ตั้งแต่ตัดสินใจจัดงานเลี้ยงแต่งงาน ซูสุ่ยเลี่ยนก็หารือกับหลินซือเย่าเรียบร้อย ควักเงินสามตำลึงเชิญบ้านใกล้เรือนเคียงสองสามครอบครัวที่เคยให้ความช่วยเหลือตนเองมาร่วมงานที่แบ่งออกเป็นสองงานเลี้ยง คืองานขึ้นบ้านใหม่และงานแต่งงาน

ในวันงาน จัดโต๊ะเลี้ยงก็มีอาหารเรียกน้ำย่อยจานแล้วจานเล่าส่งขึ้นโต๊ะ พอซูสุ่ยเลี่ยนได้รู้อาหารจานหลักก็ถึงกับตกตะลึงไปทันที

นางกับหลินซือเย่ากำหนดไว้สิบแปดจาน น่าจะมีเรียกน้ำย่อยเก้าและอาหารหลักอีกเก้า เพื่อความเป็นมงคลเก้าเก้า

อาหารเรียกน้ำย่อยที่นำขึ้นโต๊ะตอนนี้ก็มีจานผักสามและจานเนื้อถึงหกจาน อาหารจานร้อนก็ถึงกับมีจานเนื้อถึงหกอย่าง ล้วนเป็นอาหารจานเนื้อที่ไม่ธรรมดา มีทั้งขาหมูน้ำแดง เป็ดย่างต้นหอม ปลากะพงนึ่ง เนื้อเส้นผัดร้อน สันในหมูม้วนกรอบ น้ำแกงไก่ดำตุ๋น

สามตำลึง สี่โต๊ะ สองมื้อ อาหารหน้าตาดีถึงเพียงนี้? นางหันไปมองหลินซือเย่าข้างๆ อย่างนึกสงสัย

“เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าของขวัญของนางก็คืออาหารจานเด็ด” หลินซือเย่าย่อมมองออกถึงความสงสัยของนาง จึงอธิบายพลางคีบอาหารให้นางไปด้วย

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หันไปมองเถ้าแก่เนี้ยที่นั่งตรงข้ามกับลูกสองคนที่กำลังเริ่มกินอาหารกัน เห็นเถ้าแก่เนี้ยมองมาพอดีก็รีบยิ้มกล่าวขอบคุณทันที

“เกรงใจอะไร! สมควรแล้ว แค่เสริมอาหารให้อีกสองจานเท่านั้น” เถ้าแก่เนี้ยโบกมือไม่หยุด ยิ้มบอกให้ซูสุ่ยเลี่ยนอย่าได้เกรงใจ

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นนางกล่าวเช่นนี้ก็รับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ด้วยความเต็มใจ ในใจก็รู้ดีว่าอาหารสองจานนั้นเป็นอาหารที่ราคาไม่ธรรมดา แต่ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยกล่าวว่าเห็นนางเหมือนน้องสาว วันหน้าตนก็จะปักผ้างามๆ สักสองสามผืนมอบให้นางตอบแทนก็แล้วกัน

ชนจอกสุราดื่มกันไปสามรอบ งานเลี้ยงก็เริ่มครึกครื้น แข่งดื่มสุราก็มี การแสดงก็มี คุยกันเฮฮาเสียงดังใหญ่โตก็มี คุยกันเงียบๆ ก็มี

หลินซือเย่ารู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนค่อนข้างชอบอาหารพวกผักรสจืด มักเลือกแต่อาหารที่ไม่ค่อยมัน เช่นพวกปลากะพงนึ่ง จึงคีบก้างปลาออกแล้วค่อยวางลงในจานเล็กเบื้องหน้านาง

ป้าเหลาข้างๆ ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเข้าก็ยิ้มพลางสัพยอกว่า “คู่นี้รักกันดีจริง”

เถ้าแก่เนี้ยได้ยินก็หัวเราะรับลูกต่อว่า “ใช่น่ะสิ ตอนมาแรกๆ ข้าเห็นอาเย่าเช้าออกไปค่ำกลับมา พอกลับมาก็มาหาสามีข้า คำแรกที่ถามก็คือ วันนี้สุ่ยเลี่ยนกินข้าวหรือยัง ฮ่าๆ…” เถ้าแก่เนี้ยพูดไปก็อดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงก่ำ

ใช่ ตั้งแต่วันนั้นที่ซื้อผ้ากลับมาแล้วนางขลุกเย็บผ้าอยู่แต่ในห้อง ลืมกินข้าวกลางวันจนหลินซือเย่าพบเข้า จากนั้นทุกครั้งที่เขากลับจากทำงาน ก็จะตามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมมาถาม นานวันเข้า เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมก็รู้นิสัยของเขา หากซูสุ่ยเลี่ยนลืมเรียกเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นไปส่งอาหารหรือไม่ได้ลงมากินอาหาร พวกเขาก็จะสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกขึ้นไปเอง จะได้ไม่ต้องให้หลินซือเย่ากลับมารู้เข้าแล้วเปล่งรัศมีเย็นเยียบที่ทำคนต้องตกใจ ทำเอาแขกที่มาพักหนีไปกันหลายคน คนที่โชคร้ายย่อมเป็นพวกเขาเอง

“จะว่าไป อาเย่าถือได้ว่าเป็นชายที่รักภรรยาที่สุดในเมืองฝานฮัวเรา” ที่นั่งร่วมโต๊ะกันยังมีนางเถียนกับลูกสาว พอได้ยินเถ้าแก่เนี้ยกล่าวเช่นนี้ ก็กินอาหารไปพลางหยอกซูสุ่ยเลี่ยนตามไปด้วย

“ใช่น่ะสิ เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหนูผิวพรรณงามผ่อง ข้าเห็นแล้วยังรู้สึกไม่อยากให้นางต้องแตะต้องงานหนักเลย” ป้าเหลาคีบอาหารให้ซูสุ่ยเลี่ยนพลางหยอกต่อ ครั้งแรกที่เห็นซูสุ่ยเลี่ยนก็ถูกท่าทางสง่างามของนางดึงดูดใจ รีบจะดึงมาเป็นสะใภ้ตนเองทันทีอย่างไม่ทันคิด ทำเอาเป็นเรื่องชวนหัวกันไปยกใหญ่ ตอนนี้นางหนูคนงามจะแต่งงานแล้ว ลูกชายคนรองของตนยัง…เฮ้อ ได้แต่โทษลูกชายตนไร้วาสนา คิดไปก็แอบเหลือบมองเหลาสุ่ยเฉียง ลูกชายคนรองที่กำลังนั่งคุยเสียงดังเฮฮากับสามีตนไปพลาง ในใจก็แอบทอดถอนใจหนักไม่ได้

“ซ้อเหลาพูดถูก ข้าน่ะ ครั้งแรกที่เห็นนางหนูสุ่ยเลี่ยนที่ตระกูลฮัวก็มองจนตาค้าง ทำไมจึงมีแม่นางที่งดงามและท่าทางสุภาพเรียบร้อยเช่นนี้ได้ เหมือนเทพธิดาที่ออกมาจากภาพวาดจริงๆ” นางเถียนหัวเราะเล่าถึงความทรงจำวันแรกที่ได้เจอนาง

ตามเทศกาลและตลาดนัดในเมืองฝานลั่ว นางไปมาหมด ไม่เคยเห็นแม่นางบ้านไหนที่ละมุนและอ่อนโยนเท่าซูสุ่ยเลี่ยน โชคดีนางได้ยินสามีบอกว่า หลินซือเย่ามีวิชายุทธ์และฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ต้องกลัวว่าจะมีพวกนักเลงหัวไม้ที่ไหนคิดไม่ซื่อมารังแกนางถึงบ้านแน่นอน

ในหมู่ชาวบ้านชาวนาเราหากคลอดลูกสาวก็ต้องดูสถานะ หากสถานะดี ลูกสาวหน้าตาดีก็ถือเป็นวาสนา หากสถานะไม่ดี คลอดลูกสาวหน้าตาดีออกมา ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง สุดท้ายไม่ได้ดีสักคน ล้วนแต่เป็นหายนะ

……

งานเลี้ยงจัดกันมาได้สักพักถึงเวลาบ่ายยามเว่ยที่ได้เวลาจบงาน บรรดาสาวๆ ป้าน้าแต่ละครอบครัวก็รีบเข้าช่วยกันเก็บโต๊ะจานชาม ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนมองอย่างไม่เข้าใจ

“เดาว่าเป็นเฝิงเหล่าลิ่วบอก คนที่มาช่วยงานจะได้เงินค่าจ้าง” หลินซือเย่าประคองซูสุ่ยเลี่ยนที่ดื่มจนสองแก้มแดง ก้าวเดินเริ่มไม่มั่นคง พลางถามอย่างเป็นห่วง “เดินไหวไหม”

ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า สุราเกาเหลียงที่หมักเองดีกรีไม่สูงมาก แต่แค่สองจอกก็ทำเอาพื้นหมุนไปหมด เช่นนั้นงานเลี้ยงค่ำนี้จะทำอย่างไรดี ป้าเหลาบอกแล้วว่ากลางวันดื่มพอเป็นพิธีสองจอกพอ คืนนี้ค่อยคารวะสุราทุกคน

เฮ้อ…ซูสุ่ยเลี่ยนอดลอบรำพึงรำพันไม่ได้ วันหน้าต้องแอบหาทางคิดหมักสุราผลไม้ที่อ่อนดีกรีสักหน่อย เหมือนเมื่อก่อนที่พี่ชายนางให้นางดื่มเหล้าองุ่นตะวันตกพวกนั้น

สุดท้ายซูสุ่ยเลี่ยนยังคงถูกหลินซือเย่าโอบเอวประคองกลับเข้าไปพัก ดีที่ตอนบ่ายพระอาทิตย์แรงกล้า ชาวบ้านส่วนใหญ่พักผ่อนกันในบ้าน พอเห็นเช่นนี้ บรรดาคนสนิทกันที่ออกจากงานเลี้ยงจะกลับบ้านก็ได้แต่ยิ้ม หากไม่ได้คิดถึงเรื่องไม่ดีอะไรกัน

“นอนพักให้สบาย ข้าอยู่ด้านนอก” หลินซือเย่าวางนางลงบนเตียงใหญ่ ดึงผ้าห่มมาคลุมถึงหน้าอกนาง บอกให้นางพักสักครู่ ตนเองไปหลังบ้านดูลูกหมาป่าสองตัวที่กินเนื้อและน้ำแกงชามใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในบ้านไม้น้อยหลังใหม่ เก็บชามออกไปล้างที่ข้างโอ่ง ยังตักน้ำสะอาดเติมใส่ชามไม้ในบ้านไม้ให้พวกมันด้วย พวกมันตื่นมาจะได้มีน้ำดื่ม

จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปที่โถงกลาง เตรียมจัดงานพิธีแต่งงานในยามเซิน

ป้าเหลาสอนไว้ว่า เอาขนมที่กินกันตอนเที่ยงมารวมใส่ถาดใหญ่สองใบ ส่วนจานเล็กให้วางขนมและผลไม้ใหม่ที่ยังไม่ได้กิน เปลี่ยนจอกชาและจอกสุราใหม่ เก็บเทียนและธูปยาวที่ใช้แล้วไปไว้ในตู้เก็บของในห้องครัวไว้วันหน้าค่อยเอามาใช้ เปลี่ยนเป็นเทียนคู่ใหม่และธูปยาวอีกสามดอก ปักไว้บนเชิงเทียนและกระถางธูป

ทุกอย่างจัดเตรียมเสร็จสรรพ หลินซือเย่าก็กลับไปที่ห้องนอน เห็นซูสุ่ยเลี่ยนยังหลับสนิท นางทนฤทธิ์สุราแค่สองจอกที่ดื่มลงไปไม่ไหวจริงๆ จึงนั่งลงข้างๆ ซูสุ่ยเลี่ยน

……

ซูสุ่ยเลี่ยนฝันว่ากลับไปยังตระกูลซูอีกครั้ง ไปประกาศให้ตระกูลซูรู้ข่าวการแต่งงานตน แค่คิดก็รู้ว่าทุกคนล้วนมีปฏิกิริยาแตกต่าง บ้างก็โมโห บ้างก็ไม่รู้ทำเช่นไร บ้างก็ผิดหวัง บ้างก็แอบสะใจ มีแต่หลี่หรูซี มารดานาง ที่ยิ้มบางพยักหน้าให้นาง นักฆ่าแล้วอย่างไร ขอเพียงดีกับเจ้า มีใจรักมั่นต่อเจ้าก็เพียงพอแล้ว

มารดานางคงแอบทอดถอนใจกับการกระทำของบิดานาง…อย่างไรก็ไม่ได้รักมารดานางเหมือนกับแม่รอง แต่ด้วยสถานะภรรยาเอก มารดานางจึงได้แต่ฝืนทำหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมแต่เล็กจนโต นางจึงไม่ค่อยได้เห็นมารดานางยิ้มจากใจแม้สักครั้งกระมัง

ซูสุ่ยเลี่ยนไม่อยากผละไปจากภาพของหลี่หรูซี เอื้อมมือออกไปพยายามจะดึงนางไว้ “คุณแม่…คุณแม่…”

“สุ่ยเลี่ยน! สุ่ยเลี่ยน!”

ใคร? ใครกันที่เรียกชื่อนางอ่อนโยนและร้อนใจเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจระงับ คุณแม่! รักษาสุขภาพด้วย!

“สุ่ยเลี่ยน…” เสียงข้างหูเรียกชื่อนางไม่หยุด ทำให้นางต้องลืมตาขึ้น ที่นี่ที่ไหน

ใช่แล้ว ที่นี่คือห้องนอนของนางกับหลินซือเย่าจากนี้ไป และวันนี้ก็คือวันดีที่นางจะได้แต่งงานกับหลินซือเย่า

อา! คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลุกขึ้นนั่ง ดื่มสุราเกาเหลียงไปสองจอกทำเอามึนงงไปหมด คิดว่าจะลงนอนพักสักครู่ แต่ทำไมจึงหลับเป็นตายไปได้ ยังมีอะไรหลายอย่างต้องเตรียมอีก

“ไม่ต้องรีบ ยังไม่ถึงฤกษ์” หลินซือเย่าก้มลงกระซิบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำเอานางสะดุ้งตกใจ หันกลับไปมองก็เห็นหลินซือเย่านั่งอยู่ขอบเตียง สองตาจ้องมองนางเขม็ง เขาสวมแค่ชุดตัวกลางเท่านั้น

“เจ้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว รีบกุมสองแก้มไว้แน่น “เจ้ายังไม่รีบสวมเสื้อตัวนอกอีก”

“อย่าคิดมาก” หลินซือเย่าเห็นท่าทางนางก็แทบอยากจะร้องไห้ “ชุดตัวนอกข้าถูกเจ้าร้องไห้จนชุ่มไปหมด เลยคิดจะเปลี่ยนเป็นชุดแต่งงานเลย จึงถอดชุดตัวนอกออก”

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขาอธิบาย ก็เลยนึกถึงความฝันตนขึ้นมาได้ นางอดเหม่อต่อไม่ได้

“เป็นอะไรไปหรือ” หลินซือเย่าประคองนางให้นั่งพิงหัวเตียง เห็นสีหน้านางเป็นทุกข์ ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ เพิ่งจะเห็นนางร้องไห้ตกใจตื่นก็คิดว่านางฝันร้ายอะไร เพียงแต่หากเป็นแค่ฝันร้ายทำไมตอนนี้จึงมีสีหน้าทุกข์ใจเช่นนี้ ในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวนางจะพูดออกมาว่านึกเสียใจที่ตกลงแต่งงานกับตน จึงอดกำหมัดแน่นไม่ได้ บีบจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น

“ข้า…ฝันถึงมารดา” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติ คิดถึงฝันที่เมื่อครู่มารดานางกล่าวกับนาง สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน อยู่ที่รู้ใจกัน ก็อดรู้สึกเฝื่อนขมในใจไม่ได้ เงยหน้ามองเห็นหลินซือเย่าสีหน้าซีดขาว ก็อดเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเขาไม่ได้ “อาเย่า เป็นอะไรไปหรือ”

หลินซือเย่าส่ายหน้า เอื้อมมือตนไปกุมมือน้อยของนางมาแนบแก้มตน “ข้าคิดว่า…”

“ข้าฝันถึงท่านแม่กับทุกคนในตระกูลซู ข้าบอกพวกเขาว่าข้าจะแต่งงานแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนพยายามทำใจให้กล้ากล่าวต่อไป มีบางวาจาหากพ้นเวลาไปแล้วก็ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต “วันหน้า เจ้าก็คือทุกอย่างของข้า อาเย่า…”

“สุ่ยเลี่ยน…ภรรยาข้า…” หลินซือเย่าสูดหายใจลึก

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็รู้สึกปวดใจแทนเขาจนพูดไม่ออก “อาเย่า วันหน้าพวกเรามีอะไรก็ต้องบอกอีกฝ่าย อย่าได้เก็บไว้ในใจ” นางจะจดจำคำสอนของมารดานางไว้ให้แม่นยำ สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน อยู่ที่รู้ใจกัน จะไม่ยอมให้นางและหลินซือเย่าต้องเดินเส้นทางสายเดียวกับคุณแม่และคุณพ่อนางเด็ดขาด

หลินซือเย่าพยักหน้าหนักแน่น ก่อนจะดึงนางมากอดไว้แน่น เนิ่นนาน…