โบสถ์มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสูงที่สุด ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาโบสถ์ได้ วางแผนใหม่มากมายและสร้างอาคารหลายแห่งในเมืองเซนต์ซาร์ลที่สวยและเต็มไปด้วยคนรวยบนรากฐานของเมืองเก่า คอนนี้เมืองเซนต์ ซาร์ลเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมนุษย์ โบสถ์มีอยู่ทุกที่ใน เมืองและพลเมืองทุกคนล้วนเป็นผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ ในเมืองถนนถูกเติมเต็มไปด้วยสมาชิกคณะสงฆ์ในชุดขาวและดำ ที่ด้านหลังของเสื้อคลุมของพวกเขามีดวงอาทิตย์อยู่และพวกเขาก็มีอุปกรณ์เสริมที่มีสัญลักษณ์เดียวกันอยู่ที่หน้าอกของพวกเขา รูปปั้นของมาเรีย และทูตสวรรค์ของเธอเต็มถนนไปหมด มีผู้ศรัทธาจำนวนมากมาชุมนุมอ้อนวอนภายใต้รูปปั้นนี้
ครั้งแรกที่เมืองนี้ถูกสร้างขึ้น หนึ่งในสถาปนิกชื่อดังฟารากรานได้รับหน้าที่ให้ทำผังเมือง ฟารากรานต้องทำให้แน่ใจว่าผังของเมืองนั้นจะมีประสิทธิภาพและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด มันมีถนนอันกว้าง สวนสาธารณะมากมายและโบสถ์เล็กๆ และยังมีระบบระบายที่สมบูรณ์อบบ อาคารทุกแห่งมีรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์อยู่บนตัวอาคาร นอกจากหอนาฬิกาเซนต์ซาร์ลและมาเรียสแควร์ อาคารที่โดดเด่นที่สุดในเมืองคือ โบสถ์แห่งแสง
โบสถ์แห่งแสงเป็นสถาบันกลางของโบสถ์ทั้งหลาย มันเป็นที่ส่งสารจอง เหล่าเทพ องค์สันตะปาปาและนักบุญที่อาศัยอยู่ มันได้รับการปกป้องจากอัศวินแห่งแสงที่เก่งที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังปกครองไปมากกว่าครึ่ง หนึ่งของอาณาจักรมนุษย์และเป็นหนึ่งในที่ยึดเหนี่ยวของเหล่ามนุษย์ ลึกเข้าไปในโบสถ์แห่งแสงจะเป็นห้องสีขาวของเซียนเตสที่ซึ่งดูเหมือนจะมีแค่พระเจ้าที่อาศัยอยู่ได้ ภายในห้องมีเตียงสีขาวขนาดใหญ่ ผ้าม่านที่ทำจากไหมที่ละเอียดอ่อนแขวนอยู่ตรงหน้าต่างและมีพรมหมีขาวอยู่บนพื้น นอกเหนือจากนี้ห้องค่อนข้างที่จะว่างเปล่า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องคือภาพจิตรกรรมฝาหนังที่อยู่บนผนัง ในตำนานเล่าว่าภาพนี้ถูกนำมาจากราชวงศ์โกลเด้นโดยคนของราชวงศ์ซิลเวอร์ ราชาอะเฮนาเท็นได้ขอให้คนแกะสลักภาพตามความทรงจำของเขา ภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นถูกเรียกว่า ‘การเปิดเผย’ และมันเป็นภาพของฟารอส เซียนเตสชื่นชอบจิตรกรรมฝาหนัง เค้าจึงนำมันมาแขวนไว้ในห้อง
”ท่านลอร์ด? ท่านลอร์ด!”
เซียนเตสเคลลี่ที่สวมชุดผ้าไหมได้ลุกขึ้นนั่ง เสียงของเธอทำให้อัศวินทั้ง สี่คนที่อยู่ข้างนอกรีบเข้ามาพร้อมคุกเข่าลง “มีอะไรหรือครับท่านหญิง?”
อัศวินทั้งสี่นั้นเคารพเธอมาก เคลลี่เป็นเซียนเตสซึ่งเป็นทายาทของพระเจ้าที่มีเลือกศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเธอ เธอเป็นคนหนึ่งที่นำศาสนจักรมา สู่ความรุ่งโรจน์และมอบอำนาจให้กับโบสถ์ หลังจากที่โบสถ์เติบโตขึ้น อัศวินแห่งแสงเทอดทูนเธอ ทำทุกอย่างตามที่เธอสั่งแม้ว่าเธอจะให้ตัดคอตัวเองก็ตาม พวกเขาก็จะทำอย่างไม่ลังเล เธอลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปรอบๆห้องของเธอ เธอมองหาบางสิ่งบางอย่าง
“คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า? ท่านฟารอส!” เธอเรียกพร้อมกับเดินไปรอบๆห้อง
“ท่านลอร์ด!”
อัศวินมองหน้ากันและกันด้วยความตกใจและหวาดกลัว เคลลี่เป็นคนที่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุดและไม่มึกล้าที่จะสงสัยในคำพูดของเธอ ถ้าเธอพูดอย่างนั้นแสดงว่ามันจะต้องเป็นจริงพระเจ้าพึ่งมาที่ห้องนี้จริงๆหรือ?
เหล่าอัศวินก้มหัวลงและไม่กล้าที่จะขยับตัว ห้องนอนทั้งห้องดูเหมือนจะ เป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่อากาศก็เหมือนจะศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยเพราะการ มาของพระเจ้า
เคลลี่เรียกไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากนั้นเธอก็นั่งลงบนเตียงด้วยความผิดหวัง “มันคือความฝันงั้นหรือ?” เธอพูดเบาๆขณะจ้อง มองไปที่ภาพจิตรกรรม
“ไม่” เธอพูดพร้อมกับส่ายหัว “มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เคยฝัน นอกจากนี้ฝันมันจะเหมือนจริงขนาดนี้ได้ไงกัน” เธอยืนขึ้นและเห็นบางอย่างตกลงมาที่พื้น มันตกอยู่ตรงหน้าอัศวินคนหนึ่งและเค้ากำลังจะหยิบมันขึ้นมาเพื่อมอบให้กับเคลลี่
“อย่านะ!” เคลลี่ตะโกนออกมาเสียงดังราวกับว่ามีใครบางคนเพิ่งสัมผัส ของที่เป็นของเธอเท่านั้น “ห้ามแตะต้องมัน!” อัศวินรีบถ้อยกลับไป
เคลลี่คุกเข่าลงแล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เธอตระหนักได้ว่า มันเป็นหน้ากากสีขาวที่มีสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์อยู่บนมัน มันไม่ได้ทำ จากทองหรือเหล็กแต่มันให้ความรู้สึกเหมือนโลหะ มันมีความพิเศษและ สามารถส่องแสงได้ นี่เป็นหน้ากากที่ลูซีหยูสร้างขึ้นโดยใช้องค์ประกอบในฝันเพื่อที่จะสร้างมันเค้าต้องใช้องค์ประกอบขนาดใหญ่ หน้ากากนี่ประกอบด้วยพลังของ เค้าและมีเพียงแค่คนที่มีเซลล์ที่ถูกแก้ไขของเค้าเท่านั้นที่สามารถกระตุ้น และใช้มันได้ ในขณะเดียวกันมันถูกฝังไว้ที่ประตูมิติอาเรย์ดังนั้นใครก็ตามที่ใช้มันจะสามารถติดต่อกับเค้าผ่านมันได้
เคลลี่สวมหน้ากาก เธอสามารถรู้สึกได้ถึงเลือดของพระเจ้าที่ไหลอยู่ใน ตัวเธอและพลังของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่แค่นั้นเธอยังรู้สึกว่าเธอ ได้รับพลังเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
พลังแรกคือโซ่แห่งฝัน โดยผ่านหน้ากากนี้เธอสามารถเห็นจิตสำนึกของ ทุกคนได้และขังความคิดพวกเขาไว้ในโซ่แห่งฝัน เธอสามารถทำลาย จิตสำนึกของพวกเขาได้ถ้าเธอต้องการ แม้แต่พ่อมดหรือสัตว์วิเศษก็ไม่สามารถป้องกันการพลังนี้ได้ด้วยพลังจิตของพวกเขา พลังอื่นๆคือการสลายตัว
เมื่อสวมหน้ากากเคลลี่ก็ยื่นมือออกไปพร้อมชี้ไปที่มุมห้อง หลังจากแสงสี ขาวปรากฏขึ้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ผนังระเบิดทันทีและกลาบเป็นหลุม ขนาดใหญ่ขึ้น เธอเดินออกมาผ่านหลุมนั้นและพบว่าตัวเองอยู่ที่สนามด้านนอก อัศวินที่ กำลังคุกเข่าตาเบิกกว้าง
“นะ นะนั่นมันพลังอะไรกัน?” ก่อนหน้านี้เคลลี่ก็มีพลังมากพออยู่แล้วแต่หน้ากากนี้ให้พลังที่มากขึ้นกับ เธอและทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น
“หน้ากาก?”
ทันใดนั้นพวกเขาก็หันไปมองที่ภาพจิตรกรรมบนผนังแล้วพบว่าพระเจ้า ในภาพก็สวมหน้ากากแบบเดียวกัน
“นี่มันหน้ากากของพระเจ้า!”
“มันเป็นสิ่งประดิษฐ์อันศักดิ์สิทธิ์!”
ทหารจำนวนมากวิ่งมาตามเสียงที่เกิดขึ้น ทหารและนักบวชรีบขึ้นไปบน ห้องของเซียนเตสและพวกเขาก็เห็นว่าเซียนเตสเคลลี่ยืนอยู่ที่สนาม พร้อมกับหน้ากากสีขาวซึ่งมีสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์
มันยังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ สมเด็จพระสันตะปาปาเพิ่งตื่นและรีบมาที่ห้อง ของเซียนเตสเคลลี่ทันที เซียนเตสเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดใน โบสถ์แม้ว่าจะมีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะแตะ ต้องเซียนเตส ประการแรกเธอเป็นพระเจ้าดังนั้นเธอจึงอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ประการที่สองเธอมีพลังมากพอที่ทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเธอ นอกจาก นี้มันเป็นเพราะพลังของเธอที่ทำให้โบสถ์สามารถควบคุมมนุษย์ได้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของอาณาจักร ทั้งสองฝ่ายต่างพึ่งพากันเพื่อความอยู่รอด โบสถ์จึงไม่ยอมให้ใครแตะต้องเธอเด็ดขาด
สมเด็จพระสันตะปาปาปัจจุบันโฮเดปได้กลายมาเป็นพระสันตะปาปา เพราะเค้าเป็นหนึ่งในคนที่พบเซียนเตสซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเค้า ถึงห่วงใยเธอมากและมาทันทีหลังจากได้ยินถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใน ห้องของเธอ เมื่อเค้ามาถึงเค้าเห็นเคลลี่กำลังยืนอยู่ในสนาม และสังเกต เห็นว่าเธอไม่ได้รับอันตรายใดๆเค้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนมองไปที่ผนังที่เป็นรูกว้างและดินในสนามถูกพลิกคว่ำ ทุกคนในที่ นี่รู้สึกกลัวพลังนั้นและพวกเขาก็หันไปมองที่เคลลี่
ตอนต่อไป →