บทที่ 22 อย่าลืมดื่มนมนะลูก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 22 : อย่าลืมดื่มนมนะลูก

เมลิสซ่าเป็นลูกสาวของอดีตอัศวินแห่งแสงและหัวหน้าหน่วยงานข้อมูล โจเซฟ

เธอได้รับสืบทอดเรือนผมสีแดงเป็นลอนมาจากแม่ เมื่อเส้นผมเส้นเรียวบางที่เป็นประกายของเธอถูกปล่อยสยาย เมลิสซ่าดูราวกับนางเงือกแสนงาม ทว่าเมื่อเธอผูกมันขึ้น เธอก็สามารถมองดูเหมือนอัศวินผู้หาญกล้าได้

เพราะอยู่บ้าน เมลิสซ่าจึงแต่งตัวลวก ๆ มากด้วยเสื้อลูกไม้สีขาว กระโปรงเอวสูงสีน้ำเงิน ถุงน่องดำ และรองเท้าแตะสีเบจ เธอดูเป็นสาวน้อยที่อิสระเสรีและเปล่งประกาย

แม่ของเธอจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงอาศัยอยู่ร่วมกันกับบิดาในบ้านหลังนี้ที่นอร์ซินเขตเหนือ ถนนหมายเลข 1

มองดูอายุของพวกเขาแล้ว โจเซฟแก่พอที่จะเป็นคุณตาของเมลิสซ่าได้ด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของเหล่าอัศวินที่ดึงพลังจากอีเธอร์มาใช้เป็นของตัวเองแล้ว อายุก็ไม่ได้ชี้วัดอะไรจริงจังเลย

สาวน้อยวัยสิบเจ็ดคนนี้เป็นอัศวินระดับผิดปกติและหัวหน้าหน่วยจู่โจมของหอพิธีกรรมต้องห้าม

“แปลกจัง… ทำไมเขาอ่านหนังสือล่ะ?” เมลิสซ่าพึมพำไป จ้องหนังสือไปทุกซอกทุกมุมอย่างไม่ไว้ใจไป “ฉันไม่ยักเคยเห็นเขาอ่านหนังสืออะไรสักเล่ม แม้แต่ตอนที่เขายังเป็นอัศวินแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่”

คิ้วของเมลิสซ่าขมวดมุ่นเมื่อเธอพยายามค้นสมองของเธอ โจเซฟมักจะไม่อยู่บ้านบ่อยครั้งเพราะหน้าที่ของเขาและเมลิสซ่าก็มักจะอยู่บ้านคนเดียวเป็นประจำ ความทรงจำไม่กี่ครั้งที่เธอมีต่อพ่อที่กำลังอ่านหนังสือนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นครั้งที่มีคนบังคับให้เขาอ่านทั้งสิ้น

ประกาศกฏหมายแรงงานใหม่นั่นก็เป็นหนึ่งในตัวอย่าง ในตอนนั้นโจเซฟใช้เวลานานมากในการเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อที่จะหาทางใดสักทางที่ตัวเขาเองจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด

เพราะเอ่อล้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมลิสซ่าเหลือบมองไปที่หนังสือในมือที่ชื่อ ‘เมล็ดพันธุ์แห่งขุมนรก’ แล้วก็พลิกเปิดมันขึ้นมา

นิ้วมือของเธอที่เลื่อนผ่านหนังสือค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง ดวงตาของเธอก็ดูเปลี่ยนไปเมื่อเด็กสาวถลำลึกไปในเนื้อหามากขึ้นเรื่อย ๆ

“พวกเหลือขอนี่ เลิกกวนฉันกันสักที! ฉันอาจจะเป็นคนพิการ แต่เจ้าของร้านหนังสือนั่นไม่มีร่องรอยอีเธอร์บนตัวเขาเลยสักกะผีก แต่เขาทำให้ฉันหมดสติได้ นั่นไม่ได้ทำให้พวกแกตระหนักถึงพลังที่เขามีเลยรึไงวะ? ที่ฉันพูดได้ก็คือ ให้ความเคารพเขาในระดับพอควรแล้วอย่าไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่ว่ายังไงก็เถอะ ไม่ใช่ฉันแล้วคนนึงที่จะบากหน้าเข้าไปช่วยถ้าพวกแกงานเข้ากันขึ้นมา!”

เสียงของโจเซฟใกล้เข้ามา มีกระทั่งเสียงเตะกำแพงปนมาด้วย

เมลิสซ่าเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากโลกโบราณที่ดึงดูดเธอและทำให้เธอตกเป็นทาส มันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเธอถูกดึงออกจากร่างแล้วกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง

เมลิสซ่าส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วรีบวางหนังสือลง จากนั้นเธอก็รีบกลับไปยังตำแหน่งดั้งเดิมของเธอจากความทรงจำ ก่อนที่จะแกล้งทำเป็นว่าเธอกำลังกลับไปที่ห้องนอน

“เมลิสซ่า”

เมลิสซ่าหันกลับไปอย่างเลิ่กลั่ก

“อย่าลืมดื่มนมนะลูก” โจเซฟเตือน

“…..”

เมลิสซ่าเผยรอยยิ้มปลอม ๆ แล้วพยักหน้าก่อนจะกลับไปในห้องของเธอแล้วปิดประตูปัง

“เฮ้อ…” เมลิสซ่าถอนหายใจยาว คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเธอ

“ใครเขียนหนังสือเล่มนั้นกันนะ? ตัวเอกของเรื่องนั่นใช่เจ้าชายเอลฟ์แคนเดลาที่ในภายหลังกลายเป็นดาบปีศาจแคนเดลาหรือเปล่านะ? ทำไมมันน่าตื่นเต้นและสมจริงจังเลย? นั่นเป็นชีวประวัติหรือนิยายกันแน่?”

ทว่าประเด็นสำคัญที่สุดคือเธออ่านมันยังไม่จบเลย! อีกนิดเดียวเธอก็จะเข้าสู่จุดที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ จุดหนึ่งแล้วแท้ ๆ!

เมลิสซ่าทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย ปากพึมพำกับตัวเองในขณะที่เธอพลิกตัวไปมา “ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าตาลุงอย่างพ่อจะอ่านหนังสือแนวนี้ด้วย ดูเหมือนที่ผ่านมาฉันจะตัดสินเขาผิดมาตลอดเลย”

แต่จากบทสนทนาที่เมลิสซ่าได้ยิน หนังสือเล่มนี้ดูจะเกี่ยวข้องกับสถานที่ลับสุด ๆ สักที่หนึ่งที่คนส่วนใหญ่จะไม่มีวันได้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับมันเลย

เมลิสซ่านอนบนเตียงด้วยตาทั้งสองที่ปิดสนิท เวลาผ่านไปนาน ในที่สุดเธอก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นเปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเธอ “มันจะเกี่ยวอะไรกันนักหนานะ? มันก็แค่ร้านหนังสือ… อย่างมากเจ้าของร้านก็แข็งแกร่งสุด ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ไปแหย่รังแตนหรอก”

เธอเหยียดมือออกไป รวบรวมอีเธอร์เพื่อก่อกุญแจขึ้นมาหนึ่งดอก “กุญแจฐานข้อมูล— การอนุญาตการเข้าถึง— ระดับ S”

อีเธอร์คือสะพานเชื่อมระหว่างความจริงและภาพลวง

เมลิสซ่าแตะกุญแจที่หน้าเว็บเพจแล้วเปิดหน้าจออินเตอร์เฟสใหม่เอี่ยมขึ้นมา ตรงหน้าของเธอคือฐานข้อมูลขนาดมหึมา “ขอบคุณนะคะแม่” เมลิสซ่าว่า พลางประกบฝ่ามือของเธอเข้าด้วยกัน

จากนั้นเธอก็เริ่มกวาดสายตาอ่านบรรดาไฟล์ที่เธอเรียกขอ

ก่อนที่จะเสียชีวิต แม่ของเมลิสซ่าเคยเป็นอัศวินแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจอนุมัติการเข้าถึงฐานข้อมูลของหอพิธีกรรมต้องห้ามได้

บัญชีของเธอถูกทิ้งไว้ให้กับเมลิสซ่าในฐานะความคาดหวังที่คุณแม่มีต่อเธอ นี่เป็นข้อมูลที่รู้กันโดยทั่วไปเช่นกัน แค่ว่าเมลิสซ่าไม่เคยใช้มันมาก่อน

แน่นอน ถ้าเธอเผลอทำอะไรสักอย่างจริงจังจนจดหมายเหตุที่อยู่ในฐานข้อมูลถูกเปลี่ยนไปล่ะก็ อัศวินหญิงเมลิสซ่าก็คงถูกตราหน้าเป็นคนทรยศไปแล้วล่ะ

“อ๊ะ! เจอแล้ว! ร้านหนังสือ!”

ดวงตาของเมลิสซ่าทอประกายเฉกเช่นคริสตัลเมื่อเธอจับจ้องไปที่ข้อมูลบนหน้าจอ

หลังจากที่จ้องมันไปสักพัก เธอก็พึมพำ “เป็นมิตร? ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ฉันก็ไปที่นั่นได้นี่…”

เมลิสซ่าตัดสินใจแล้วปิดคอมพิวเตอร์ก่อนที่ทัศนวิสัยของเธอจะเบือนไปที่แก้วใส่นมบนโต๊ะ

“เฮอะ”

เธอหยิบแก้วนั่นขึ้นมาแล้วกระดกหมดในเอื๊อกเดียว

ภายใต้แสงสลัว ไวลด์กำลังจดบันทึกด้วยปากกาขนนกของเขา

หน้ากากครึ่งหนึ่งของเขาถูกถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เสียโฉมโดยสมบูรณ์ซึ่งดูน่าสะพรึงกลัว หน้ากากอีกครึ่งหนึ่งนั้นถูกหลอมรวมไปกับผิวเนื้อของเขาไปแล้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าเขาไปโดยปริยาย

ขณะที่รูปลักษณ์ของเขาดูน่ากลัว การที่เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนนั้นทำให้บรรยากาศน่าตกใจลดลงไปได้นิดหน่อย

หนังสือที่ไม่ได้ตีพิมพ์ของหลินเจี๋ยวางอยู่ตรงหน้าของไวลด์ ระหว่างช่วงทำวิจัยนี้ ไวลด์ได้เขียนบันทึกจนทำสมุดโน้ตของเขาเต็มไปแล้วสามเล่ม!

“เป็นความรู้ที่ลึกล้ำและกว้างขวางอย่างไม่อาจประมาณได้จริง ๆ! สมแล้วกับที่เป็นคุณหลิน!” ไวลด์โอดครวญขณะที่เขาวางปากกาขนนกแล้วหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเพื่อตรวจทานการแก้ไขล่าสุดซ้ำอีกครั้ง

ระหว่างการเรียนรู้และวิจัยของเขา เขาพอจะเข้าใจโครงหลักของพิธีกรรมและขนบธรรมเนียมของนิกายกลืนศพขึ้นมาบ้างแล้ว

หนังสือเล่มนี้โดยหลักแล้วได้บันทึกเรื่องราวความเชื่อที่รู้จักกันในนามนิกายกลืนศพ รวมไปถึงพิธีกรรมและขนบธรรมเนียมสำคัญ ๆ ที่คนในนิกายกระทำ มันรวมไปถึงข้อมูลของวัตถุดิบที่ต้องใช้ระหว่างพิธี สูตรผสม และวิธีเปลี่ยนมันเป็นเครื่องเซ่นในท้ายที่สุด

จากการสรุปแบบตื้น ๆ ของไวลด์ เขาเห็นได้ว่าวัตถุดิบเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วคือซากศพ และวิธีเตรียมการนั้นก็รวมถึงการถ่ายเลือดออก สับเนื้อ แล่เนื้อ เผา และกระทั่งการกินอวัยวะภายใน ทุกอย่างช่างโหดร้ายเหลือแสน และใครที่ได้อ่านมันย่อมหนาวสะท้านด้วยความกลัว

กระทั่งนักเวทมนตร์ดำอย่างไวลด์ยังรู้สึกเกินจะรับได้นิดหน่อย

แต่ภายในความคิดวิปริตนี้กลับให้ความรู้สึกมีเหตุผลเข้ากันได้แปลก ๆ หนังสือเล่มนี้บรรจุด้วยระบบบูชายัญที่ใหญ่มาก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ระบุวันเวลาที่ชัดเจนและพิธีการที่เข้มงวด ทุกการบูชายัญมีความสำคัญของตัวมันเอง และเป็นรูปลักษณ์ของส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม

“ถ้าหากว่าภาษาปีศาจเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง ถ้าอย่างนั้นนิกายกลืนศพ : พิธีการและขนบธรรมเนียมนี่ก็ทำให้ฉันมองเห็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของวัฒนธรรมที่หายสาบสูญนี่ได้สักทีแหละนะ!”

ไวลด์สวมหน้ากากของเขาอีกครั้งแล้วพึมพำด้วยความพึงพอใจ “นี่มันชวนให้ถลำลึกมากเหลือเกิน… ฉันต้องขอบคุณคุณหลินสำหรับทุกอย่าง ของขวัญที่ฉันเตรียมไว้เขาจะต้องชอบแน่ ๆ”