ซวย ซวยแล้วไง

“ซิลเวีย มีใครเห็นซิลเวียบ้างไหม”

ท่านดยุคพยายามตะโกนถามหาบุตรีของตนเอง ทว่าหลายคนต่างส่ายหน้า ไม่มีใครรู้ว่าซิลวี่นั้นได้หายไปตอนไหนกัน

“จะบอกว่าถูกปีศาจร้ายลักพาตัวไปเพื่อหยุดยั้งแผนการฟื้นอาคมก็ไม่ใช่ แม้อาคมของซิลฟอร์เทียจะอ่อนแอลงไป แต่ที่ใจกลางอย่างไรก็ยังคงแข็งแกร่ง”

ตามที่ท่านดยุคว่ามา จริงอยู่ที่อาคมป้องกันเริ่มเสื่อมถอย แต่จากรอยแตกร้าวที่ผมเห็นในนิมิต มันมีแต่ที่รอบเมืองเท่านั้น ในตัวปราสาทนั้นยังมีออร่าสีฟ้าปกคลุมอย่างแน่นหนา ดังนั้นไม่น่ามีปีศาจตนใดจะผ่านเข้ามาได้

“หรือว่าซิลว่า… ซิลเวียวิ่งออกไปเพราะหนูกดดันเธอมากเกินไปเหรอเปล่า”

ความคิดชั่วแวบหนึ่งโผล่เข้ามาในหัว และนั่นก็ดูจะเป็นไปได้มากเพราะบางทีผมเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าผมกดดันเธอมากเกินไป พวกเราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน แต่ผมเล่นวางแผนจะลากเธอเข้ามาอยู่ในจุดที่มีภาระอันหนักอึ้ง ทั้งที่จิตใจนั้นยังไม่พร้อมและคอยดูถูกตัวเองตลอดเวลา

นี่มันทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมา ความรู้สึกหม่นหมองเริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจของผมอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

‘ใจเย็นก่อนออโรร่า เรื่องนี้ที่เจ้าทำไปถึงแม้จะมีผลพลอยได้แอบแฝงแต่แท้จริงแล้วนั้นข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี อย่าโทษตัวเองเลย ไม่ช้าก็เร็วเด็กคนนั้นก็ต้องพบบททดสอบเช่นนี้เข้าสักวัน เจ้าแค่นำมันมาให้เธอพบเร็วขึ้นก็เท่านั้น’

เสียงของราสดังขึ้นมา มันไม่ใช่เสียงของตาแก่ขี้หงุดหงิดอีกต่อไป มันเป็นเสียงของผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามากมายกำลังพยายามสอนเราด้วยความปรารถนาดี เสียงที่ปกติรู้สึกว่าน่ารำคาญก็กลับมาช่างน่าฟังชวนอบอุ่น

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยท่านนักบุญ ท่านทำตามพระประสงค์ เป็นซิลเวียเองที่ไม่พร้อมรับมัน”

ท่านดยุคพยายามปลอบผม แต่คำปลอบนั่นผมก็ได้แต่รู้สึกหงุดหงิดใจ ว่าเหตุใดกันทำไมชายตรงหน้าถึงได้กดดันเด็กสาวคนหนึ่งมากมายขนาดนี้

“ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง การจะวิ่งออกไปโดยไม่มีใครในห้องเห็นนับว่าแปลก เพราะพวกเราอยู่กันในห้องผนึก กว่าจะออกจากห้องได้ก็ต้องผ่านอัศวินที่อารักขามากมาย ต่อให้รวดเร็วขนาดไหนก็ต้องมีคนเห็นครับ”

“นั่นสินะคะ แล้วทำไมกันนะ”

ถ้างั้นแล้วซิลวี่หายตัวไปได้ไงกัน ถ้าจะบอกว่าเธอหนีไปเองโดยใช้เวทนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะตัวเธอที่ผมรู้จักคือสาวน้อยที่มุ่งมั่นในทางดาบ การที่จู่ ๆ จะบอกว่านั่นคือฉากหน้าแต่แท้จริงแล้วแอบฝึกเวทขั้นสูงไว้มันก็ออกจะมโนเกินเหตุไปหน่อย

“เรื่องซิลเวียข้าและคนของกลอริเอลจะเป็นคนจัดการเอง ขอท่านนักบุญจัดการเรื่องอาคมที่แห่งนี้ พวกข้ารับรองในฐานะดินแดนแห่งนักรบทางเหนือ จะไม่มีทางปล่อยให้วิญญาณร้ายใด ๆ เข้ามารบกวนท่านอย่างแน่นอน”

ท่านดยุคกล่าวอย่างแข็งขันก่อนที่เขาจะเดินจากไปพร้อมกับกองอัศวินจำนวนมาก ส่วนที่ห้องแห่งนี้ กลายเป็นว่าเหลืออัศวินองครักษ์ที่เมืองหลวงส่งมาเพื่อคุ้มกันผมกับเหล่านักบวชเท่านั้น

“เอ่อไม่ไปช่วยพวกเขาจัดการเรื่องข้างนอกจะดีเหรอคะ”

“หน้าที่สำคัญสุดของพวกเราคือความปลอดภัยของท่านนักบุญผู้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าแห่งเรสเวนน่า ส่วนเมืองกลอริเอลก็เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องจัดการเอง”

ผมถามหน่วยอัศวินองครักษ์แต่พวกเขาส่ายหน้าและตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังจนไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี

ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะเดินกลับมาหาดาบซิลฟอร์เทียซึ่งยังคงปักที่แท่นอย่างมั่นคงไม่ไหวติง โดยรอบ ๆ ตอนนี้พวกนักบวชก็เริ่มตั้งวงเป็นวงกลมพร้อมที่จะสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่ออสนับสนุนผม

เอาเถอะ ถึงไม่รู้ว่าผลมันจะเป็นอย่างไรแต่ถ้าอุดรอยรั่วได้ แม้จะชั่วคราวก็น่าจะสามารถทำให้พวกดยุคคุมสถานการณ์ได้ล่ะนะ พอเรื่องสงบการจะตามหาซิลเวียน่าจะไม่ยาก

‘เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าไปเถอะยัยหนู ระหว่างนี้ข้าจะพยายามตรวจสอบร่องรอยต่าง ๆ ให้เอง’

อืม ขอบคุณมากนะราส ถ้างั้นผมเองก็ต้องทำในส่วนของผมให้เต็มที่ล่ะนะ

แต่ว่าจะไหวไหมเนี่ย…

เอาไงเอากัน ออโรร่าสู้ตาย!!!

ผมผสานมือทั้งสองของตัวเองก่อนนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาจดจ้องไปที่ซิลฟรอเทียซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แสงของมันเรืองรองสั่นวูบวาบไปมา บ่งบอกถึงความพยายามของดาบแห่งแดนเหนือซึ่งปกป้องเมืองมาอย่างยาวนาน

“องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เมตตาแห่งผู้ศรัทธาทั้งมวล…. ขอพระองค์ทรงสดับฟัง อารักษ์แห่งเดือนเหนือผุ พังสลาย ความมืดอันชั่วช้าพยายามกลืนกินนครซึ่งอยู่ใต้เมตตาของพระองค์”

ผมเริ่มรู้สึกถึงพลังของตัวเองที่พวยพุ่ง ความรู้สึกอบอุ่นได้แผ่ออกมาทั่วร่าง ร่างของผมเริ่มส่องสว่างออกมาพร้อมกับมีละอองแสงกระจายออกมาทั่วไปหมด

ดาบแห่งเหมันต์เริ่มตอบสนอง แสงสว่างสีฟ้าที่สั่นไหวไปมาเมื่อต้องกับละอองแสงจำนวนมากที่เข้าไปห่อหุ้มก็เริ่มกลับมานิ่งสงบเรื่อย ๆ

“ข้าขออธิษฐาน ไม่ใช่เพื่อตัวข้าแต่เพื่อคนของกลอริเอล ดินแดนของผู้ศรัทธาและความกล้าหาญซึ่งบัดนี้ได้ถูกความชั่วช้ารุกราน ขอพระองค์เมตตาส่งพลังอันยิ่งใหญ่…. อึก!!”

“ท่านนักบุญ!!!”

หนักกว่าที่คิดแหะ

ผมเริ่มรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงของตัวเองถูกดูดหายไป อากาศรอบ ๆ เริ่มหายใจยากมากขึ้นทุกที ที่กลางอกก็เริ่มรู้สึกแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนจะพูดออกมายังรู้สึกลำบาก

“พวกเรา รีบส่งพลังให้กับท่านนักบุญ”

“ไม่ได้ผล… นี่มัน…”

“ค่ะ..ปัญหาไม่ใช่พลังแต่คงเป็นที่ขีดจำกัดของหนูเอง”

ปัญหาน่าจะไม่ใช่เรื่องพลัง พลังที่พระเจ้าให้มานั้นทำให้ผมสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร้จำกัด แต่เป็นเพราะร่างกายของผมนั้นยังเป็นเด็กทำให้ยังยากต่อการรับพลังขนานใหญ่ในคราเดียว

ครั้งนี้พลังที่จะใช้เพื่อปกป้องเมืองทั้งเมืองก็ย่อมต้องแบกรับพลังมหาศาลที่ไหลผ่านมามากกว่าครั้งไหน ๆ อยู่แล้ว

ดังนั้นหากได้ซิลเวียเข้ามาช่วย พลังที่ไหลผ่านจะไม่ได้ผ่านมาที่ผมคนเดียว แต่จะผ่านเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นภาระที่ต้องแบกรับจึงจะน้อยลง

มาคิดเอาตอนนี้ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก มีแต่ต้องลุยต่อเท่านั้นล่ะ

ผมพยายามตั้งสติอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ผมหลับตาพลางจดจ่อไปที่กระแสพลังที่ไหลผ่าน ทุกครั้งที่ใช้ผมนั้นปล่อยให้กลไกของร่างกายนักบุญที่พิเศษกว่าใครเป็นตัวจัดการ แต่ว่าหากครั้งนี้ผมพยายามควบคุมพลังด้วยวิชาที่เจ้าราสเคยสอน พลังก็น่าจะเสถียรกว่าเดิม

“ขอพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไหลผ่านข้าเพื่อเติมเต็มช่องว่างอันขาดหายแห่งผนึกเหมันต์ ให้ศรัทธาของผองเราทั้งมวล กลายเป็นเกราะแห่งความหวังต่อสิ่งชั่วร้ายทั้งมวล”

ครั้งนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ไหลผ่านเข้ามาในร่างกาย มันช่างชัดเจนกว่าทุกครั้งที่เคยสัมผัส ร่างกายของผมตอนนี้ราวกับถูกพายุหิมะมหาศาลพุ่งสาดเข้าใส่

ร่างกายของนักบุญพยายามจะปรับรับกับพลังนั่น ร่างของผมเริ่มส่องสว่างเรืองรองขึ้น ความอบอุ่นของแสงเหล่านี้ได้พุ่งเข้าไปปรับพายุพลังอันบ้าคลั่งที่ถาโถมเข้ามา ผมเองก็พยายามกำหนดจิตของตัวเองเข้าไป

ผมเริ่มเห็นกระแสของแสงสว่างที่พุ่งเข้ามาหาร่างกายของตัวเอง ขนาดของมันใหญ่ราวกับน้ำตกมหึมาที่พยายามจะอาศัยร่างกายของผมเพื่อผ่านเข้าไปยังซิลฟอร์เทีย ผมพยายามจัดระเบียบพลังอันมหาศาล ค่อย ๆ จัดการให้เข้าร่างมา

ผมพยายามค่อย ๆ สอดประสานพวกมันที่ถาโถมคล้ายกับการสร้างเขื่อนขึ้นมาในจิตใจเพื่อค่อย ๆ ลดความรุนแรงของพวกมันที่ถาโถมซัดเข้ามาในทีเดียว ทว่ากระแสพลังสีทองของผมที่พยายามจะจัดระเบียบแสงสว่างสีขาวนั่นก็เริ่มแตกร้าวก่อนทุกอย่างจะระเบิดออกแล้วพุ่งซัดเข้าร่างของผมเต็ม ๆ

“ขอ…แค๊ก ๆ”

ตุบ

เหมือนสติของทั้งร่างตัวเองได้ถูกดึงออกไป เรี่ยวแรงที่เคยมีอย่างไร้จำกัดก็หายไปจนร่างกายที่เบาหวิวของเด็กน้อยนี่กลับหนักอึ้งเหมือนเหล็กแท่งขนาดใหญ่

“ท่านนักบุญ!! ท่านควรพักนะครับ!!”

เหล่านักบวชและอัศวินองครักษ์วิ่งกรูกันเข้ามาเพื่อพยายามประคองร่างของผม พร้อมกันก็ร้องห้ามกันไม่หยุด

‘ยัยหนูหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นร่างกายเจ้าจะแตกสลายได้นะ!!’

ราสตะโกนขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ร่างวิญญาณของมันได้บินเข้ามาหาผมก่อนที่จะเริ่มบินรอบไปมาจนเกิดเป็นละอองแสงสีแดงจาง ๆ ปกคลุมทั่วร่างของผม

‘ข้าจะช่วยจัดระเบียบพลังของเจ้าให้เอง ระหว่างนี้นั่งพักก่อนเถอะ’

ฝืนต่อไปไม่ได้แล้วสินะ

‘เจ้าไม่ไหวแล้วล่ะ พอเถอะ’

เสียงกระซิบของพระเจ้าดังขึ้นมาในหูของผมอย่างแผ่วเบา เขาอยากห้ามผมงั้นเหรอ เขาบอกว่าผมไม่ไหว ถ้างั้นก็ทำให้ผมรับพลังให้ได้มากกว่านี้สิ

‘เจ้ายังไม่พร้อม ออโรร่า’

มาอย่างเงียบงันและก็จากไปอย่างเงียบงัน เสียงของพระเจ้าที่ได้กระซิบมาดั่งสายลมก็ค่อย ๆ จางหายไปตามกับสายลมที่พัดผ่าน

ขนาดขั้นคนมอบพลังให้ด้วยตัวเองยังบอกว่าไม่ไหว สงสัยผมอาจจะต้องยอมแพ้จริง ๆ งั้นเหรอเนี่ย… ให้ตายสิ ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ เรา

‘อย่าว่าอย่างงั้นยัยหนู ดูที่ซิลฟอร์เทียสิ’

ผมมองไปที่ดาบที่ปักอยู่ตรงหน้า ตอนนี้แสงของมันเริ่มเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม ในขณะเดียวกันทั่วห้องก็เริ่มเอ่อล้นไปด้วยพลังงานมหาศาลจนมีไอน้ำแข็งจำนวนมากเกาะอยู่เต็มกำแพง

“ท่านองครักษ์ ช่วยไปดูให้หน่อยได้ไหมคะว่าข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”

“รับทราบครับท่านนักบุญ”

องครักษ์ได้พุ่งตัวออกไปตามคำขอของผม ในขณะเดียวกันพวกนักบวชก็ได้เข้ามาดูอาการของผม พวกเขาต่างใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษาและจัดระเบียบพลังในร่างกายของผมที่กำลังปั่นป่วนบ้าคลั่ง

“ท่านนักบุญ ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นเช่นไรแต่พวกข้าเห็นว่าท่านคงต้องพักก่อนแล้วล่ะครับ หากฝืนต่อไปเกรงว่าจะไม่เป็นการดีแน่นอน”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

เมื่อเจอหลายคนบอกมาให้พอผมก็คงต้องพอ เพราะหากฝืนไปมากกว่านี้นอกจากจะไม่ช่วยอะไร อาจจะได้กลายเป็นตัวถ่วงเขาอีกต่างหาก

ให้ตายสิ พอมาคราวนี้ดันทำให้รู้สึกว่าควรฝึกตัวเองมาดี ๆ เลยนะเนี่ย

‘หืม…ยัยหนู ข้ารู้สึกถึงกาลเวลาที่บิดเบี้ยว’

กาลเวลาที่บิดเบี้ยว? มันคืออะไรกันล่ะนั่น

ในระหว่างที่ผมนั่งพักอยู่ที่นอกห้องซึ่งพวกนักบวชจัดเอาไว้ให้ ราสก็ร้องทักขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนร่างของมันจะบินออกมาจากห้องผนึกของซิลฟอร์เทีย

‘เจ้าบอกเองใช่ไหมว่าซิลฟอร์เทียนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมณีแห่งการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นนี่คงเป็นฝีมือของมัน’

น้ำเสียงของราสดูเคร่งเครียดมาก ทำเอาผมเริ่มเป็นกังวลกับสิ่งที่มันกำลังจะพูดต่อไป

‘มณีแห่งการเปลี่ยนแปลง ความสามารถของมันคือการควบคุมการไหลผ่านของเวลา ไม่ว่าจะเป็นการชะลอ เร่งหรือการหยุดเวลา นั่นคือสิ่งที่มันทำได้’

….

โคตรของโกงสุดเบสิคเลยนี่นา อีมณีแบบนี้เนี่ย!! เดี๋ยวนะ ถ้านายพูดมาแบบนีจะบอกว่าซิลวี่จู่ ๆ ก็ใช้มันเพื่อหนีทุกคนไปอย่างงั้นเหรอ

‘หรืออาจจะเป็นคนอื่นใช้มันเพื่อมาลักพาตัวนางไปก็ได้’

ลักพาตัวไป? ซิลวี่เนี่ยนะ ถ้าเป็นตัวร้ายที่มีพลังมากมายขนาดนั้นอยู่แล้ว ทำไมถึงจะต้องมาใช้สิ่งนี้ลักพาตัวซิลวี่ด้วยล่ะ

‘เจ้าพูดเองไม่ใช่เหรอว่าตัวตนของนางคืออะไร หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง เช่นนั้นแล้วปีศาจทุกตนคงอยากได้ร่างของนางมาสังเวยกันสุด ๆ เลยล่ะ’

กับซิลวี่ดันกล้าแล้วทำของผมมันถึงไม่กล้ากันล่ะ!!!

‘เจ้าอาจไม่รู้ ถึงจะแปลกแต่ร่างกายของเจ้าน่ะมีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ปกคลุมไว้ตลอด พลังที่มากกว่านักบุญคนไหน ๆ ที่ข้าเคยเห็นมา เช่นนั้นแล้วปีศาจต่อให้มันอยากได้พลังของเจ้ามันก็คงไม่กล้าหรอก’

แบบนี้ก็ยากเลย ถ้าเกิดเธอถูกลักพาตัวไปจริง ๆ แล้วเราจะไปรู้ไหมเนี่ยว่ามันจะเอาเธอไปที่ไหน ถ้าจะใช้เวทตอนนี้ก็คิดว่าร่างของผมคงไม่ไหว ต้องรอเวลาพอสมควรถึงจะใช้ได้

ไม่สิ แต่ถ้ามองอีกอย่าง ถ้าซิลเวียไม่ได้ถูกพาตัวไปแต่ไปด้วยตัวเองล่ะ… ใช่ ตามหลักการนิยาย เหล่าตัวเอกที่สับสนน่ะ จะต้องไปทำจิตใจตัวเองให้ว่างตรงที่ตัวเองวางใจได้ สำหรับซิลเวียแล้วก็น่าจะ…

‘นึกอะไรขึ้นได้งั้นเหรอ’

“ท่านนักบุญครับ สุดยอดมากเลย ปริมาณของพวกมันลดลงไปมาก..เอ๋ ท่านนักบุญนี่ท่านจะไปไหนน่ะ”

“อยู่ที่นี่ไปหนูคงทำอะไรไม่ได้อีก เช่นนั้นขอหนูไปช่วยเหลือผู้คนก่อนนะคะ”

เหตุผลนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขาที่ยากจะปฏิเสธได้ หากบอกไปว่าจะไปตามหาเพื่อนคงถูกหยุดมากกว่านี้แน่นอน

“นี่คือสิ่งที่หนูควรทำค่ะ”

“เดี๋ยวก่อนครับท่านนักบุญ พวกเรารีบตามไปกันเร็ว”

เหล่าองครักษ์ตะโกนร้องทัก แต่ด้วยการที่ผมอ้างถึงภารกิจของนักบุญทำให้ไม่มีใครกล้าจะหยุดยั้ง มีเพียงแค่วิ่งตามกันมาเรื่อย ๆ เท่านั้น

ให้ตายสิ ก็เข้าใจความหวังดีของเจ้าพวกนี้อยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าถ้ามีคนตามมามาก ๆ จะทำให้ซิลวี่สับสนกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ยสิ

ผมวิ่งไปเรื่อย ๆ พลางใช้ความคิด กว่าจะรู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองกำลังออกมาที่นอกปราสาทแล้ว และนั่นเองที่ผมได้พบกับภาพเบื้องหน้า

ท้องฟ้าแห่งแดนเหนือที่อดีตเป็นท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยเงาทะมึนจำนวนมากไหลเข้ามาปกคลุม เสียงกรีดร้องแหลมอย่างทรมานดังมาจากทั่วทิศ พวกมันทั้งหลายต่างพุ่งตัวเข้ากระแทกหมายฝ่าบาเรียสีฟ้าซึ่งตอนนี้ปิดอย่างสนิท

ทหารและนักบวชจำนานมากต่างทั้งเข้าปะทะและร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อกรกับพวกมัน ทว่าพวกมันไม่ใช่แค่วิญญาณร้ายสีดำพุ่งไปมาเหมือนตอนที่ผมเคยเจอก่อนหน้านี้ แต่บางส่วนมันได้รวมตัวกันจนเกิดเป็นสัตว์ร้ายทะมึนขนาดใหญ่หลายรูปร่าง

ก๊าซซซซซ

และตอนนั้นเองที่มีร่างของสิงโตทมิฬบังเกิดขึ้นตรงหน้าของพวกผม มันพยายามรวบรวมวิญญาณอาฆาตที่ลอยไปมาเพื่อสร้างร่างกายของตัวเอง

“ท่านนักบุญ หลบไปก่อนครับ”

เหล่าอัศวินองครักษ์เดินหน้าออกมากั้นขวางระหว่างผมกับสัตว์ร้ายตัวนี้เอาไว้ พร้อมกันพวกนักบวชก็เริ่มร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์เสริมพลังให้กับพวกเขา

ส่วนผมเองก็อยากจะรีบใช้พลังของตัวเองเป่าเจ้าพวกนี้ให้กระจุยแบบที่ทำไม แต่ว่าการที่จะใช้พลังนั้นได้ก็ต้องเวลาอีกสักประมาณหนึ่งชั่วโมงให้ร่างกายของผมปรับสภาพกลับมาจากความปั่นป่วนของพลังเมื่อครู่ก่อน ดังนั้นจึงร่ายได้แค่เวทเสริมพลังเท่านั้น

การปะทะกันระหว่างปีศาจและอัศวินแห่งเรสเวนน่าได้เกิดขึ้น สถานการณ์เป็นไปอย่างหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพบว่าตอนนี้ได้มีปีศาจจำนวนมากกำลังวิ่งเข้ามาล้อมกรอบพวกผมราวกับจงใจ

“บ้าน่านี่พวกมันมากกว่าเดิมอีกงั้นเหรอ แต่ว่าจากที่มองก่อนหน้านั้นมันน้อยลงแล้วนี่นา”

“หึ ปีศาจชั่วช้าจ้องจะเล่นงานท่านนักบุญจริง ๆ ด้วยสินะ”

“อย่ากลัวไป ด้วยพลังสนับสนุนของท่านนักบุญ ไม่ว่าจะปีศาจหรือจอมมารที่ไหนพวกเราก็ไม่มีวันพ่าย!!!”

ไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหนกัน จริงอยู่ว่าเวทเสริมพลังของผมมันมากกว่าการเสริมพลังปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกนายเป็นอมตะนะเฮ้ย

“พวกเรา แสดงให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นถึงความศรัทธาอันยิ่งใหญ่นี้!!”

ใจเย็นก่อนนน

ตู้มมมม

อ๊ะ

ไม่ทันได้ทำอะไร จู่ ๆ ก็เกิดพลังมหาศาลกวาดล้างปีศาจโดยรอบจนไม่เหลือแม้ฝุ่นเงา ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากขนาดผมเองยังเห็นแค่เกิดแสงสว่างแวบเดียวก่อนที่จะเหลืทอเพียงความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า

ไม่สิ ตอนนี้ไม่ได้ว่างเปล่าแต่มีคน ๆ หนึ่งได้มาแทนที่ปีศาจเหล่านั้น คนที่ไม่สมควรที่จะอยู่ที่นี่

เด็กหนุ่มสีฟ้าที่อายุมากกว่าผมไม่กี่ปีกำลังยืนอยู่ คน ๆ นั้นหันหน้ามาหาผมพร้อมกับยิ้ม ๆ ออกมาอย่างยินดีแม้ใบหน้าของเขายังคงมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ก็ตาม

เขานั้นอยู่ภายในชุดโค๊ตสีแดงอันเป็นสีหลักของจักรวรรดิ ดาบในมือยังคงส่องสว่างเรือง ๆ ทรงอำนาจไม่จางหาย มากพอที่จะทำเอาร่างกายของเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่ตรงหน้าผมสั่นเทาจนผิดแปลก เพราะอายุคนเด็กตรงหน้านั้นก็ยังไม่ถึงสิบปีเลยด้วยซ้ำ

“ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ อัล”

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไงคะ..โลว์ มันไม่ใช่ที่ ๆ คนของจักรวรรดิอย่างคุณจะมาอยู่”

“ผมแค่มาทำธุระของทางจักรวรรดิ หนึ่งสือราชการก็มียื่นมาแล้วแต่ก็ไม่นึกว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เกิดขึ้น… ดีใจที่มาช่วยอัลทันนะ”

รอยยิ้มของเขานั่นยิ้มมาให้อย่างจริงใจ อันนี้ผมรู้ดี มันไม่ใช่รอยยิ้มที่แสรแสร้งอะไรทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไมตัวของผมกลับรู้สึกสั่นอย่างหวาดกลัวบอกไม่ถูก

“คนของจักรวรรดิ ที่นี่เป็นปัญหาของพวกเราเรสเวนน่าขอให้เจ้า…”

แป๊ะ

เพียงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทุกคนนอกจากผมก็เหมือนหยุดนิ่งไปราวกับต้องมนต์สะกด ใบหน้าของโลว์ดูหงุดหงิดออกมาชั่วครู่ก่อนจะกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้งหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว ก็แค่เวทเล็ก ๆ น้อย ๆ พอดีผมไม่ชอบเรื่องวุ่นวายน่ะ”

“ต้องการอะไรกันแน่คะ”

“แค่อยากช่วยอัลก็เท่านั้นเอง กำลังตามหาเพื่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ดูเหมือนคุณจะรู้ดีจังเลยนะคะ ว่าฉันต้องการอะไร”

ผมรู้สึกได้ถึงร่างกายของตัวเองที่สั่นเทา ยิ่งคนตรงหน้าเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ผมก็รู้สึกราวกับร่างกายมันหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น

“ถ้าเป็นเรื่องของอัลล่ะก็ผมรู้ดีอยู่แล้ว อืม… ที่จริงอยากคุยมากกว่านี้ทว่าดูเหมือนอัลกำลังรีบนะ สิ่งที่ตามหาน่ะอยู่ทางนั้น”

เด็กหนุ่มผมสีฟ้ายกมือขึ้นก่อนชี้ไปในทิศทางที่ผมคิด มันคือทางบ้านของท่านอาจารย์เอลดรานซึ่งเป็นที่ ๆ ซิลเวียน่าจะไปได้มากที่สุดหากเธออยากจะหนีปัญหาหรือบางที เธออาจจะแค่เป็นห่วงเหล่าเด็ก ๆ พวกนั้นก็ได้

“ช่วยคลายเวทให้กับพวกเขาได้ไหมคะ มาหยุดผู้คุ้มกันของฉันแบบนี้ด้วยสภาพปัจจุบันอาจจะมีปัญหาได้นะคะ”

“เรื่องนั้นอัลไม่ต้องห่วง ผมเคลียร์ทางให้เรียบร้อย”

“ถึงบอกแบบนั้นแต่มันก็ยากที่จะเชื่อนะคะ”

“อัลลองหันไปดูสิ”

ผมหันไปตามที่เขาบอก และนั่นเองก็ทำเอาผมทึ่งสุด ๆ เพราะภาพที่เห็นคือเส้นทางที่จะไปบ้านของเอลดรานนั้น เต็มไปด้วยร่างของเหล่าสัตว์ร้ายที่นอนแน่นิ่งไร้ชีวิตจนยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของคน ๆ เดียว

“นี่มัน”

“สบายใจได้ หรือต่อให้ระหว่างทางมีปีศาจตนไหนมันกล้าดี ผมรับรองว่ามันจะไม่ได้แม้แต่จะโผล่มาในเงาสายตาของอัลแน่นอน”

สุดเกินไปไหมคุณพี่… ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าเด็กแก่แดดนี่มันถึงได้พูดประโยคระดับโคตรบอสออกมาจนทำเอาผมรู้สึกไม่ไว้ใจแปลก ๆ แต่ก็เอาเถอะ ฟังดูแล้วไม่น่าโกหกแต่จะเถียงไปก็เสียเวลา เพราะงั้นผมจึงรีบวิ่งออกไปทันที

“เช่นนั้นคงต้องขอบคุณ คุณแล้วสินะคะ”

“ถ้าเพื่ออัลแล้วล่ะก็ยินดีเสมอ”

————————————————————————————————————-

ใครยังจำไอ้หมอนี่ได้บ้าง หายไปนานจนหลายคนอาจลืมพอ ๆ กับไรน์

ช่วงนี้จะเป็นตอนใกล้จบ arc ก่อนที่อายุของตัวละครจะเดินหน้าไป บทถัดไปอายุน่าจะไปช่วงสิบต้น ๆ ครับ วัยกำลังน่าผจญภัยเลย