บทที่ 47 พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 47 พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

บทที่ 47 พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

“ไม่คาดคิดเลยว่าฝีมือของคุณจะยอดเยี่ยมขนาดนี้” หวังจื่อหมิงไม่สนใจคนอื่น เขามองอู๋ฝานและพูดว่า “ผมเคยกินปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานในภัตตาคารหลายแห่ง แต่ไม่เคยเจอที่ไหนที่อร่อยกว่าของเชฟใหญ่หลิวด้วยซ้ำ ผมเคยคิดว่าปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานของเชฟใหญ่หลิวดีที่สุดในประเทศ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะสู้ฝีมืออาจารย์พละไม่ได้”

“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ” อู๋ฝานกล่าวอย่างสุภาพ การตัดสินอย่างยุติธรรมของหวังจื่อหมิงทำให้อู๋ฝานรู้สึกประทับใจในตัวอีกฝ่าย

“ผมเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น” หวังจื่อหมิงกล่าว เขาหันมองถ้วยซุปสองถ้วยในมือบริกรด้านข้าง จึงถามไปว่า “ถ้วยซุปสองถ้วยนี้สำหรับการแข่งขันด้วยหรือ? ถ้างั้น…”

“ทำไมไม่ให้ผมลองล่ะ” ทันใดนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้หลักพูดขึ้น ทุกคนหันมองเขาเป็นตาเดียว ก่อนได้ยินเขาพูดว่า “ผมเพิ่งดื่มไวน์ไปค่อนข้างเยอะ จึงรู้สึกอยากซดซุปพอดี”

“นายน้อยข่งอยากเป็นผู้ตัดสินหรือครับ? ถ้างั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย” หวังจื่อหมิงกล่าว

หลังจากที่หวังจื่อหมิงกล่าวเช่นนั้น คนอื่นจึงไม่คิดคัดค้าน

ในความจริง ไม่ว่าผลของการแข่งขันรอบที่สามจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญแล้ว ท้ายที่สุดอู๋ฝานชนะสองรอบติดต่อกัน และเป็นผู้กุมชัยชนะในท้ายที่สุด

แต่เนื่องจากหวังจื่อหมิงและชายหนุ่มที่นั่งบนเก้าอี้หลักตกลงกันแบบนั้น ผู้จัดการหวงจึงไม่กล้าปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องการเอาชนะการแข่งขันนี้อย่างน้อยสักหนึ่งรอบ ดีกว่าต้องโกนหัวเพื่อรักษาหน้าให้ร้าน

ขณะกำลังดื่มซุป ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ว่า “พวกคุณเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจว ทั้งหมดเลยหรือ?”

“ใช่ครับ ผมเป็นอาจารย์พลศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว และอยู่ที่นี่เป็นปีที่สองแล้ว” หลี่ปิงตอบไปอย่างเร่งรีบ

หลี่ปิงไม่แน่ใจถึงตัวตนของอีกฝ่ายในตอนแรก แต่หลังจากเห็นหวังจื่อหมิงปฏิบัติต่อชายหนุ่มอย่างไร ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ธรรมดา เขาจึงอยากทำความรู้จักกับอีกฝ่าย สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว การรู้จักคนในแวดวงเดียวกันมากเท่าไรก็ยิ่งดี

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ผมมีเพื่อนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเจียงโจวอยู่คนหนึ่ง”

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรขนาดนี้?” หลี่ปิงพูด “ไม่ทราบว่าคนผู้นั้นเป็นใครหรือครับ? ผมพอมีเส้นสายในมหาวิทยาลัยเจียงโจวอยู่บ้าง จึงสามารถช่วยดูแลเขาได้ในช่วงวันธรรมดา”

“ไม่จำเป็นหรอก” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้วยความสามารถของเธอ คงไม่มีใครรังแกเธอได้”

“นั่นสินะครับ เพื่อนของนายน้อยข่ง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา” หลี่ปิงกล่าว

แม้ว่าหลี่ปิงจะถือว่าเป็นสมาชิกในแวดวงทายาทรุ่นสองคนรวย แต่ในแวดวงนี้มีการจัดอันดับเช่นกัน สถานะของหลี่ปิงนั้นต่ำกว่าหวังจื่อหมิง เมื่อหวังจื่อหมิงพูดสุภาพกับนายน้อยข่ง หลี่ปิงจึงเลือกปฏิบัติตามและไม่กล้าประจันหน้ากับอีกฝ่าย ซึ่งคนที่อยู่ในแวดวงนี้หลายปีควรรู้อยู่แล้ว

“ซุปทั้งสองถ้วยอร่อยดี” ในเวลานี้ชายหนุ่มได้ลองชิมซุปจากทั้งสองถ้วยและพูดว่า “แต่หากต้องเลือกผู้ชนะ ซุปชามนี้รสชาติดีกว่า ดึงรสชาติจากวัตถุดิบอย่างหัวไชเท้าและผักใบเขียวออกมาได้อย่างถึงที่สุด”

ผู้จัดการหวงยังคงปั้นยิ้มเหมือนเดิม แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกขมขื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะซุปที่ชายหนุ่มบอกว่ารสชาติดีกว่านั้นยังคงเป็นฝีมือของอู๋ฝาน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ร้านอาหารของเขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!

หลี่ปิงอารมณ์เสียไม่ต่างกัน แต่ในเวลานี้ความสนใจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า เขาไม่อยากสนใจอู๋ฝานมากนัก เพราะอย่างไรยังคงมีโอกาสมากมายที่จะแก้แค้นอู๋ฝาน แม้จะพลาดวันนี้ไป แต่ยังคงมีโอกาสหน้าเสมอ อย่างไรเสียอู๋ฝานก็เป็นแค่คนธรรมดา เขาจะโชคดีอย่างนี้ทุกครั้งได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบความสำคัญแล้ว การทำความรู้จักกับผู้คนในแวดวงเดียวกันมีความสำคัญมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับเกิ่งหย่าเฟย เธอดีใจเป็นอย่างมาก หลี่ปิงจงใจเล่นงานอู๋ฝานเพราะเธอเป็นสาเหตุ หากเกิดอะไรขึ้นกับอู๋ฝานขึ้นมา เกิ่งหย่าเฟยคงรู้สึกผิดไม่น้อย

เวลานี้เชฟใหญ่หลิวออกจากห้องส่วนตัวไปแล้ว เขาพ่ายแพ้ต่ออาจารย์พละในด้านฝีมือการทำอาหารที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กระทบจิตใจเขาอย่างสาหัส แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจอู๋ฝาน หลังจากที่ชิมอาหารฝีมืออู๋ฝาน เขายอมรับว่ารสชาติของมันดีกว่าของตัวเองจริง และยังมั่นใจการรับรสของตัวเองว่าไม่มีผิดเพี้ยน

“ในเมื่อพวกคุณอยู่ที่นี่แล้ว ขอชามและตะเกียบเพิ่มเพื่อทานอาหารด้วยกันเถอะครับ” หวังจื่อหมิงเชื้อเชิญเกิ่งหย่าเฟยและหลี่ปิง จากนั้นเขาหันมองอู๋ฝานและพูดว่า “คุณเองก็มาร่วมโต๊ะด้วยกันนะครับ”

“ผมคงอยู่ต่อไม่ได้ ขอบคุณนายน้อยหวังที่กรุณาเชิญชวน แต่ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำ จึงจำเป็นต้องขอตัวก่อน” อู๋ฝานตอบ

“หากเป็นงานที่เลื่อนได้ก็เลื่อนออกไปก่อนเถอะ ทานอาหารคงใช้เวลาไม่นาน” เกิ่งหย่าเฟยเกลี้ยกล่อมอู๋ฝาน ในเวลาเดียวเธอคอยขยิบตาเป็นสัญญาณให้เขา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะอยู่ต่อ

เกิ่งหย่าเฟิงผู้เติบโตมาในแวดวงนี้ ย่อมรู้ถึงความสำคัญของการมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น ตอนนี้มีโอกาสอยู่ตรงหน้าอู๋ฝานแล้ว ทั้งหวังจื่อหมิงและชายหนุ่มเก้าอี้หลักล้วนไม่ใช่คนธรรมดา การทำความคุ้นเคยกับพวกเขาจะเป็นประโยชน์แก่อู๋ฝานอย่างมากในอนาคต

“หย่าเฟย อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมเขาเลย บางทีเขาอาจไม่ได้มีเรื่องต้องทำ แต่เขาแค่ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกับเรา ถ้าคุณพยายามรั้งเขาไว้ คงรังแต่จะทำให้อาจารย์อู๋อับอาย” หลี่ปิงด้านข้างพูดขึ้น

“หุบปากไปเลย!” เกิ่งหย่าเฟยพูดด้วยความโกรธ

“ในเมื่อคุณมีธุระต้องทำ ผมก็จะไม่บังคับคุณแล้วกัน” หวังจื่อหมิงกล่าว

“ขอบคุณครับ” อู๋ฝานกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นเลื่อนสายตามองเกิ่งหย่าเฟยอย่างขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกจากห้องโดยไม่ลังเล

ในใจอู๋ฝาน เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแวดวงนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทเดียวกับคนเหล่านั้น การอยู่ต่อมีแต่จะยิ่งทำให้ลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงต้องขอตัวออกมา

แน่นอนว่าเขาไม่ได้โกหก เขามีเรื่องที่ต้องทำ นั่นคือการเทเลพอร์ต ชีวิตเขายุ่งวุ่นวายอยู่พักหนึ่งกระทั่งเป็นเวลาดึกมากแล้ว แม้การเทเลพอร์ตจะทำเวลาไหนก็ได้ แต่อู๋ฝานไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เขาตระหนักดีถึงความสำคัญของเวลาในอีกโลกหนึ่ง ดังนั้นสำหรับการเทเลพอร์ตในทุกครั้ง เขาจึงจริงจังและรีบเร่งมาก

“อา จริงด้วยสิ” อู๋ฝานหยุดชะงักเมื่อมาถึงประตูห้องส่วนตัว

“อะไร? เปลี่ยนใจที่จะไม่หนีแล้วหรือ?” หลี่ปิงคิดว่าอู๋ฝานกำลังเสียใจและต้องการอยู่ที่นี่ต่อ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม

“ไม่ใช่” อู๋ฝานส่ายหัว “ผมแค่อยากเตือนอาจารย์หลี่ว่าอย่าลืมเงินของผมด้วย อีกอย่าง ผมคงไม่ได้ไปทักทายผู้จัดการหวง ฝากอาจารย์หลี่บอกแทนผมด้วยแล้วกันครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ฝาน หลี่ปิงทั้งอับอายและขุ่นเคือง “ไม่ต้องห่วง คุณจะไม่เสียเงินสักหยวน! ก็แค่ 10,000 หยวน เงินเท่านี้ทำเป็นจริงจังไปได้”

“อาจารย์หลี่ยังจำได้สินะ” อู๋ฝานยิ้ม จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

“เรื่องราวเป็นมาอย่างไร?” หลังจากที่อู๋ฝานจากไป หวังจื่อหมิงหันไปถามเกิ่งหย่าเฟยและหลี่ปิงด้วยความสงสัย

เกิ่งหย่าเฟยเผยยิ้มและบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเข้ามายังห้องส่วนตัว หลังจากหวังจื่อหมิงได้ฟังจนจบ เขาหันมองไปยังทิศทางที่อู๋ฝานจากไปขณะพึมพำกับตัวเอง “น่าสนใจดีนี่”