บทที่ 41 เทียนเม่ยเอ๋อร์ (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 41 เทียนเม่ยเอ๋อร์ (ปลาย)

บทที่ 41 เทียนเม่ยเอ๋อร์ (ปลาย)

ชายผู้นั้นปลดเสื้อคลุมสีดำออกและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง “ข้าชื่อไป๋อู๋อี ชายที่จะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากน้ำมือของลู่หยวนได้”

บุตรแห่งโชคชะตาเอามือไพล่หลัง แม้สีหน้าจะสงบนิ่งดังปกติ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเจตจำนงอันแรงกล้า

เขาอาศัยอยู่ในโลกใต้น้ำร่วมกับเผ่าภูตผีตลอดสองสามวันที่ผ่านมา แล้วเผ่าภูตผีเหล่านั้นก็เก็บความลับได้เป็นอย่างดี เหล่าบริวารถูกส่งออกไปสืบหาข่าวคราวในทุกวัน จนทำให้เขาล่วงรู้ถึงทุกความเคลื่อนไหวของตระกูลไป๋

ครั้นรู้ว่าลู่หยวนกำลังเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะ โดยมีเพียงเฉาหงคอยปกป้องเป็นการส่วนตัว เขาจึงรีบรุดเดินทางมาหาเทียนเม่ยเอ๋อร์

นี่คือองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์จิ้งจอกสวรรค์ ผู้ที่อาจได้กลายเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ในอนาคต!

แม้ไป๋อู๋อีจะล้มเหลวในการครอบครองนาง แต่เขาก็เป็นผู้กลับชาติมาเกิด อีกทั้งยังมีข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าตนจะสามารถโน้มน้าวจิตใจเทียนเม่ยเอ๋อร์ได้!

“ช่วยข้าให้หลุดพ้น? ด้วยพลังอันน้อยนิดของเจ้า จะช่วยข้าได้อย่างไร?”

เทียนเม่ยเอ๋อร์เผยรอยยิ้ม แม้นางจะถูกปิดผนึกรากฐานการบ่มเพาะอยู่ในขณะนี้ แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ… ยังไม่ใช่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์อย่างแท้จริงด้วยซ้ำ จะต่างกับพวกราชันยุทธ์สักเท่าไหร่กัน?

แต่ลู่หยวนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นจักรพรรดิยุทธ์ เขามีวิธีการมากมายที่จะคว้าเอาสรรพสิ่งมาไว้ในมือ อีกทั้งยังฝังตราประทับทาสซึ่งไม่อาจลบล้างไว้บนร่างกายของนาง ถึงแม้จะใช้ทักษะลับของตระกูลก็ตาม อีกทั้งชายที่อยู่เบื้องหลังนางไม่ใช่ผู้ที่จะล่วงเกินได้

ไป๋อู๋อีคนนี้จะช่วยนางได้อย่างไร?

คนฟังเอียงศีรษะด้วยความสงสัยเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของคู่สนทนา ในขณะที่กุ่ยเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาเข้าใจความหมายในทันที จึงก้าวขาออกมา ก่อนที่สภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมดจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นอายพลังมืด ซึ่งอัดแน่นไปด้วยภาพหลอนและแรงกดดันมหาศาล

เมื่อกลิ่นอายนั้นหายไป ใบหน้าของเทียนเม่ยเอ๋อร์พลันซีดเซียว นางเกิดความสงสัยในใจถึงต้นกำเนิดของบุคคลผู้นี้ ชายตรงหน้าได้รับการปกป้องจากผู้แข็งแกร่งขั้นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับลู่หยวน?

“องค์หญิง เชื่อหรือยังว่าข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้?”

“หากรู้สึกว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้ายังไม่เพียงพอ ข้ายังมีผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขั้นพลังสูงคอยคุ้มครองอยู่”

รัศมีกลิ่นอายพลังมืดจางหายไป พลันเผยร่างไป๋อู๋อียืนเอามือไพล่หลัง อาภรณ์ขาวปลิวไสว พร้อมสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุม

เทียนเม่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เหตุใดเจ้าจึงต้องการช่วยเหลือข้า?”

ไป๋อู๋อีตระหนักได้ทันทีว่านางเชื่อมั่นในตัวเขาแล้ว ดังนั้นจึงกล่าว “ประการแรก เป็นเพราะเจ้าและข้ามีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นหากเราร่วมมือกันเพื่อสังหารเขาก็จะเป็นผลดีต่อเราทั้งสอง ประการที่สอง เจ้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์จิ้งจอกสวรรค์ หากเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ข้าก็อาจสร้างสัมพันธ์อันดีกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ได้ แล้วเหตุใดข้าจะไม่ช่วยเจ้าเล่า?”

“องค์หญิงรอนแรมมาเป็นเวลาหลายปี คงจะคิดถึงบ้านเกิดไม่น้อย หลังเสร็จสิ้นเรื่องราวทั้งหมด ข้าจะพาองค์หญิงกลับหุบเขาบูรพาด้วยตนเอง”

เทียนเม่ยเอ๋อร์เผยรอยยิ้ม สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการกลับบ้าน หากได้เช่นนั้นก็อาจเห็นด้วยพร้อมยอมรับข้อเสนอของไป๋อู๋อี และไว้วางใจในความแข็งแกร่งของเขา

ตราบใดที่นางมีโอกาสกลับบ้าน จะทำทุกวิถีทาง ไม่ยอมตกเป็นทาสรับใช้ที่นี่ตลอดไป!

วันนี้ไป๋อู๋อีเดินทางมาหานางเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมกองกำลัง ไม่ว่าไป๋อู๋อีจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถสังหารลู่หยวนด้วยการปะทะซึ่งหน้าได้ ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะใช้ประโยชน์จากการสนิทสนมกับนางเพื่อเข้าใกล้บุตรศักดิ์สิทธิ์และทำการจบชีวิตเขา

แต่ตอนนี้นางมีตราประทับแห่งการเป็นทาสอยู่ในร่างกาย ความคิดหรือการตัดสินใจทั้งหมดจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของลู่หยวน นางไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อเป็นการทรยศหรือทำร้ายชายผู้นั้นได้ ดังนั้นจะตกลงเข้าร่วมกองกำลังได้อย่างไร?

เทียนเม่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่กำลังจะกล่าว เสียงอันคุ้นเคยก็พลันดังก้องในหู

“ให้คำมั่นต่อเขา”

คำพูดที่แสนธรรมดาทำให้แผ่นหลังของหญิงสาวหางจิ้งจอกสั่นสะท้าน …แน่นอนว่านั่นคือเสียงของลู่หยวน

“เจ้า… เจ้านาย? ท่านกำลังเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะไม่ใช่หรือ?”

เทียนเม่ยเอ๋อร์ถามในใจ

“ข้ายังอยู่ระหว่างการเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะ แต่เจ้ากลับตั้งใจจะสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นและนำปัญหามาสู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”

นางแก้ต่างอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้านาย ข้ากำลังจะปฏิเสธเขา ข้าเป็นคนของท่าน จะให้ทรยศได้อย่างไร?”

บุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเย็นชา “จงอย่าปฏิเสธเขา ให้คำสัญญาไปเสีย และสำรวจภูมิหลังของเขาเพื่อข้า อีกทั้งกลิ่นอายพลังที่ปกคลุมเขาอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นของคนจากเผ่าภูตผี หากเจ้าสามารถสืบหาที่อยู่ของพวกเขาได้ ข้าจะพิจารณาปลดตราประทับทาสส่วนหนึ่งให้”

ดวงตาของผู้ฟังเปล่งประกายทันที “ขอบคุณเจ้านายยิ่ง!”

ไป๋อู๋อีรอคอยคำตอบจากเทียนเม่ยเอ๋อร์อย่างเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงเอ่ยถาม “องค์หญิงคิดอย่างไร?”

นางกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สงบนิ่ง ราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ทั้งงดงามและมีเสน่ห์ไม่น้อย

แม้แต่ไป๋อู๋อีผู้มีแต่ชิวเอ๋อร์ในหัวใจก็ยังตกตะลึงกับความงดงามของนาง เขารีบเบนสายตาไปทางอื่นในทันที และรู้สึกว่านางคู่ควรแก่การเป็นผู้สืบทอดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์มากกว่าอยู่เคียงข้างตน เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็มีรูปลักษณ์ของสัตว์อสูร!

ไป๋อู๋อีสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มหัวใจที่เต้นระรัวลงก่อนจะเอ่ย “องค์หญิงโปรดให้คําตอบข้าโดยเร็วด้วย”

“ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะตอบตกลง แต่หากจะเป็นพันธมิตรกัน เจ้าต้องแสดงความจริงใจและเผยไพ่ทั้งหมดก่อน เจ้าบอกว่ามีคนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเห็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่เทียมเทพเท่านั้น”

“ถ้าเจ้าหลอกลวงทรยศข้า ด้วยสันดานอันโหดร้ายไร้เมตตาของลู่หยวน เมื่อเขาพบว่าข้าทรยศ ข้าคงไม่อาจหลบหนีความตายได้พ้น จริงหรือไม่?”

“และ…”

ดวงตาของเทียนเม่ยเอ๋อร์จ้องเขม็งไปที่ร่างของกุ่ยเหยียนอย่างเคร่งขรึม “เมื่อครั้งที่เขาแสดงพลังของตัวเองก่อนหน้านี้ ข้าสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายที่แผ่จากร่างของเขาเหมือนกับพลังของสมาชิกเผ่าภูตผี!”

เมื่อเห็นว่าตัวตนของกุ่ยเหยียนถูกสงสัย ไป๋อู๋อีก็ไม่แปลกใจและยกยิ้มอย่างเฉยเมย ถ้านางตกลงในทันที ตนคงต้องชั่งใจว่ามีการวางหลุมพรางไว้หรือไม่

ตอนนี้เมื่อมองไปที่องค์หญิงหางจิ้งจอก ดูเหมือนว่านางขุ่นเคืองลู่หยวนไม่น้อย และโดยเฉพาะการตั้งคําถามเช่นนี้ หมายความว่านางกระตือรือร้นที่จะตีตัวออกจากชายผู้นั้น

บุตรแห่งโชคชะตาต้องวางใจจนถึงที่สุดว่าเทียนเม่ยเอ๋อร์กับลู่หยวนนั้นเป็นศัตรูกันจริง ๆ จึงจะตัดสินใจร่วมมือกับนางได้

“องค์หญิงพูดมีเหตุผล หากจะเป็นพันธมิตรกัน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเผยไพ่ลับให้ได้เห็น โปรดตามข้ามา”

หลังจากพูดจบ ไป๋อู๋อีเดินนำไปยังหน้าผาที่อยู่ไม่ไกล โดยมีหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ติดตามไป

ใต้หน้าผามีสายธารอยู่สายหนึ่ง กุ่ยเหยียนยื่นมือออกไปสร้างม่านพลังครอบคลุมทั้งสองเหมือนเปลือกไข่ ก่อนควบคุมม่านพลังให้เคลื่อนตัวพาทั้งสองลงไปในสายธาร

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ทั้งสามคนก็อยู่ใต้ผืนน้ำและที่ก้นบึ้ง เทียนเม่ยเอ๋อร์เห็นลำแสงพิสดารปรากฏขึ้นไม่ไกลต่อหน้าก่อนตนจะถูกพาทะลุผ่านเข้าไปในลำแสง

จากนั้น เท้านวลละมุนจึงได้แตะลงพื้น…

นางมองซ้ายขวาพลางคิดในใจ ‘มีดินแดนอยู่ใต้น้ำนี้ด้วยหรือ? ทว่าเหตุใดแผ่นดินเบื้องล่างจึงเลวร้ายเช่นนี้? มันแห้งแล้ง ไม่มีหญ้าแม้แต่ต้นเดียว เต็มไปด้วยฝุ่นทรายช่างดูหดหู่’

ทันใดนั้น ประตูสัมฤทธิ์ก็พุ่งลงมาจากผิวน้ำ ปักตระหง่านลงบนพื้นดินต่อหน้าทุกคน พลางปลดปล่อยมวลพลังมืดเล็ดลอดออกจากรอยแยกของบานประตูอยู่เนือง ๆ เห็นชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งปกติสามัญ

และประตูสัมฤทธิ์ยังมีวงเวทสีทองที่กำลังหมุนอย่างเชื่องช้าปกคลุมอยู่ เมื่อใดก็ตามที่มวลพลังมืดเล็ดลอดออกมาจากช่องว่าง วงเวทนี้จะสั่นเล็กน้อย และมวลพลังมืดจะแสดงอาการคล้ายสัมผัสสิ่งน่าสะพรึงกลัว ก่อนกลับเข้าไปในประตูทันที

ไป๋อู๋อีก้าวไปข้างหน้าก่อนวางมือบนประตูสัมฤทธิ์ และทันใดนั้นวงเวทสีทองก็ส่องแสงสว่างขึ้น และอักขระโบราณโดยรอบทั้งหมดก็ค่อย ๆ สลายหายไป

หง่างเหง่ง!

เสียงเหมือนระฆังดังผ่านหู

ถัดมา มวลพลังมืดได้หลอมรวมกัน และประตูสัมฤทธิ์ค่อย ๆ เปิดออก ซึ่งสิ่งแรกที่ทุกคนเห็นคือวานรยักษ์สามตา

“โฮก!”