ตอนที่ 41 ฝ่ายหญิงก็มีญาติหนุนหลัง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 41 ฝ่ายหญิงก็มีญาติหนุนหลัง

ณ จุดพักม้า ริมเส้นทางหลวง มีรั้วรอบขอบชิด ด้านในมีหญ้าแห้งกองสุมเป็นภูเขา

ไกลออกไปมีม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อเข้ามา เมื่อเข้าใกล้จุดพักม้าก็ชะลอความเร็วลง เฉินกุยซั่วควบม้าตรงเข้าไปในจุดพักม้า

พอถึงด้านในเขาก็หยุดม้า กระโดดลงจากม้า แสดงป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งต่อเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาต้อนรับ

จากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็จูงม้าตัวใหม่ที่พักผ่อนเต็มที่แล้วมาให้เขา เฉินกุยซั่วพลิกตัวขึ้นหลังม้า จากนั้นก็ทะยานออกจากจุดพักม้า ลงแส้เร่งม้าไปตลอดทาง ม้าได้พักทว่าคนไม่ได้พักเลย…

…….

บนถนนหลวงเส้นหนึ่งภายในตัวจังหวัดกว่างอี้ หนิวโหย่วเต้าเป็นผู้นำขบวนทหารม้าสิบคน แต่ความเร็วในการควบขี่กลับไม่เร็วนัก ตลอดทางควบม้าไปอย่างไม่เร่งร้อน เพราะพวกเขาไม่มีจุดพักม้าให้ใช้ จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเรี่ยวแรงของม้าที่สูญเสียไปด้วย

องครักษ์ของซางเฉาจงเปลี่ยนไปสวมชุดชาวบ้านธรรมดาหมดแล้ว องครักษ์บางส่วนถูกหนิวโหย่วเต้าจัดให้ประจำอยู่ตามรายทาง ส่วนที่เหลือติดตามเขาไป

เมื่อเห็นกำแพงเมืองสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงเบื้องหน้า หยวนกังก็ยกมือส่งสัญญาณ องครักษ์สองนายที่อยู่ท้ายขบวนหยุดม้า หักเลี้ยวเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าข้างทาง ทำหน้าที่รับส่งข่าวสาร คนในขบวนที่เหลือเดินหน้าต่อ เมื่อถึงประตูเมืองก็ลงจากม้าเข้ารับการตรวจสอบจากทหารยาม องครักษ์ของซางเฉาจงก้าวเข้าไปจัดการเรื่องด่านตรวจ ถึงแม้ซางเฉาจงจะตกอับ แต่ก็ยังไม่ใช่คนที่ชาวบ้านธรรมดาจะสามารถเทียบได้ ภายใต้สถานการณ์ที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในช่วงปลอดสงคราม การจะปลอมแปลงสถานะเป็นพ่อค้าวาณิชอันใดสักหน่อยเพื่อเข้าเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร

หลังจากเข้ามาในตัวเมืองของจังหวัดกว่างอี้ถึงได้พบว่าสถานที่ที่เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์นั้นไม่ธรรมดาจริงดั่งว่า บนท้องถนนค่อนข้างคึกคัก ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ร้านรวงเรียงราย มีผู้คนแต่งตัวภูมิฐานดูดีอยู่มากมาย ไม่อาจนำความเสื่อมโทรมแร้นแค้นของโลกภายนอกมาเทียบได้เลย หนิวโหย่วเต้าขี่ม้าฝ่าฝูงชน กวาดสายตามองรอบข้าง พิจารณาความเจริญรุ่งเรืองของโลกแห่งนี้

พวกเขาเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ดูใช้ได้แห่งหนึ่ง พนักงานของโรงเตี๊ยมจูงม้าไปดูแล ส่วนทหารองครักษ์ก็แยกย้ายไปตามห้องพักที่จัดตรียมไว้

เมื่อทั้งกลุ่มพบห้องพักและจดจำห้องของตนไว้แล้ว พวกเขาก็มารวมตัวกันอีกครั้ง หยวนกังสั่งให้องครักษ์สามนายออกไปสืบหาข่าวจำเป็นในตัวเมือง จากนั้นเอ่ยกับองครักษ์อีกสามนายที่เหลือว่า “เดินทางมาเหนื่อยๆ รีบผลัดกันไปพักผ่อนเถอะ”

“ขอรับ!” ทั้งสามประสานมือรับคำสั่ง รีบหันหลังกลับเข้าไปยังห้องพักของตัวเองทันที

ส่วนตัวหยวนกังนั้นติดตามหนิวโหย่วเต้าออกไปจากโรงเตี๊ยมอีกครั้งหนึ่ง เดินเตร่ไปตามถนนในตัวเมือง

ทั้งสองคล้ายกำลังเที่ยวเล่นอยู่จริงๆ เมื่อพบร้านแพรพรรณ หนิวโหย่วเต้าวิ่งฉิวเข้าไปอุ้มแพรต่วนชั้นดีขึ้นมาลูบคลำ หันไปร้องจุ๊ๆ ใส่หยวนกังเป็นพักๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าดูฝีมือและทักษะการทอผ้าผืนนี้สิ ประณีตงดงาม ไม่เลวเลยจริงๆ!”

คำชมนี้ทำให้เถ้าแก่ที่อยู่ในร้านดีใจ หนิวโหย่วเต้าสอบถามราคา ทว่าไม่ได้ซื้อ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอีกครั้ง ทำให้เถ้าแก่ร้านดีใจเก้อ

ร้านเครื่องประดับและตลาดปศุสัตว์ตลอดจนร้านรวงต่างๆ ทุกแห่งล้วนมีเงาร่างของหนิวโหย่วเต้าโฉบเข้าไปสอบถามราคา

สรุปแล้วคือท่าทางของคนทั้งสองไม่คล้ายคนมาทำธุระเลยสักนิด หากแต่คล้ายคนมาเดินจับจ่ายซื้อของ…

……..

จวนตระกูลซ่ง ณ เมืองหลวง ซ่งจิ่วหมิงในชุดลำลองยืนคอยแขกอยู่บนขั้นบันไดนอกโถงรับแขก แขกที่ทำให้เสนาบดียุติธรรมผู้สูงศักดิ์ออกมารอต้อนรับด้วยตัวเองได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

ซ่งจิ่วหมิงยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย ทว่าในหลืบมุมทั้งสองด้านกลับมีเงาร่างของยอดฝีมือที่ทำหน้าที่อารักขาปรากฏให้เห็นตะคุ่มๆ

หลังคอยอยู่ครู่หนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินอ้อมออกมาจากฉากภูเขาจำลอง ชายฉกรรจ์ไว้หนวดเคราคนหนึ่งเดินวางท่าขึงขังเข้ามา สีหน้าบึ้งตึงดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก

คนผู้นี้คือหนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารองครักษ์พิทักษ์เมืองหลวง มีนามว่าหวังเหิง แม้ว่าลำดับขุนนางจะสู้ซ่งจิ่วหมิงไม่ได้ แต่ในมือควบคุมกองทัพนับหมื่นเอาไว้ ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเขา และหวังเหิงก็คือพ่อตาของซ่งเหยี่ยนชิง สตรีร่างอวบท้วมที่ก้มหน้าเดินตามหลังเขามาต้อยๆ ก็คือหวังหลิวฟางผู้เป็นภรรยาของซ่งเหยี่ยนชิง

พวกซ่งซูสามีภรรยาเดินอยู่ข้างๆ ใบหน้าฉาบยิ้มเอาใจ พวกเขาออกไปต้อนรับญาติฝ่ายหญิงที่หน้าประตูใหญ่ ก่อนจะนำทางเข้ามาด้วยตัวเอง จนปัญญาที่ญาติฝ่ายหญิงคล้ายจะไม่ไว้หน้าเท่าไร สีหน้าดูบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง

หวังเหิงมีผู้บำเพ็ญเพียรคุ้มกันสี่คนตามประกบซ้ายขวา สี่คนนี้คอยสังเกตการณ์รอบข้างมาตลอดทาง

เมื่อเดินมาถึงด้านล่างบันไดโถงรับแขก หวังเหิงประสานมือคารวะ เอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้น้อยน้อมพบท่านเสนาบดียุติธรรม”

ใบหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์มาโดยตลอดของซ่งจิ่วหมิงพลันมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นมา เขารีบก้าวลงบันไดไป จับข้อมือหวังเหิงพลางเอ่ยว่า “ญาติสะใภ้มากพิธีไปแล้ว ที่นี่ไม่มีผู้น้อยผู้ใหญ่อันใดทั้งนั้น ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน แม่ทัพใหญ่ เชิญด้านในเถิด!” เขาจับมือหวังเหิง จูงเข้าไปในห้องโถงด้วยความเป็นกันเอง

ทั้งสองแยกกันนั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน พวกซ่งซูได้แต่ยืนเท่านั้น หวังหลิวฟางยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังหวังเหิงผู้เป็นบิดาด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ

มีบ่าวยกน้ำชามาให้ เจ้าบ้านและแขกจิบชากันอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งจิ่วหมิงก็ถามเข้าประเด็นว่า “ลมใดหอบแม่ทัพใหญ่มาถึงที่นี่ได้?”

ปึง! ถ้วยชาที่อยู่ในมือหวังเหิงเกือบจะกระแทกลงบนโต๊ะน้ำชา เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “หากข้ายังไม่มาอีก เกรงว่าลูกหญิงของข้าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว ตัวข้าหวังเหิงชาติตระกูลต่ำต้อย ไม่อาจเอื้อมเกี่ยวดองท่านเสนาบดียุติธรรม ที่มาในวันนี้ เพื่อร้องขอหนังสือหย่าจากตระกูลซ่งให้ลูกหญิงของข้า!”

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดแม่ทัพใหญ่ถึงกล่าวเช่นนี้ ฟางเอ๋อร์เพียบพร้อมน่าเอ็นดู ตระกูลเราถูกใจอย่างยิ่ง จะอยู่ต่อไปไม่ไหวได้อย่างไร? พวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ไยจึงเอ่ยถึงหนังสือหย่าเล่า? หรือท่านแม่ทัพใหญ่คิดจะทำลายความรักของหนุ่มสาวกัน?”

หวังเหิงถลึงตาพลางกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านเสนาบดียุติธรรม คนซื่อตรงย่อมพูดจาเปิดเผย ปีนั้นเป็นตระกูลซ่งของพวกท่านที่มาขอเกี่ยวดอง พอแต่งเข้ามาฝ่ายที่หมางเมินเย็นชาใส่ก็คือตระกูลซ่งของพวกท่าน! ลูกสาวออกเรือนก็เหมือนสาดน้ำออกนอกบ้าน แต่งไก่ตามไก่แต่งสุนัขตามสุนัข ชีวิตคู่ของหนุ่มสาวจะเป็นอย่างไร นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา ข้าก็มิได้ก้าวก่ายมากมายนัก แต่ไอ้เด็กสารเลวซ่งเหยี่ยนชิงคนนั้นมันจะรังแกกันเกินไปแล้ว!” ปึง! เขาตบโต๊ะน้ำชาอีกคราหนึ่ง สั่นสะเทือนจนถ้วยชากระดอนขึ้นมา

มุมปากซ่งซูกระตุกเมื่อได้ยินคำด่าว่า ‘ไอ้เด็กสารเลว’ หากซ่งเหยี่ยนชิงเป็นไอ้เด็กสารเลว เช่นนั้นเขาก็คงเป็นไอ้สารเลวด้วย คนตระกูลซ่งประดักประเดิดอยู่บ้าง กลายเป็นไอ้สารเลวกันทั้งบ้านแล้ว

“แม่ทัพใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว!” ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเบาๆ

หวังเหิงกล่าวว่า “ไม่หนักเลยแม้แต่น้อย ไอ้คนทรามซ่งเหยี่ยนชิงผู้นั้นดื่มสุราเคล้านารีอยู่ด้านนอก สำมะเลเทเมาตามหอนางโลม ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ ต่างเป็นบุรุษเหมือนกัน มีการสังสรรค์เข้าสังคมบ้างข้าก็พอจะเข้าใจได้ ข้าเองก็หาใช่คนไร้เหตุผลไม่รู้ความ บางเรื่องข้าก็ยอมหลับตาข้างลืมตาข้าง ทำเป็นไม่เห็นไปเสีย เขาเล่นสนุกอยู่ด้านนอก ข้าไม่ก้าวก่าย และข้าก็ไม่อาจนำเชือกไปมัดตัวเขากลับมาได้ด้วย แต่ทุกอย่างล้วนมีหนักเบา เขามีครอบครัวแล้ว ไม่ควรเล่นสนุกจนละเลยคนที่บ้าน ลูกหญิงแทบจะไม่เคยพบหน้าเขาเลย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันเล่า? ครั้งนี้ยิ่งหนักข้อกว่าเดิม ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว ลูกหญิงไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ทุกวันต้องรอคอยอย่างเดียวดายด้วยน้ำตานองหน้า รังแกกันเช่นนี้ได้หรือ? ในเมื่อไปกันไม่รอด เช่นนั้นก็อย่าฝืนเลย มอบหนังสือหย่าให้ทั้งสองเป็นอิสระจากกันเสียดีกว่า!”

เสียงเขาดังลั่น สั่นสะเทือนจนหลังคาแทบจะหลุดล่อนลงมา หวังหลิวฟางที่อยู่ด้านหลังก็น้ำตาคลอเบ้า ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง

คนตระกูลซ่งละอายยิ่งนัก น้อยนักที่จะมีคนมาตบโต๊ะโวยวายไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ถึงในบ้าน หากเป็นชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนี้ได้ ผู้ใดกล้าทำแบบนี้ก็ลองดูสิ แต่ภูมิหลังชาติตระกูลของหวังเหิงกลับต่างออกไป อย่างที่โบราณว่าไว้ ฝ่ายหญิงก็มีญาติหนุนหลัง! ปกติต่อให้หวังหลิวฟางจะไม่ได้ดั่งใจแค่ไหน แต่คนทั้งตระกูลซ่งก็ยังปฏิบัติต่อนางด้วยความเกรงใจ ด้านชีวิตความเป็นอยู่ย่อมต้องสุขสบาย แม้ภายในใจจะมีความไม่พอใจต่อนาง แต่พ่อแม่สามีก็ยังพูดคุยกับนางด้วยความโอบอ้อมอารี

ซ่งจิ่วหมิงอับอายขายหน้า โทสะสุมเต็มท้อง เหลือบมองซ่งซูอย่างเยียบเย็น พลันชี้หน้ากล่าวตำหนิ “เลี้ยงลูกไม่ดีเป็นความผิดของบิดา! วันนี้ข้าขอรับรองต่อหน้าญาติสะใภ้ หากต่อไปยังมีเรื่องเช่นนี้ให้ญาติสะใภ้ต้องเอ่ยถึงอีก ข้าจะหักขาไอ้คนทรามผู้นั้น…”

หวังเหิงเงยหน้ามองเพดาน ไม่ปริปากพูด ฟังซ่งจิ่วหมิงดุด่าซ่งซูอย่างไม่แยแส หนังสือหย่าอันใดนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงที่เขามาวันนี้ก็เพื่อออกหน้าช่วยเหลือบุตรสาวเท่านั้น

ดุด่ากันไปยกหนึ่ง ซ่งจิ่วหมิงที่ดุด่าซ่งซูจนได้แต่ต้องก้มหน้ายอมรับก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาหวังเหิง เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “แม่ทัพใหญ่ เป็นข้าที่สะเพร่าเอง ท่านวางใจเถอะ ต่อไปไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก อีกอย่าง เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่อาจจะเข้าใจเจ้าเด็กทรามคนนั้นผิดไปเล็กน้อย”

“เข้าใจผิดหรือ?” หวังเหิงเลิกคิ้วแวบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เขานึกว่าซ่งจิ่วหมิงกำลังจะขอขมาลาโทษ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็พูดจาตามมารยาทกันสองสามประโยคแล้วจบลงด้วยดี ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะมาบอกว่าตนเข้าใจผิด เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที นี่มันจะรังแกตระกูลหวังของเขาเกินไปแล้ว แม้แต่เขาก็ยังไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ แล้วต่อไปลูกหญิงยังจะมีชีวิตที่ดีในตระกูลซ่งได้หรือ?

ซ่งจิ่วหมิงยกมือขึ้นเล็กน้อย สื่อให้เขาใจเย็นๆ ก่อน จากนั้นขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูว่า “เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ก่อนที่คนผู้นั้นจะถูกปล่อยตัวออกจากคุก เบื้องบนมีคำสั่งลงมา เหยี่ยนชิงจึงต้องควบม้ากลับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลางดึก ไปทำภารกิจสำคัญ หาได้ออกไปสำมะเลเทเมาอยู่ด้านนอกไม่ยอมกลับไม่ เขาเองก็มีความจำเป็นเช่นกัน หวังว่าแม่ทัพใหญ่จะเข้าใจด้วย!”

“โอ้!” หวังเหิงกะพริบตาปริบๆ พอจะเข้าใจบางอย่างแล้ว สีหน้าขุ่นเคืองค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนคลายลง เผยท่าทางใช้ความคิดเล็กน้อย

และในเวลานี้เอง พ่อบ้านตระกูลซ่งปรากฏตัวขึ้นนอกประตู ร้องเรียกซ่งเฉวียนที่อยู่ด้านใน “นายท่าน!”

ซ่งเฉวียนรีบเดินออกไป เห็นสีหน้าเขาผิดปกติ ทราบว่าคงเกิดเรื่องขึ้น จึงออกไปคุยกันที่ใต้ชายคาข้างเรือน “เกิดอะไรขึ้น?”

พ่อบ้านกระซิบว่า “เกิดเรื่องกับนายน้อยของคุณชายสามขอรับ!” มือยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้

ซ่งเฉวียนรับไปอ่านแวบหนึ่ง สีหน้าพลันตึงเครียด รีบเดินกลับเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว เชิญซ่งจิ่วหมิงที่กำลังกระซิบพูดคุยกับหวังเหิงออกมาอีกด้านหนึ่ง กล่าวกระซิบกระซาบสองสามประโยค จากนั้นก็มอบจดหมายลับให้

หลังจากซ่งจิ่วหมิงอ่านจดหมายจบก็ค่อยๆ หลับตาลง ทุกคนในห้องต่างสังเกตเห็นความผิดปกติ ล้วนจ้องมองมาที่เขา

หลังลืมตาขึ้นอีกครั้ง ซ่งจิ่วหมิงมองไปทางหูกุ้ยจือผู้เป็นภรรยาของซ่งซู เอ่ยว่า “สะใภ้สาม พาฟางเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นหน่อยไป!”

หูกุ้ยจือรับคำ เดินเข้าไปชักชวนหวังหลิวฟางที่อยู่ข้างกายหวังเหิง หวังหลิวฟางกลับมองไปที่บิดา หวังเหิงทราบว่าซ่งจิ่วหมิงน่าจะมีเรื่องบางอย่าง จึงโบกมือเล็กน้อยให้บุตรสาวตามแม่สามีตนออกไป

เมื่อคนที่ได้รับผลกระทบไม่อยู่แล้ว จดหมายลับในมือซ่งจิ่วหมิงก็ถูกส่งต่อให้หวังเหิง

หลังหวังเหิงอ่านจบ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง มองซ่งจิ่วหมิงทันที “ใต้เท้าหมิง รายงานนี้เป็นความจริงหรือ?”

“ไม่มีทางนำเรื่องเช่นนี้มาโป้ปดแน่” ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเบาๆ

หวังเหิงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเงียบเชียบ รู้สึกคล้ายหมดเรี่ยวแรง สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังเขาพากันมองหน้าสบตากัน ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น

“เจ้าสาม เจ้าทำใจดีๆ เอาไว้” ซ่งจิ่วหมิงหันมองไปทางลูกชาย “เหยี่ยนชิงประสบเหตุ เสียชีวิตแล้ว!”

“……” ซ่งซูตะลึงงัน ท่าทางคล้ายไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นรีบพุ่งเข้าไปตรงหน้าหวังเหิง แย่งจดหมายลับในมือเขามาอ่าน หลังจากทราบสถานการณ์ชัดเจนแล้ว เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว ร่างกายส่ายโงนเงน ซ่งเฉวียนรีบเข้าไปพยุงเขาไว้

……………………………….