“เออ คุณใช่รุ่นพี่คามิโคชิหรือเปล่าคะ?”
จู่ๆ ก็มีใครบางคนเข้ามาทักฉันระหว่างกำลังดูดเส้นโซบะเย็นเข้าปากในโรงอาหารของมหาลัย
ฉันตกใจเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนนึง ก้มลงมาหาฉันจากอีกฝั่งของโต๊ะ เธอดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา เสื้อยืดคอกลมตัวยาว ทับด้วยเสื้อโค้ทแบบผู้ชาย ตัดผมสั้นแบบห้าวๆ หน่อย แล้วก็ในดวงตานี่เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนในตัวอย่างแรงเลย
ฉันตระหนกอยู่พักนึง
ใครเนี่ย? จำไม่ได้เลย ถ้าเธอเรียกฉันว่ารุ่นพี่ แสดงว่าเธอก็ต้องเป็นรุ่นน้องของฉันสินะ แต่ฉันไม่ได้ไปยุ่งกับเด็กปี 1 คนไหนเลยนี่ เออ จะปี 3, ปี 4 หรือแม้แต่ปี 2 ด้วยกันเองนี่ก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใครด้วยเหมือนกัน
ไม่มีอะไรจะน่าอึดอัดไปมากกว่าการโดนใครก็ไม่รู้ที่จำหน้าจำชื่อไม่ได้เลยเข้ามาเรียกชื่อกันตรงๆ แบบนี้แล้วล่ะ ตอนที่ฉันนั่งตัวแข็ง เหงื่อเริ่มจะแตกออกมา เธอก็ถามฉันอีกรอบ แบบชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อกี้
“ไม่ใช่คุณคามิโคชิ โซราโอะเหรอคะ? พี่ปี 2 คณะศิลปศาสตร์? ฉันทักคนผิดหรือเปล่าคะ?”
“เอ๊ะ…? อ้อ… ถูกแล้วล่ะ ทำไมเหรอ?”
ฉันตอบไปแบบงงๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้า สีหน้าดูโล่งใจขึ้นมา แล้วก็แนะนำตัวเอง
“ขอโทษที่จู่ๆ ก็ทักแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงนะคะ ฉันเซโตะ อาคาริ อยู่ปี 1 คือ ฉันอยากจะขอคำแนะนำจากรุ่นพี่ซักหน่อย ตอนนี้พอจะได้หรือเปล่าคะ?”
“…คำแนะนำ?”
ไม่เข้าใจเลยซักนิดว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
“เออ… หมายถึง? คือ เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยใช่มั้ย? แล้วไหงถึงมาถามฉันล่ะ?”
“เพราะฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะอยู่ในเรื่องที่รุ่นพี่เชี่ยวชาญน่ะสิคะ!”
เธอนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันโดยไม่ได้ถามก่อนเลย ฉันยังไม่ได้บอกด้วยว่าตอนนี้พอจะได้มั้ย นี่ฉันยังกินอาหารอยู่ด้วยเนี่ย
การสอบของเทอมก่อนเพิ่งจะจบไป โรงเรียนตอนนี้ก็เลยแทบจะไม่มีคนเลย ที่ฉันมาที่โรงอาหารมหาลัยที่เปิดให้บริการช่วงหยุดหน้าร้อนด้วย ก็จะได้ประหยัดค่าอาหารกับค่าแอร์ แต่นี่กลับต้องมาโดนคนแปลกหน้าทักอีกเหรอ
“เรื่องที่ฉันเชี่ยวชาญ? หมายความว่าไงเนี่ย?”
ฉันถามไปเพราะไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าแล้ว ก่อนจะกินโซบะของตัวเองต่อ การมีเด็กผู้หญิงมานั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเองโดยที่ไม่กินอะไรเลยนี่มันทำให้อึดอัดจริงๆ เลย อย่างน้อยก็ไปสั่งอะไรมาซักหน่อยเซ่!
แต่ซาโต้ อาคาริก็โน้มตัวเขามาหาฉันโดยไม่ได้เข้าใจเลยว่าฉันกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ก่อนจะลดเสียงพูดลงจนเป็นการกระซิบ
“รุ่นพี่ สัมผัสวิญญาณได้ใช่มั้ยคะ?”
“หา!?”
ฉันเผลอตะโกนลั่นขึ้นมาเลย
“ฉันได้ยินข่าวลือมาน่ะ ว่ารุ่นพี่วิจัยเกี่ยวกับเรื่องผีเรื่องสยองขวัญอยู่”
“ใครบอกเธอเรื่องนั้นเนี่ย? ตอนปี 2 เรายังไม่ได้เลือกหัวข้องานวิจัยหรืออะไรแบบนั้น…”
คือ ก็จริงแหละที่ฉันเคยคุยกับใครซักคนเรื่องนั้นอยู่ ฉันเคยบอกเรื่องที่ตัวเองสนใจอยู่ว่าเป็นเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริง แล้วก็ชอบซากตึกที่ถูกทิ้งร้าง ตอนที่เข้ามหาลัยตอนแรก ฉันก็โดนชวนไปดื่มด้วยอยู่บ้าง แล้วก็คงหลุดปากพูดไป ตอนนั้นก็ยังตื่นเต้นอยู่นะ หวังว่าอาจจะได้เจอเพื่อนซักคนที่เข้ากันได้
แล้วก็นั่นแหละ ไม่ได้ผล เพราะแบบนั้นฉันก็ยังตัวคนเดียวอยู่
นี่ตอนที่ฉันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คนเขาพูดถึงฉันกันว่ายังไงกันแน่เนี่ย?
ส่วนเซโตะ อาคาริก็ยังพูดต่อโดยไม่ได้สนใจฉันต้องกำลังขมวดคิ้วแน่นอยู่เลย
“ตอนแรกฉันกะจะให้เพื่อนของรุ่นพี่ซักคนมาแนะนำให้ฉันรู้จักกับรุ่นพี่อีกที แต่เพราะว่าหาไม่ได้ อาจจะเสียมารยาทนิดหน่อย แต่ฉันก็เลยมารุ่นพี่เองซะเลย―”
“เธอรู้ได้ยังไงน่ะว่าคนไหนคือฉัน?”
“อ้อ! ค่ะ! ตาของรุ่นพี่ไงคะ! ได้ยินมาว่าบางที รุ่นพี่จะใส่คอนแทคสีฟ้าไว้แค่ข้างเดียวมาด้วย”
“อ่า…”
พลาดซะแล้ว ฉันคิดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา
ตาขวาของฉันมันกลายเป็นสีน้ำเงินไปตั้งแต่ตอนที่ติดต่อกับคุเนะคุเนะ มันเด่นมากๆ จนฉันต้องใส่คอนแทคเลนส์สีดำซ่อนเอาไว้ แต่หลายครั้งเหมือนกันที่ฉันมาเรียนโดยที่ลืมใส่มา ไม่ว่าจะเพราะง่วง หรือจะเพราะแค่ลืมเฉยๆ โดยเฉพาะช่วงสอบที่ฉันยุ่งมากจนสุดท้ายก็มาที่มหาลัยทั้งๆ ที่ตาไม่ได้ใส่อะไรไว้เลยหลายรอบ จนมันก็เริ่มรู้สึกว่ามาพยายามซ่อนไว้มันก็ยุ่งยากเกินไปแล้วด้วย อย่างวันนี้เองก็เหมือนกัน ที่ตาของฉันไม่ได้ใส่อะไรปิดบังเอาไว้
ฉันแค่สวมกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตซักตัวนึงที่แวบเข้ามาในหัวพอดี แต่เจ้าตาสีน้ำเงินสดใสนี่มันก็ยังทำให้ฉันเด่นไปในทางเสียๆ อยู่ดี ชักสงสัยแล้วสิว่าทุกคนคิดว่าฉันใส่คอนแทคเพื่อให้ดูเหมือนกับว่าเป็นภาวะตาสองสีหรือเปล่า เพราะงั้นก็แหงอยู่แล้วที่ตามปกติจะไม่มีคนเข้ามาทักฉันแบบนี้น่ะ
“ก็ เรื่องที่ฉันอยากจะขอปรึกษา―”
“เดี๋ยวก่อน”
ฉันตัดบทซะก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ
“ขอโทษที แต่เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ ฉันสัมผัสวิญญาณไม่ได้หรอกนะ”
“เอ๋?”
สีหน้าของเซโตะ อาคาริ ตกใจจนแข็งค้างไปเลย
ถ้าเธอเข้ามาเปิดบทสนทนาอย่างเป็นกันเองกับฉัน คนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์ที่ดูไม่มีอะไรปกติเลยแบบนี้เนี่ย แสดงว่าเด็กคนนี้จะต้องไม่ข้อใดก็ข้อนึงล่ะ
เพี้ยนไปแล้ว
ตกที่นั่งลำบากสุดๆ
ตั้งใจมากวนเพื่ออะไรซักอย่าง
จะอันไหนมันก็ทำให้ฉันปวดหัวได้ทุกข้อนั่นแหละ แล้วจะอันไหนฉันก็ไม่อยากโดนลากไปเอี่ยวด้วย
“เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ ไปหาคนอื่นเถอะ”
“ขอร้องนะคะ ทุกคนบอกกันว่ารุ่นพี่ต้องช่วยฉันได้แน่นอนเลย!”
ทุกคนที่ว่านี่มันใครกันเนี่ยฮะ? พวกนั้นก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นแหละ
“ทำไมไม่ไปให้วัดช่วยล่ะ? ไปปัดรังควานซะหรืออะไรแบบนั้น”
“ไปมาแล้วค่ะ! แต่มันไม่ได้ผลเลย”
“งั้นเธออาจจะจินตนาการไปเองแล้วล่ะ… แบบนี้ไปโรงบาลจะดีกว่ามั้ย?”
“ตอนแรก ฉันก็คิดว่าตัวเองเพี้ยนไปแล้วเหมือนกันค่ะ แต่พอถูกทำร้ายหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกินขีดจำกัดที่ฉันจะเชื่อว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นแค่ภาพหลอนแล้ว”
“ทำร้าย? ว่าไงนะ? ถ้าแบบนั้นทำไมไม่แจ้งตำรวจซะก่อน?”
“ฉันไม่คิดว่าตำรวจจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้นะคะ”
ก็จริงอยู่นะที่ฉันชอบขุดคุ้ยเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริง กับเรื่องเล่าทางอินเตอร์เน็ต แต่ถ้าเกิดมีใครซักคนมาขอคำแนะนำเรื่องพวกนี้ล่ะก็ นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องนึงเลย ฉันไม่ใช่ร่างทรงหรืออะไรแบบนั้นนะ
ฉันสูดเส้นโซบะก้อนสุดท้ายในจายเข้าไป วางตะเกียบลง แล้วก็ถามเธอไปอย่างเสียไม่ได้
“…สิ่งที่มันตามกวนเธออยู่ มันคืออะไรกันแน่?”
“คือ…”
คราวนี้ กลายเป็นเธอซะเองที่ลังเลจะพูด
“เออ ฉันมั่นใจเลยค่ะว่ารุ่นพี่ต้องหัวเราะแน่ถ้าฉันพูดออกไปแบบนี้ แต่ว่า…”
ทั้งๆ ที่เป็นคนหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเองแท้ๆ แต่ทำท่าทางแบบนั้นนี่มันยังไงกันแน่ล่ะเนี่ย? คายเรื่องที่อยากพูดออกมาได้แล้วน่า ตอนที่ฉันยกแก้วชาข้าวบาร์เลย์ที่น้ำแข็งละลายลงมาพอควรแล้วขึ้นมาจิบอย่างรำคาญ เซโตะ อาคาริก็พูดออกมาอย่างอึกอัก
“ช่วงนี้ แบบว่า ฉันโดนหมายหัวจากพวกแมวนินจาน่ะค่ะ…”
ชาในปากนี่แทบพุ่งเลย
“ม- แมว… นินจา?”
“ค่ะ”
เซโตะ อาคาริพยักหนักตอบ สีหน้าของเธอจริงจังกับเรื่องนี้เลย
3 ความเป็นไปได้ที่ฉันเคยคิดเอาไว้กลับเข้ามาในหัวอีกรอบนึง
เธอคนนี้: 1. เพี้ยนไปแล้ว, 2. ตกที่นั่งลำบากสุดๆ, 3. ตั้งใจมากวน…
คำตอบคือ 1. สินะ โอเค แยกย้าย
…แค่ว่า มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉันเคยอ่านเรื่องนั้นมาก่อน แน่ล่ะ เรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับแมวนินจานี่แหละ
“แมวนินจาเหรอ… คงไม่ใช่ว่า…”
“รุ่นพี่รู้อะไรด้วยสินะคะ!”
พอฉันพึมพำกับตัวเอง เซโตะ อาคาริก็เร่งจะขอคำอธิบายมากกว่านี้
“ก็ ใช่นะ แต่…”
ฉันหันไปมองเธอด้วยสายตาระแวงสงสัย
“เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้กำลังมากวนโอ๊ยฉันเล่นอยู่น่ะ? นี่มันเรื่องก๊อปปี้พาสต้าที่ดังอยู่เหมือนกันนะรู้มั้ย? ฉันหมายถึง แมวนินจาน่ะ”
[ฟังนะ มันมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นรอบตัวฉันมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน (一週間前から変なことが起こってるちょっと聞いてくれ。)
บอกก่อนเลยนะว่าฉันไม่ได้สติหลอน ไม่ได้เป็นจิตเภท แล้วก็ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรอย่างอื่นด้วย (最初に言っておくが俺は妄想癖でも統合失調症でも病気でもなんでもない。)
ขอล่ะ อย่าหัวเราะเยอะกับเรื่องนี้ (笑わないでくれよ。) มันจริงจังมากเลย (ガチだ。)
ช่วงนี้ ฉันถูกหมายหัว จากพวกแมวนินจา (最近猫の忍者に狙われてる。)]
โพสต์นี้มันกลายเป็นมีมที่แพร่กระจายไปในอินเตอร์เน็ต หักมุมจากความตึงเครียดจริงจังแบบกะทันหัน ขนาดฉันอ่านครั้งแรกก็ยังหลุดขำออกมาเหมือนกัน
นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันคิดถึงความเป็นไปได้ข้อ 3. บางทีพวกนิสัยเสียอาจจะอยากทำให้ฉันเป็นตัวตลกด้วยการดึงเรื่องนี้ขึ้นมาคุยก็ได้มั้ง? พวกนั้นอาจจะอยู่แถวนี้ที่ไหนซักที่ก็ได้ ค่อยแอบดูท่าทีตอบสนองของฉันแล้วก็หัวเราะเยาะกันเอง
ฉันหันไปรอบๆ กวาดสายตามองไปทั่วโรงอาหารใหญ่ที่ร้างผู้คนนี่ มีนักศึกษานั่งอยู่คนนึง กำลังกินผัดตับกระเทียมต้นไปด้วยเล่นมือไปด้วย; อีกคนในชุดโค้ทขาวเหมือนพวกที่เรียนจบแล้ว นั่งเอาแขนรองหัวฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ แล้วก็ป้าอีกคน เดินเก็บถาดที่มีคนวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจพวกเราเลยซักคน
“มันดัง เหรอคะ?”
พอเธอมองมาด้วยสายตาว่างเปล่าแบบนั้น ก็ทำเอาฉันเสียศูนย์ไปซะทันทีเลย ขนาดว่านั่นเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานของชาวเน็ตอย่างฉันเลยนะ แต่กับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับอินเตอร์เน็ตขนาดนั้น มันก็อาจจะไม่ได้ดัง หรือไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนั้นเลยก็ได้
“เออ ก็ ไม่รู้สิ…”
ฉันพูดงึมงำ แล้วเซโตะ อาคาริก็เริ่มพูดรัวๆ เลย
“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าพวกนั้นเป็น… นินจาจริงๆ หรือเปล่า มันแค่ดูแล้วเหมือนเป็นแบบนั้นเลย มันเหมือนกับแมวธรรมดาทั่วๆ ไป จนกระทั่งมันยืนด้วยขาหลัง 2 ข้างแล้ววิ่งไล่กวดฉันนั่นแหละค่ะ”
“ร- เหรอ…”
“ไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วยนะคะ ฉันกลัวจนรีบวิ่งหนีมาเลยไม่ทันได้ดูดีๆ แต่ก็มีอยู่สองสามตัวแน่ๆ ตอนกลางคืน พวกมันก็ทำเสียงดังวุ่นวายกันอยู่ที่นอกบ้าน แล้วก็เคาะหน้าต่างทำเสียงกุกกักด้วย”
เรื่องนี้มันยังไงกันล่ะเนี่ย?
“ตั้งแต่เรื่องนี้มันเริ่มขึ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฉันก็รู้สึกเหมือนโดนสะกดรอยตามตลอดเลย ฉันเดาว่าเรื่องนี้มันอาจจะเกี่ยวอะไรกับภูติผีวิญญาณก็ได้ ฉันก็เลยพยายามไปขอคำปรึกษาที่วัด แต่พวกเขาบอกว่าเรื่องนี้มันเกินกำลังของพวกเขาไปหน่อย การปัดรังความก็ไม่ได้ผลด้วย”
ก็ พวกมันเป็นแมวนี่…
“พอเป็นแบบนั้น ฉันก็เลยคิดว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แล้วก็ได้ยินข่าวลือว่าถ้าไปขอให้รุ่นพี่คามิโคชิช่วยล่ะก็ รุ่นพี่ต้องช่วยแก้เรื่องนี้ได้แน่นอน”
“เอาจริงๆ เลยนะ ข่าวลือนั่นมามากจากไหนกันน่ะฮะ?”
ฉันกลอกตามองเพดานพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนเข้ามาหาฉันด้วยเรื่องแบบนี้
ฉันคิดว่าตัวเองเลี่ยงเรื่องยุ่งยากจากการพบปะกับผู้คนมาได้หมดแล้ว แต่ข่าวลือพวกนี้ก็ยังกระพือออกไปเกินจริงไปของมันเองอีก แถมยังวนกลับมาฉันในแบบที่ยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมด้วย…
แล้วอย่างฉันจะไปทำอะไรกับเรื่องพวกนี้ได้กันล่ะ?
“รุ่นพี่ ฉันควรจะทำไงดีคะ?”
“เอ๊ะ? ไม่รู้สิ”
ฉันตอบสิ่งที่คิดออกไปเลยแบบไม่ทันตั้งใจ
“คือ ฉันบอกเธอไปแล้วใช่มั้ยล่ะ? ฉันสัมผัสวิญญาณไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรแบบนั้นด้วย”
จบประโยคนั้น ฉันก็ถอยเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอโทษนะ แต่ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก แค่ฟังเรื่องนี้มันก็กวนใจฉันแล้ว”
“ยังงั้น… เหรอคะ”
พอฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เซโตะ อาคาริก็คอตกอย่างผิดหวัง เธอมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่บอกว่าเธอมีปัญหาหนักจริงๆ จนฉันลังเลไปนิดหน่อย
ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับฉันอยู่แล้วที่จะมาจริงจังกับเรื่องนี้ ก็แบบ แมวนินจาเนี่ยนะ? จากของทุกอย่างที่เป็นไปได้น่ะเหรอ?
เท่าที่ได้ยินมา ช่วงนี้มันมีเรื่องยาเสพติดแพร่กระจายในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยนี่นา เด็กคนนี้ก็ดูใสซื่ออยู่หรอก แต่จากที่รู้ เธออาจจะแค่เมายาหรืออะไรแบบนั้นก็ได้ น่ากลัวชะมัด ฉันว่าฉันรีบออกจากที่นี่ก่อนที่เธอจะอาละวาดหรือพยายามยัดยาให้ฉันน่าจะดีกว่าแฮะ
“ก- ก็ แบบนั้นแหละ เพราะงั้น…”
ฉันค่อยๆ ยกถาดขึ้นเพื่อไม่ไปกระตุ้นเธอมากนัก แล้วก็กำลังจะเดินเอาถาดไปคืนที่ แต่เซโตะ อาคาริก็ลุกขึ้นพรวด จนฉันชะงักเกร็งไปทั้งตัวเลย
“เอ๋!”
เซโตะ อาคาริเดินรอบโต๊ะมาด้วยก้าวหนักๆ จนมายืนตรงหน้าฉัน ในขณะที่ทางฉัน มือทั้ง 2 ยังกำถาดอาหารอยู่ ขยับไปไหนไม่ได้เลย
“อ- อะไร?”
“นี่―เบอร์มือถือฉันค่ะ ถ้าเกิดว่ารุ่นพี่เปลี่ยนใจ… อยากจะช่วยฉันขึ้นมา โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะคะ”
พอพูดแบบนั้น เธอก็เอากระดาษโพสต์อิทสีชมพูที่มีเลขเบอร์โทรศัพท์เขียนอยู่แบบรีบๆ วางบนถาดที่ฉันถืออยู่ ก่อนที่เซโตะ อาคาริจะโค้งหัวให้นิดๆ โดยไม่ได้รอคำตอบจากฉันก่อน แล้วเธอก็หมุนตัว เดินออกไปโดยไม่ได้หันกลับมามองเลย
ฉันมองเธอเดินต่อแบบอึ้งๆ งงๆ แต่จู่ๆ เธอก็หยุดเดินไปกลางคันตอนก่อนที่จะออกจากประตูโรงอาหารไป เธอเหมือนจะจ้องไปที่อะไรซักอย่างที่อยู่ข้างนอก ไม่นานนัก เธอก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินออกไปจากข้างนอกเหมือนกับตัดสินใจได้
“อะไร้กั๋นล่ะนั้นน่ะ…?”
ฉันพูดด้วยสำเหนียงเหน่อแบบปลอมๆ ออกมา
แต่ ไม่สิ เอาจริงๆ เลยคือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้มันอะไรกันล่ะนั่นน่ะ? เหนื่อยจริงๆ เลย
ฉันเอาถาดไปคืนตรงที่หน้าต่างจุดคืนภาชนะ แล้วก็คิดเรื่องนั้นอยู่ซักพัก
…ก็ เหมือนเธอจะลำบากพอควรเลยนะ ถึงกับมาคำปรึกษาจากฉันเลย เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็เก็บเบอร์ของเธอมาไว้ก่อนก็แล้วกัน
ฉันลอกโพสต์อิทสีชมพูนั่นออกมาจากถาด แล้วก็เล่นมันอยู่กับนิ้วของตัวเองไปด้วยระหว่างที่เดินไปที่ประตูทางออก
ฉันเป็นคนดีน้า ฉันมีหัวใจ… ใจกว้างเลย
ฉันร้องเพลงชมตัวเองอยู่ในใจระหว่างที่เดินออกจากโรงอาหาร ก่อนจะเผลอหยุดเท้าของตัวเองไปซะเฉยๆ
แดดหน้าร้อนสาดแสงจ้าลงมาตรงลานหน้าโรงอาหารนี่ ตรงใต้ชายคา ในพุ่มไม้ แล้วก็ทุกที่ที่มีร่มเงาอยู่มีแมวนอนอยู่ทุกจุดเลย นี่เป็นภาพที่คุ้นตาเลยล่ะนะ ใครที่ออกมาจากโรงอาหารหรือร้านขายของในมหาลัยก็จะป้อนอาหารให้พวกมันด้วย ที่นี่ก็เลยเป็นจุดแมวชุมของมหาลัยที่พวกแมวที่อยู่ที่นี่จะมารวมตัวกัน
แมวพวกนั้นทุกตัวหันมาจ้องฉันกันหมดเลย
หลังจากบทสนทนาที่เราคุยกันเรื่องนั้น นี่มันทำให้ฉันระแวงขึ้นมาหน่อยๆ
“…อะไรกันล่ะนั่นน่ะ?”
ฉันกระซิบกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกไปที่ลาน รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมาจากทุกทิศเลย ทั้งที่ตอนฉันมาถึง พวกมันก็ไม่ได้สนใจฉันเลยนะ
“…แปลกจัง”
ฉันส่ายหัว แล้วรีบเดินออกไปจากลานตรงนี้
กระดาษโพสต์อิทในมือตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อเลย
TN: เปิดตัวตัวละครสำคัญใหม่นะคร้าบ~ รุ่นน้องสุดน่ารักของโซราโอะนั่นเอง ^^