ตอนที่ 35 เป็นจริงดังคาด

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 35 เป็นจริงดังคาด

เฝิงเหล่าฮูหยินในใจพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น จากนั้นจึงแอบยิ้มที่ตนความรู้สึกไวนัก แววตาที่นางมองเจียงเชี่ยนมีความรักเมตตากลับมาดังเดิม

เจียงเชี่ยนกลับตกใจขึ้นมาเงียบๆ

นางกระจ่างแจ้งนัก แต่ไหนแต่ไรมาความโปรดปรานของท่านย่าล้วนมีเงื่อนไขมาตลอด

บิดานางมีหน้ามีตากว่าท่านลุงใหญ่ ในฐานะลูกสาวสายตรงคนเดียวของบิดา นางจึงได้รับความรักความโปรดปรานมากกว่าบรรดาพี่สาวน้องสาวมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่นางแต่งเข้าจวนฉังซิงโหวมาท่านย่าก็ยิ่งให้ความสำคัญกับนาง ยิ่งดูออกมากขึ้นจากท่าทีของท่านย่าในทุกคราที่นางกลับบ้าน

ทว่าสองครานี้ ท่านยาแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด

เจียงเชี่ยนแอบมองเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อ ใบหน้าเซียวซื่อประดับด้วยรอยยิ้มอันเหมาะสมอย่างพอดิบพอดี มองไม่ออกถึงความระแคะระคายใด

สายตานางจึงกวาดมองทุกคน แล้วตกลงบนร่างเจียงซื่อ

สตรีนางน้อยคนนั้นนั่งอยู่มุมหนึ่งอย่างเงียบงันสวมเสื้อสีเขียวอ่อนไม่เก่าไม่ใหม่ตัวหนึ่ง จอนผมสองข้างทัดด้วยไข่มุกลายดอกไม้ธรรมดาสองดอก ดวงหน้างดงามปกคลุมด้วยความไม่แยแส

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงโสภาราวกับมีแสงเปล่งประกายออกมา ทำเอาคนที่เห็นทอดถอนใจด้วยความไม่ยุติธรรมของการสรรค์สร้างนี้

เจียงเชี่ยนยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นในใจมากกว่าเดิม

จวนนี้มีคุณหนูทั้งหมดหกคน พี่ใหญ่นิสัยอ่อนแอขี้ขลาด น้องสามเป็นลูกสาวของอนุ น้องห้าและน้องหกล้วนเป็นลูกสาวสายรอง คนที่ชอบเล่นงานนางที่สุดก็คือเจียงซื่อ

เจียงซื่อทราบถึงข้อได้เปรียบของใบหน้าตน แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนล้วนแต่งหน้าแต่งตัวอย่างประณีต

นางเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกัน

เจียงเชี่ยนพลันนึกขึ้นมาได้ สองวันก่อนตอนที่กลับบ้านการแต่งกายของเจียงซื่อก็ไม่ประณีตมากนัก เพียงแต่ตอนนั้นนางถูกเจียงซื่อกวนโมโหอย่างไร้สาเหตุเดือดดาลไม่น้อย จึงไม่ทันสังเกตุจุดนี้

เจียงเชี่ยนมิใช่คนโง่ แม้จะไร้หลักฐาน แต่มั่นใจได้ว่าท่าทีของเฝิงเหล่าฮูหยินที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดนี้น่าจะเกี่ยวกับเจียงซื่อ

“เชี่ยนเอ๋อร์ ในเมื่อเป็นภรรยาที่ออกเรือนแล้วก็อย่าได้กลับบ้านบ่อยนัก จะได้ไม่ถูกจวนโหวตำหนิได้” เฝิงเหล่าฮูหยินนวดขมับซ้ายเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น

เจียงเชี่ยนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่เมื่อวันก่อนมาเห็นท่านย่าสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงไม่วางใจ เลยกลับมาเยี่ยม”

เจียงซื่อแอบยกยิ้มมุมปากเงียบๆ เพื่อจะได้ดูกตัญญูเจียงเชี่ยนจึงมิได้เอ่ยถึงจดหมายของนางอย่างที่คาดคิดไว้ แต่เอ่ยให้ตัวเองดูเป็นคนห่วงใยใส่ใจแทน

“เด็กอย่างเจ้านี่ช่างมีน้ำใจเสียจริง ย่าอายุปูนนี้แล้ว จะมีไม่มีสีหน้าอันใดได้อีก ย่าเป็นคนที่ร่างครึ่งหนึ่งฝังดินไปแล้วล่ะ” คำพูดของเจียงเชี่ยนทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินจิตใจสงบขึ้นมาก หญิงชราแย้มยิ้มเสียจนริ้วรอยตรงหางตาชัดเจนขึ้น

เจียงเชี่ยนป้องปากหัวเราะออกมา “ท่านย่าพูดผิดแล้วเจ้าค่ะ จากร่างกายท่านกับบุญที่สั่งสมมาต้องมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปีแน่”

“นั่นสิ รอให้ชังเกอเอ๋อร์แต่งงานมีลูกก่อน หลานชายท่านโตเป็นหนุ่มแล้วยังรอให้ท่านเลือกภรรยาให้อยู่นะเจ้าคะ” เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อเอ่ยรับเข้าคู่

เจียงชังเป็นหลานชายคนโต เกิดเป็นแฝดชายหญิงพร้อมกับเจียงเชี่ยน ยามนี้ยังมิได้แต่งงาน

ไม่เหมือนกับตระกูลชนชั้นสูงที่แต่งงานไว ปัญญาชนที่เลือกสอบขุนนางส่วนใหญ่จะแต่งงานช้า พอพวกเขาสอบติดมีผลงานตำแหน่ง ฐานะทางฝ่ายหญิงก็จะสามารถก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

บัณฑิตแห่งต้าโจว เพื่อสอบให้ติดบัณฑิตขั้นสูงฝืนทนถึงอายุสามสิบค่อยแต่งงานมีอยู่ถมเถไป ไม่ต้องพูดถึงเจียงชังที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเลย

เฝิงเหล่าฮูหยินไม่ร้อนใจแทนเจียงชังที่ยังไม่แต่งงานจนถึงตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด นางได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมา

พอนางหัวเราะ ทันใดนั้นตาซ้ายก็พลันเจ็บเสียดขึ้น คล้ายมีเข็มทิ่มตำเข้ามาอย่างรุนแรง

เฝิงเหล่าฮูหยินรีบหลับตาลง สีหน้าซีดเผือดลงทันใด

บรรยากาศกลมเกลียวภายในห้องพลันชะงักค้าง

เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อกับเจียงเชี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง พวกนางต่างฉงนสงสัย

หลังจากนับลมหายใจให้จิตใจสงบลงแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

“เหล่าฮูหยิน…”

เฝิงเหล่าฮูหยินยกมือขึ้น ขัดคำพูดของเซียวซื่อ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด”

“ท่านย่า…” บรรยากาศพลันเปลี่ยนไปทำให้เจียงเชี่ยนไม่สบอารมณ์

เฝิงเหล่าฮูหยินมองเจียงเชี่ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ข่มอารมณ์ซับซ้อนเอาไว้ “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็กินข้าวเป็นเพื่อนแม่เจ้าก่อนค่อยกลับเถิด”

เซียวซื่อได้ยินประโยคนี้หน้าก็ร้อนขึ้นมา

นางไหนเลยจะฟังไม่ออก เฝิงเหล่าฮูหยินรำคาญเรื่องที่นางมาสืบข่าวที่เรือนฉือซิน

เจียงเชี่ยนกลับไม่รู้ถึงความซับซ้อนนี้ เห็นเฝิงเหล่าฮูหยินเป็นเช่นนี้ จึงจำต้องออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

เจียงเชี่ยนมองแผ่นหลังเจียงซื่อจากไปอย่างเคร่งขรึม มุมปากก็กระตุก คิดจะเรียกไว้เพื่อพูดคุยสองสามคำ แต่เซียวซื่อกลับกระแอมขึ้น

เจียงเชี่ยนมองไปยังเซียวซื่อ

“ไปเรือนหยาซินกันเถิด”

สองแม่ลูกกลับมายังเรือนหยาซินก็ไล่คนรับใช้ออกไป เจียงเชี่ยนถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “ในจวนเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ข้ารู้สึกว่าท่าทีของท่านย่าแปลกไป”

เซียวซื่อระงับความกระอักกระอ่วนแล้วเล่าสถานการ์ให้เจียงเชี่ยนฟัง

“ท่านแม่ช่างใจร้อนเกินไปแล้ว จากนิสัยเผด็จการของท่านย่านนั้น ไหนเลยจะยอมให้มีคนมาสืบเรื่องเรือนฉือซินได้ หากท่านแม่อดทนต่ออีกสองสามวันค่อยลงมือ เจียงซื่อก็ไม่ไปยุ่งกับท่านย่าแล้ว เช่นนั้นนางที่เป็นผู้น้อยกับท่านแข็งข้อใส่กันเช่นนี้ ท่านย่าก็ทนไม่ได้แน่”

“เดิมทีตอนนั้นข้าคิดจะสั่งสอนให้ภายหน้าเด็กคนนั้นสงบเสงี่ยมเสียหน่อย ใครจะไปคิดว่านางจะพาลไม่สนหน้าตาเช่นนี้!” เซียวซื่อคิดไปถึงว่าจะถูกผู้น้อยทำให้หมดอาลัยตายอยาก ในใจก็เดือดดาลขึ้นมา

“แต่ว่า…” คิ้วงามของเจียงเชี่ยนเลิกขึ้น

“อันใดหรือเจียงเชี่ยน”

“ท่าทีของท่านย่ามิได้แปลกไปตั้งแต่ที่ท่านส่งคนไปสืบเรื่องเรือนฉือซิน” เจียงเชี่ยนมิใช่คนสะเพร่าอย่างเห็นได้ชัด นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน

ครู่ต่อมา คิ้วที่ขมวดก็คลายลง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจว่า “เป็นฝันนั้น วันนั้นจู่ๆ เจียงซื่อก็เอ่ยถึงเรื่องฝันขึ้นมา ท่าทางของท่านย่าจึงได้แปลกไป!”

“ที่เจียงซื่อฝันว่าไก่ฟ้าสองตัวมาควักดวงตานางไปน่ะหรือ” เซียวซื่อไม่หัวทึบในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย พอครุ่นคิดสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “ข้ารู้แล้ว ท่านย่าเจ้าต้องคิดเชื่อมโยงไก่ฟ้านั่นกับเจ้าแน่!”

เจียงเชี่ยนแปลกใจอยู่เล็กน้อย “มันเกี่ยวอันใดกับข้ากัน”

แววตาเซียวซื่อพลันเป็นประกายดุดัน “เจียงซื่อถามท่านย่าเจ้าว่าได้ฝันร้ายหรือไม่มิใช่หรือ ไม่แน่ว่าที่นางฝันนั่นอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้ ท่านย่าเจ้าฝันจึงเป็นเรื่องจริง แต่เด็กนั่นไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไปได้ยินข่าวนี้ได้! เชี่ยนเอ๋อร์เจ้าคิดดูสิ ในบรรดาคุณหนูจวนเจ้าอยู่ลำดับที่สอง ซ้ำยังปีไก่…”

“ท่านย่าเชื่อเรื่องเหล่านี้ด้วยหรือ” เจียงเชี่ยนสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา

เจียงซื่อสายตาเฉียบคม ท่าทีที่มีต่อพี่น้องในจวนเรียบเฉย แต่สนิทสนมกับนางเพียงคนเดียว เหตุใดในพริบตาจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้

ส่วนท่านย่า รักใคร่เอ็นดูนางมาหลายปีเพียงนี้ จะเกลียดนางเพราะฝันประหลาดนั่นได้จริงๆ หรือ

“เชี่ยนเอ๋อร์เจ้ายังเด็ก รอเจ้าอายุเท่าแม่ก็จะเข้าใจเอง คนผู้นี้น่ะ ยิ่งแก่ยิ่งเสียดายชีวิต ดังนั้นจึงยิ่งเชื่อเรื่องพวกนี้”

เจียงเชี่ยนพยักหน้าช้าๆ สีหน้าพลันปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง พึมพำว่า “เดิมทีข้ายังใจอ่อนอยู่บ้าง…”

“เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าพูดอันใดรึ”

เจียงเชี่ยนได้สติขึ้นมา “เปล่าเจ้าค่ะ”

ในขณะนั้นเองเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ดังมาจากด้านนอก ตามด้วยเสียงของสาวใช้ดังขึ้น “ฮูหยิน เรือนฉือซินเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”

เซียวซื่อรีบเรียกสาวใช้เข้ามา “เกิดเรื่องอันใดรึ”

“ตาข้างหนึ่งของเหล่าฮูหยินจู่ๆ ก็มองไม่เห็นแล้วเจ้าค่ะ!”

“ว่าอย่างไรนะ” เซียวซื่อถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างอดมิได้ นึกไปถึงการคาดเดาของพวกนางสองแม่ลูกเมื่อครู่ สีหน้าก็ซีดเผือดมองไปยังเจียงเชี่ยน