ามไม่จำเป็นต้องถือครองดาบปีศาจแคนเดลา แต่ที่พวกเขายังใช้มันแม้จะมีคำสาป เป็นเหตุมาจากความทรงพลังของดาบเล่มนี้ หอพิธีกรรมต้องห้ามใช้อาวุธปีศาจโดยการให้อัศวินผู้แข็งแกร่งที่สุดถือเอาไว้และใช้พลังนี้เพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายอื่น ๆ

ทว่าความจริงแล้ว หอพิธีกรรมต้องห้ามนั้นมีความหวาดกลัวฝังลึกต่อดาบนี้เช่นกัน อัศวินแห่งแสงรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างจมลงสู่ความบ้าคลั่งและเสียชีวิตลง อัศวินรุ่นเก่าในภาคีต่างมีความคิดจะผนึกดาบเล่มนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์

การหาผู้สืบทอดคนใหม่นั้นเป็นสิ่งที่โจเซฟกำลังเครียดกับมันอยู่เลย อัศวินที่ถูกเลือกให้มาแทนที่เขาถือว่ามีอุดมการณ์ที่ดี แต่ขาดพละกำลังที่มากพอ

“แน่ใจแล้วเหรอ? ไม่รบกวนนายแน่เรอะ การรับมือมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ…” โจเซฟเอ่ยเสียงเบา เขานับถือปณิธานอันแรงกล้าของเจ้าของร้านคนนี้จากใจจริง

ดาบปีศาจไม่ใช่แค่มอบพลังให้แก่ผู้ถือครองมัน คำสาปคลุ้มคลั่งที่ตามมาถือว่าน่าหวั่นเกรงมาก ขนาดวายร้ายผู้เหี้ยมโหดยังไม่คิดยกดาบปีศาจนี่ยกเว้นยามเข้าตาจนเลย

ทว่าเจ้าของร้านหนังสือคนนี้กลับยื่นข้อเสนอจะแบกรับภาระนี้ง่าย ๆ!

ช่างเป็นจิตวิญญาณอันเสียสละอะไรเช่นนี้! ไม่เพียงช่วยโจเซฟผ่อนปรนภาพลวงตาและความเจ็บปวดที่ดาบปีศาจนำมาเท่านั้น เขาถึงขั้นตัดสินใจจะทำในสิ่งที่ไม่อาจหันหลังให้อีก

ทางข้างหน้านั่นเป็นนรกชัด ๆ …โจเซฟยิ้มขำ

“มันจะรบกวนไปได้ยังไงกันล่ะครับ คุณดูกำลังฝืนเก็บมันไว้อยู่แท้ ๆ ทำไมไม่ปล่อยให้ผมจัดการล่ะ”

หลินเจี๋ยเคยชินกับความเกรงใจที่ลูกค้ามีให้แล้ว แน่นอนว่าการรับมือกับปัญหาทางอารมณ์นั้นไม่เรียกว่าเป็นเรื่องง่าย แม้แต่ผู้ฟังอันเยี่ยมยอดยังโดนคลื่นความรู้สึกคิดลบถาโถมใส่ได้

แต่ไม่เป็นไรหรอก! การเป็นไลฟ์โค้ชน่ะคือความสามารถพิเศษของเขาเชียวนะ!

หลินเจี๋ยยิ้มพลางเอ่ย “ผมพูดมาเยอะแล้ว เอาเป็นว่าทางเลือกอยู่ที่คุณนะครับ แน่นอนว่าถ้าคุณคิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่เป็นไร ให้ผมมอบหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญเถอะ”

หลังจากนั้น หลินเจี๋ยก็กวาดสายตามองไปยังแขนขวาของโจเซฟแล้วถอนหายใจ “คุณและฮีโร่ทั้งหลายแบบคุณควรพักบ้างได้แล้ว”

โจเซฟไม่อาจหันไปมองทางไหนได้เลย ความมืดมนของร้านหนังสือนี้กลายเป็นความเรียบง่าย รอยยิ้มของเจ้าของร้านตรงหน้าเขากลับเปล่งประกายจนคล้ายจะมีแสงสว่างสาดส่องออกมาจริง ๆ

โจเซฟไม่เชื่อว่าจะมีมนุษย์ที่สูงศักดิ์และเสียสละได้ขนาดนี้ แม้แต่อัศวินแห่งหอพิธีกรรมต้องห้ามยังสร้างตัวตนอันไร้ที่ติจากการเดินตามศาสนาและความศรัทธาในวัยเยาว์

มีเพียงอายุอันยืนยาวเท่านั้นที่จะทำให้คนคนหนึ่งจะมีจิตใจกว้างขวางได้ขนาดนี้

โจเซฟยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง

ก่อนหน้านี้เขาอาจคิดว่าคนคนนี้เป็นนักต้มตุ๋น แต่ตอนนี้เขาไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

ในโลกนี้ไม่มีใครจะสามารถเข้าใจคนอื่นได้ สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงอดทนเก็บมันไว้กับตัว

ไวลด์รอดมาได้และได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าของร้านคนนี้ แต่ช่างปะไร เพราะสุดท้ายรายนั้นย่อมจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของโจเซฟอยู่ดี!

นี่คือหน้าที่ของโจเซฟ และเป็นสิ่งที่เขาต้องทำ…

“ไม่เลย ฉันจะไม่เสียใจที่ฉันเลือกจะเป็นคนแบบนี้ ส่วนการพักน่ะเหรอ? นั่นรอไปจนกว่าโลกนี้จะสงบสุขละกัน” โจเซฟส่ายหัวพลางยิ้มโล่งใจออกมา “เอาเป็นว่าจะเก็บไปคิดดู แล้วก็ไม่ต้องให้หนังสือเล่มนี้ก็ได้ แต่ขอยืมมันสักสองสามวันหน่อยซิ ฮึ่ม… สักเจ็ดวันก็แล้วกัน พอครบเจ็ดวันแล้วเดี๋ยวเอามาคืน”

หลินเจี๋ยเข้าใจอารมณ์อันซับซ้อนในใจของโจเซฟในที่สุด เฮ้อ… ดูท่าเซนส์รักความยุติธรรมนั่นจะทำร้ายทหารผ่านศึกมามากจริง ๆ แฮะ

แน่นอนว่าเขาอยากทำให้ทุกอย่างถูกต้องในครรลองคลองธรรม แต่ชายหนุ่มเองก็เกลียดชังสภาพร่างกายและจิตใจในขณะนี้ด้วย การมาช่วยคลายปมด้านความคิดตรงนี้คงช่วยเขาได้เยอะ

แผนสำเร็จ! หลินเจี๋ยฉีกยิ้มพร้อมคิดในใจ

ตอนนี้เขามั่นใจไปแล้ว 80% ว่าโจเซฟจะกลับมาอีกครั้งเมื่อเจ็ดวันผ่านไป หลินเจี๋ยนำใบสมัครออกมาอย่างชำนาญแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาเลยครับ แค่กรอกประวัติตรงนี้แล้ววางเงินมัดจำตรงนี้ได้เลย ครั้งต่อไปแค่เขียนชื่อและวันที่ก็พอ หากคุณไม่คิดจะยืมแล้ว เงินมัดจำนี้ผมจะคืนให้ครับ”

โจเซฟชะงักค้าง นี่ทำร้านหนังสือจริง ๆ เรอะ…

แต่พอมาคิดดูแล้ว มันก็ถือเป็นการปลอมตัวปกติ เขาจึงพยักหน้าเข้าใจและเซ็นชื่อตัวเอง โจเซฟเหลือบมองแถวที่เขียนว่า ‘แฟรงก์ ไวลด์’ และพบว่ายังมีกำหนดยืมหนังสือถึงหนึ่งเดือน

“เสร็จแล้ว” โจเซฟตอบขณะวางปากกาลงแล้วเงยหน้าขึ้น

หลินเจี๋ยรับใบสมัครมาตรวจทานความเรียบร้อย “เสร็จเรียบร้อยดีครับ เจอกันสัปดาห์หน้านะครับ”

โจเซฟจึงหยิบ ‘เมล็ดพันธุ์แห่งขุมนรก’ ขึ้นมา พร้อมโค้งคำนับเจ้าของร้านเฉกเช่นอัศวินคนหนึ่ง

ความไม่อยากจะเชื่อสาดซัดมายังคล็อดขณะที่เขากำลังจับแมวดำไว้ในมือ “นายจะบอกว่าเขาล้มลงไปงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน?”

“เรียกรวมตัวกองกำลังเพื่อสนับสนุน… ไม่สิ บ้าจริง ตัดสินอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้สิ ขนาดอาจารย์ยังรับมือไม่ได้เลยนะ! ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังไม่ตายดีกันยกครัว” คล็อดบ่นพึมพำพลางเดินวนไปมา อุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาถูกกำเอาไว้แน่น

“แล้วคนที่ส่งไปตรวจสอบร้านหนังสือล่ะ สถานการณ์เป็นไงบ้าง?”

“หา อะไรนะ? อาจารย์ออกมาแล้ว?”

คล็อดนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งของโจเซฟดังมาจากอุปกรณ์สื่อสาร “คล็อดโว้ย ไปสั่งให้พนักงานสืบสวนเคลียร์ถนนซอย 23 ซะ แล้วเอาข้อมูลร้านหนังสือนั่นเข้าโซนระดับ S ไปเลย สถานะลับสุดยอด”