ตอนที่ 61 เลือกระหว่าง ตายตอนนี้กับตายผ่อนส่ง

My Death Flags Show No Sign of Ending

[ มันจะไม่เป็นไรหรอ ? ] – เอลล์

 

เอลล์ถามออกมาด้วยความสงสัย อาจเพราะจู่ๆยูสทัสเต็มใจที่จะเล่าความลับให้ฟังด้วยตัวเองหลังจากที่เกริ่นๆว่ามันเป็นความลับสำคัญบอกใครไม่ได้แท้ๆ

แม้ลีฟาเองจะอยากให้ยูสทัสเล่าออกมาจริงๆเช่นกัน แต่เธอก็อดที่จะสงสัยไม่ได้

 

[  ผมจะไม่อ้างหรอกนะว่าที่ยอมเล่าเพราะอารมณ์พาไปแต่อย่างไร เพราะที่ผมกำลังจะเล่ามันไม่มีหลักฐานหรือบันทึกอะไรยืนยันได้ มันมาจากความทรงจำของฉันคนเดียว และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้ ถึงฉันจะพูดหรือไม่ก็ไม่แตกต่างอะไร ถ้าพวกเธอกลัวที่จะฟังมัน จะหยุดไว้เท่านี้ก็ได้นะ ] – ยูสทัส

 

สิ่งที่ยูสทัสกล่าวออกมาฟังดูสับซ้อน แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นความจริง ถึงจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะที่ยูสทัสยอมเล่าเพราะความรู้สึกของลีฟาจะสื่อถึงยูสทัสจริงๆ

อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะไม่ฟังไม่มีในตัวเลือกของลีฟา

 

[ ช่วยหยุดคำขู่พวกนั้นไว้เถอะ… เธอไม่ยอมแพ้หรอกไม่ว่าคุณจะพูดยังไงก็ตาม และฉันจะไม่ปล่อยให้เธอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวเช่นกัน ดังนั้นฉันก็จะฟังมันด้วย ] – เอลล์

[ ขอบคุณนะ เอลล์ ] – ลีฟา

 

ลีฟารู้สึกขอบคุณเอลล์ที่ยอมรับข้อตกลงที่จะฟังเรื่องของยูสทัสแทนเธอราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดเช่นนั้น ซึ่งเอลล์เห็นว่ามันเป็นความคิดที่ดีเหมือนกันที่ให้ลีฟาฟังเรื่องราวของยูสทัส ถึงจะกังวลอยู่หน่อยๆว่าลีฟาจะรับมือกับความเสี่ยงที่ได้รับรู้ข้อมูลระดับสูงได้หรือไม่

แต่กระนั้น เธอก็ยอมทำตามความเห็นแก่ตัวของลีฟาอยู่ดี

 

[ ถ้างั้น มีฟังกันเถอะ เส้นทางที่ฮาโรลด์และผมมาบรรจบกันเมื่อ 5 ปีก่อน ] – ยูสทัส

 

 

———————————–

 

 

ครั้งแรกที่ยูสทัสได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฮาโรลด์ คือตอนที่เขากำลังทำงานวิจัยอยู่ที่เมืองหลวง และกำลังเดินทางไปที่ปราสาทเพื่อรายงานความคืบหน้างานวิจัยของเขา ซึ่งที่นั้น เขาบังเอิญได้ยินเรื่องที่เหล่าอัศวินคุยกัน

 

[ ข้าได้ยินมาว่ามีคนเข้าร่วมกับกองอัศวินด้วยการคัดเลือกแบบพิเศษด้วยว่ะ ]

[ หมอนั้นคงเป็นลูกหลานของผู้บริหารระดับสูงล่ะมั้ง ] 

[ ไม่ ไม่ ข้าได้ยินมาว่าหมอนั้นล้มอัศวินไปหลายสิบคนในตอนสอบของเขาด้วย ]

[ คงเพราะเจ้าอัศวินที่รับหน้าที่ทดสอบอ่อนแอเองล่ะมั้ง ]

[ เรื่องนั้นข้าไม่เถียง แต่เจ้าคนที่สอบนั้นอายุเพียง 13 ปีเองนะ เด็กนั้นเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมกับกองอัศวินเลยนะโว้ย ]

[ แกจะบอกว่า เด็กนั้นสุดยอดกว่าท่านรองหัวหน้าวินเซนต์อีกหรอ ? ]

[ เด็กนั้นเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกันแน่ !? ]

[ ถ้าข้าจำไม่ผิด ชื่อของเด็กนั้นคือ ฮาโรลด์ สโตร์ก …….. ——- ]

 

พวกอัศวินกลุ่มนั้นกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่พึ่งจะเข้าร่วมกับกองอัศวิน คงเพราะบุคคลิกที่ไม่เอาใจใส่ของยูสทัส ปกติเขาจะลืมเรื่องราวพวกนี้ทันทีตั้งแต่ออกจากปราสาทแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชื่อของฮาโรลด์ยังติดอยู่ในใจของยูสทัสเนื่องมาจากประโยคๆเดียว 

 

“  แกจะบอกว่า เด็กนั้นสุดยอดกว่าท่านรองหัวหน้าวินเซนต์อีกหรอ ? “

 

คำพูดนี้มาจากชายคนหนึ่งจากในกลุ่มอัศวินที่กำลังพูดคุยกัน ซึ่งกำลังบอกกับทุกคนว่าเด็กคนนี้อาจไปถึงจุดๆนั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของฮาโรลด์กับความแข็งแกร่งของวินเซนต์ตอนเขาอายุ 13 ปีได้

อย่างไรก็ตาม เขากับพูดว่าฮาโรลด์มีโอกาสที่จะเหนือกว่าวินเซนต์ มันไม่ใช่คำพูดที่มีพื้นฐานมาจากเรื่องไร้สาระ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าฮาโรลด์คนนั้นสามารถไปถึงจุดๆนั้นได้ นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับยูสทัส เพราะตัวของเขาเองรู้จักกับวินเซนต์ และรู้ซึ่งดีกับความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของวินเซนต์

ประการแรกเลย การที่คนๆหนึ่งจะถูกเปรียบเทียบกับสัตว์ประหลาดอย่างวินเซนต์ แสดงว่าคนๆนั้นก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นนั้น

วินเซนต์แข็งแกร่งมาก และนั้นไม่ได้หมายถึงในการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เขามีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากใดๆ มีความยุติธรรมที่ไม่สั่นคลอนที่คอยต่อต้านความชั่วร้ายทั้งหมด และไม่เคยที่จะปฎิเสธการช่วยเหลือผู้อ่อนแอ เขาไว้ใจพวกพ้องของเขาเป็นอย่างมากและยืนหยัดเหมือนกำแพงอันยิ่งใหญ่ที่ศัตรูไม่มีทางฝ่าเข้าไปได้

แม้ในอาณาจักรอื่นก็ไม่มีใครเหมือนดั่งวินเซนต์อีกแล้ว เขาคือสิ่งที่โลกใบนี้เรียกว่าฮีโร่

ดังนั้น ยูสทัสจึงอยากรู้จักกับเด็กผู้ชายชื่อฮาโรลด์ที่บอกว่ามีโอกาสที่จะแข็งแกร่งกว่าวินเซนต์คนนั้น

“ชั้นอยากจะพบเด็กนั้นสักวันหนึ่ง”  ความคิดนี้แว๊บเข้ามาในหัวของยูสทัส และในเวลาต่อมา ชื่อของฮาโรลด์ก็มาถึงหูของยูสทัสอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเขาก็คงหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยของเขาเช่นเคย เขาตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้เลยว่าที่ข้างนอกนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่า ถึงเขาจะเป็นขนาดนั้น แต่ข่าวฮาโรลด์ที่เป็นประเด็นร้อนภายในเมืองหลวงก็ยังมาถึงหูของเขาจนได้

เรื่องก็คือ เด็กชายคนนั้นไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและละทิ้งหน้าที่ไป แต่ปรากฎว่าสิ่งที่เด็กชายที่ชื่อฮาโรลด์ทำเป็นการทรยศต่องกองอัศวินจริงๆ นั้นเพราะเขาถูกจับได้ว่าเป็นสายลับจากจักรวรรดิซาเรี่ยน ซึ่งให้ข้อมูลของกองอัศวินทำให้กองทัพของจักรวรรดิซาเรี่ยนเปิดฉากซุ่มโจมตีก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แม้ว่ากองทัพอัศวินจะถูกไล่ต้อนจนมุมและเกือบจะถูกกวาดล้างจนหมด แต่พวกเขาก็สามารถยืนหยัดและเอาชนะกองทัพจักรวรรดิซาเรี่ยนจนได้ ต้องขอบคุณการแทรกแซงในวินาทีสุดท้ายของกองบัญชาการกองทหารของราชวงศ์ที่นำโดย ผู้บัญชาการ แฮร์ริสัน ซึ่งในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็สามารถจับกุมฮาโรลด์ผู้ทรยศได้แม้ว่าตอนนั้นเด็กนั้นจวนเจียนที่จะตายอยู่แล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้กองกำลังลาดตะเวณของอัศวินได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปมากกว่าครึ่ง และหากกองทหารรักษาพระองศ์เข้าดำเนินการช่วยเหลือไม่ทันเวลา สถานการณ์อาจพัฒนาไปสู่ข้อพิพาทระหว่างเผ่าสเตล่า ผู้อ่านดารา กับกองอัศวินได้ ไม่มีการให้อภัยใดๆแก่ฮาโรลด์ สโตร์ก ผู้ก่อให้เกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ และทำให้เขาได้รับโทษประหารชีวิต

นี่คือสิ่งที่ถูกกล่าวขานกันในหมู่ประชาชนเมืองหลวง ซึ่งใครที่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาก็คงคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ฮาโรลด์จะได้รับโทษประหาร อย่างไรก็ตาม นั้นมันกรณีที่เรื่องพวกนั้นเป็นความจริงเท่านั้น

ในตอนที่ยูสทัสได้ยินเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ตัวเขารู้สึกไม่ใช่ความโกรธหรือผิดหวังกับสิ่งที่ฮาโรลด์ทำต่อกองอัศวิน แต่เป็นความรู้สึกผิดปกติของสถานการณ์ที่ดูราวกับถูกเตรียมการณ์เอาไว้เป็นอย่างดี

ถึงสิ่งที่เขาได้ยินมาจะไม่ลงลึกอะไรมาก แต่ก็มีหลายๆประเด็นที่ดึงดูดความสนใจของเขา เขาสงสัยว่าเด็กชายวัย 13 ขวบผู้เป็นลูกชายของชนชั้นสูงจะสามารถกลายเป็นสายลับของจักรวรรดิได้อย่างไร ? และจังหวะของกองทหารรักษาพระองค์ดูลงตัวจนเกินไป และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือข่าวลือที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั้งๆที่หน่วยลาดตระเวนพึ่งจะกลับมาถึงที่เมืองหลวงได้ไม่กี่วัน

โดยปกติแล้ว ข้อมูลพวกนี้ควรจะถูกควบคุมจนกว่าสถานการณ์จะได้รับการแก้ไขหรือได้รับการยืนยันแล้ว ยิ่งสถานการณ์ในครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่โต มันต้องใช้เวลาและกำลังคนจำนวนมากในการแยกแยะและไล่เรียงข้อมูลจนกว่าจะยืนยันอะไรหลายๆอย่างได้

ซึ่งมันเป็นเรื่องแปลกที่กระบวนการนี้จบลงทันทีที่กองทหารรักษาพระองค์กลับมาถึง และในตอนที่ฮาโรลด์ถูกจับกุม เขาหมดสติและอยู่ในอาการโคม่า ซึ่งสติของเขากว่าจะฟื้นคืนก็เพียงไม่กี่วันก่อนถึงเมืองหลวง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เขาจะสามารถถูกสอบปากคำและให้ข้อมูลทั้งหมดด้วยเวลาแค่นั้นได้อย่างไร

อาจจะมีข้อมูลหลายๆอย่างที่ถูกเค้นออกมาจากเหล่าเชลยทหารจักรวรรดิที่ถูกจับกลับมา แต่มันยากที่จะเชื่อว่าเชลยพวกนั้นให้การตรงกันทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น การตรวจสอบข้อมูลที่พวกเชลยให้การมาจำเป็นต้องใช้กำลังพลและเวลามาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับหน่วยลาดตระเวนที่กำลังเดินทางกลับพร้อมกับครึ่งหนึ่งเป็นศพและผู้ที่ได้รับผู้บาดเจ็บที่ต้องได้รับการดูแล จะสามารถสอบปากคำและยืนยันข้อมูลพวกนั้นจนเสร็จ

ข้อสรุปของยูสทัสคือข่าวลือพวกนี้ถูกจงใจปล่อยออกมาและไม่น่าจะเป็นความจริงได้ บางทีฮาโรลด์คงได้รับหน้าที่เป็นแพะรับบาปให้กับใครบางคน? ซึ่งยูสทัสก็คิดว่า แล้วไง? เพราะไม่ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับอะไรกับเขา และเขาก็ไม่เคยกังวลเรื่องชีวิตหรือความตายของคนอื่นๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยปกติแล้วเขาไม่เคยเอาเรื่องพวกนั้นมาคิดให้รกสมองอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่เสียดายศักยภาพของฮาโรลด์ เขาคงทิ้งให้ฮาโรลด์ตายอย่างแน่นอน

มันเป็นโชคดีที่นำพาให้ยูสทัสสนใจเด็กชายที่ชื่อฮาโรลด์ มันเป็นโชคดีที่ทำให้เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฮาโรลด์ และเป็นโชคดีที่ตัวของยูสทัสมีเส้นสายในกองอัศวินและคณะตุลาการ ต้องขอบคุณความโชคดีมากมายที่บังเอิญทับซ้อนกัน ทำให้ยูสทัสมีโอกาสไปเยี่ยมและพบกับฮาโรลด์ตัวเป็นๆ แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาทั้ง 2 จะไม่ได้พบหน้ากัน มีเพียงยูสทัสที่มองฮาโรลด์จากระยะไกลๆ

และในที่สุดเขาก็ได้เห็นฮาโรลด์ชัดๆ มันเป็นตอนที่ยูสทัสไปยังคุกใต้ดินของคณะตุลาการในเมืองหลวง เด็กผู้ชายผมสีดวงตาสีแดงเข้ม แขนทั้ง 2 ถูกล่ามไว้กับผนัง

เขาคือ ฮาโรลด์ สโตร์ก

ความประทับใจแรกที่ฮาโรลด์มอบให้แก่เขาคือ “ หมาป่า “

ความภาคภูมิใจ ความเฉียบคม สันโดด ไม่ไว้วางใจใครนอกจากตัวเอง นั้นคือบรรยากาศของเด็กคนนี้ เขาถูกจองจำอยู่ในคุก ถูกล่ามด้วยโซ่ และกำลังรอการประหารชีวิต แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดูสิ้นหวัง แต่ไฟในดวงตาของเขากับดูลุกโชนไม่สั่นไหว ดวงตาสีแดงเข้มที่ดูราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน

ทันทีที่ได้เห็นหน้าฮาโรลด์ ยูสทัสรู้ได้ทันที “เด็กคนนี้ไม่มีทางเป็นสายลับได้” แค่เห็นเขา ยูสทัสก็รู้สึกได้ว่าคนๆนี้ ไม่มีทางที่จะยอมให้ใครถูกชักจูง เขาจะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ถึงแม้จะไม่มีทางให้เลือก เด็กคนนี้ก็พร้อมที่จะตายเพื่อไล่ล่าความเชื่อมั่นของเขา ดวงตาของเด็กคนนี้ทรงพลังขนาดนั้น

หากให้ใช้คำโบราณหน่อยๆ จะเหมาะสมรึปล่าวที่จะอธิบายดวงตาคู่นั้นว่า“ความงดงามของปีศาจ” ยูสทัสรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายหากปล่อยให้อัญมนีชิ้นนี้ต้องตายไป

จากตอนนั้น ยูสทัสก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้พยายามทำอะไรอย่างอื่นนอกเสียจากงานวิจัยของเขา 

เขาพยายามโน้มน้าวบุคคลสำคัญและผู้มีอิทธิพลของอาณาจักรผ่านคนรู้จักจากที่ทำงานทีละคนทีละคน เพื่อที่พวกเขาจะอนุมัติการพิจารณาคดีใหม่หรือชะลอการประหารชีวิตฮาโรลด์

อย่างไรก็ตาม ยูสทัสเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่มีใครยอมแบกภาระที่มาพร้อมกับการยอมรับข้อเรียกร้องของยูสทัส

ดังนั้น ยูสทัสจึงจำเป็นต้องใช้ไพ่ตายของเขา ซึ่งจุดประสงค์ของมันคือเพื่อช่วยฮาโรลด์ แต่ไพ่ตายนั้นมาพร้อมกับคำสาปร้าย มันเป็นการทดลองต้องห้ามที่ตัวเขาเป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง

จากนั้น การพบหน้ากับตามลำพังระหว่างเขากับฮาโรลด์ภายในคุกใต้ดินก็มาถึง ขณะที่กำลังจ้องมองไปยังยูสทัสที่ปรากฎตัวต่อหน้าเขา สิ่งแรกที่ออกจากปากของฮาโรลด์คือชื่อเต็มของยูสทัส

 

[ ยูสทัส ฟรอยด์ … ] – ฮาโรลด์

[ โอ้ นายรู้จักชั้นด้วยเรอะ ? ] ยูสทั

[ ทำไมคนอย่างแกถึงมาอยู่ที่นี่ ? ] – ฮาโรลด

[ …. ข้ามเรื่องไร้สาระพวกนั้นไปเถอะ หากนายไม่อยากที่จะนั่งเฉยๆรอความตายที่นี่ ก็มาทำงานให้ชั้นซะ ฮาโรลด์ ] – ยูสทัส

 

 

ยูสทัสไม่เกริ่นนำใดๆก่อนเลย เขาเข้าประเด็นทันที

และฮาโรลด์ที่จ้องเขม่งไปยังยูสทัสราวกับพยายามอ่านความจริงเบื้องหลังของคำพูดของเขา ซึ่งยูสทัสรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ง่าย ขณะที่ปล่อยให้ฮาโรลด์ตัดสินด้วยสายตาของเขาเอง และรอให้ฮาโรลด์เป็นเริ่มคนพูด

 

[ ไร้สาระ แกจะบอกว่าแกสามารถล้มล้างคำสั่งประหารชีวิตของชั้นได้ ? ] – ฮาโรลด์

[ ใช่แล้ว ชั้นทำมันได้อย่างแน่นอน ] – ยูสทัส

 

ยูสทัสยืนยันอย่างมั่นใจ เขาไม่ไช่คนหน้าซื่อใจคด เพียงแค่เขามั่นใจในอาวุธที่เขาพัฒนาและทักษะการเจรจาต่อรองของเขาซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะปลดปล่อยฮาโรลด์ หากอาวุธนี้สามารถนำไปใช้จริงได้ ราชอาณาจักรก็จะสามารถสร้างกองทัพที่ไร้เทียมทานได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครลังเลที่จะยอมให้ใช้นักโทษประหารอย่างฮาโรลด์เพื่อการทดลองครั้งนี้

นอกจากนี้ แทนที่จะสังหารฮาโรลด์ทิ้งเฉยๆ นี่เหมือนกับการใช้งานเขา เล่นตกกับเขา ทรมานเขา แล้วค่อยฆ่าเขาทิ้ง ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่อยากให้ฮาโรลด์ตายลังเลน้อยลง

คงมีคนไม่มากที่ต่อต้านเรื่องนี้ ดันนั้น ไม่มีทางที่ยูสทัสจะพลาดกับการเจรจาครั้งนี้ได้

 

[ อย่างไรก็ตาม ชั้นต้องบอกอะไรนายซักอย่าง หากนายมาทำงานให้ชั้น อนาคตที่รอนายอยู่ก็เหมือนดั่งตกสู่ขุมนรก ] – ยูสทัส

[ …. แกหมายความว่าไง ? ] – ฮาโรลด์

[ ชั้นได้พัฒนาดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาซึ่งชั้นปิดผนึกงานวิจัยนี้เอาไว้เพราะยังมีจุดบบกพร่องใหญ่ประการหนึ่ง มันเป็นดาบที่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของผู้ใช้งานได้อย่างมากมายโดยการดูดกลืนพลังเวทมนตร์ของผู้ใช้ แต่ทว่ามันยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้ชีวิตของผู้ใช้งานสั้นลง และตายในที่สุด หากนายเต็มใจที่จะถือดาบเล่มนี้ ชั้นจะปล่อยนายออกจากที่นี่ทันที ] – ยูสทัส

 

ยูสทัสพูดออกมาตรงๆโดยไม่ปิดบังอะไรเลย ซึ่งฮาโรลด์มี 2 ตัวเลือก 

คือยอมรับที่จะตายโดยไม่ขัดขืนอะไรตอนนี้ ? หรือ ตายหลังจากนี้อีกไม่นาน พร้อมกับความลำบากมากมายที่ตามมาด้วย ? เป็นทางเลือกอันแสนโหดร้ายที่ปลายทางของทั้ง 2 คือความตายเช่นเดียวกัน

ยูสทัสไม่อ้างหรอกว่ามโนธรรมของเขากำลังเจ็บปวด เพราะถ้ามันเป็นงั้นจริง เขาคงไม่ให้ทางเลือกเหล่านี้กับฮาโรลด์ ยูสทัสไม่เคยมีจิตใจที่บริสุทธิ์ หลักการของเขามีเพียงสิ่งเดียว คือการกระทำที่มีประโยชน์กับตัวของเขาเองเท่านั้น

 

 

[ .. หึ ] – ฮาโรลด์

[ ? ] – ยูสทัส

[ ฮึๆๆ … ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์ค่อยๆหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ

มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูราวกับดังมาจากส่วนลึกของหุบเหว เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่ทำให้คนที่ได้ฟังต้องตัวสั่น เสียงหัวเราะที่ไม่เข้ากับสถานที่อย่างคุกนี่ยังดังก้องต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยูสทัสคิดว่าฮาโรลด์คงบ้าไปแล้ว

 

[ …. มีอะไรน่าขำ ? ] – ยูสทัส

 

ในที่สุดยูสทัสก็อดไม่ได้ที่จะถามกับฮาโรลด์ ผู้ที่เริ่มดูเหมือนปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ และทันใดนั้น ฮาโรลด์ก็หยุดหัวเราะลง เหลือไว้เพียงเสียงสะท้อนของเสียงหัวเราะที่ยังคงดังก้องอยู่ภายในคุกแห่งนี้

ความเงียบนั้นที่จู่ๆก็ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ เหงื่อเย็นไหล่ชุ่มมือของยูสทัส กว่าที่เขาจะรู้สึกตัว เขาก็เป็นฝ่ายที่ถูกกดดันเองเสียแล้ว

 

[ มีอะไรน่าขำ ? แกถามงั้นรึ ? แล้วจะไม่ให้ชั้นขำได้ยังไง ? ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์ตอบกลับมาขณะลุกขึ้นยืน  แขนทั้ง  2 ของเขายังคงถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ ดังนั้นจึงไม่สามารถยืนตัวตรงได้ แม้ว่าเขาจะเกือบล้มไปข้างหน้า แต่ดวงตาของเขาก็ละจากการจ้องเขม่งมายังยูสทัส

เสียงโช่ตรวนดังก้องไปทั่วคุกใต้ดิน ฮาโรลด์ยังคงดิ้นรนเดินมาข้างหน้าโดยไม่สนใจว่าเขายังถูกล่ามไว้กับกำแพง พร้อมกับเสียงของโซ่ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

 

[ อนาคตที่เหมือนดั่งตกขุมนรกงั้นเรอะ ? จะบอกว่าพร้อมที่จะสละชีวิตแล้วก็ตายรึยังงั้นเรอะ ? ] – ฮาโรลด์

 

เสียงของโซ่ดังขึ้น และดังขึ้น

เลือดเริ่มไหลอาบออกมาจากข้อมือของฮาโรลด์ที่มีโซ่พันธนาการอยู่ แต่กระนั้น ฮาโรลด์ก็ยังไม่หยุด

 

[ แกพูดบ้าอะไร !!? อย่ามาดูถูกชั้นนะ!! ยูสทัส !! ] – ฮาโรลด์

 

เสียงที่ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับโซ่ตรวจที่ถูกดึงจนขาด ฮาโรลด์ก้าวต่อไปอีกหลายก้าวและมาจับที่ลูกกรงด้วยมือของเขา เลือดสดๆจากข้อมือของฮาโรลด์กระเด็นไปถูกยูสทัส จนเปรอะเปื้อนชุดสีขาวของเขา

 

[ ส่งดาบนั้นมาซะ !! ส่งพลังนั้นมา !! ชั้นจะสอนแกให้รู้ว่านรกที่แท้จริงและความหมายของการเตรียมใจมันเป็นยังไง !!!! ]  – ฮาโรลด์

[ …… ยอดเยี่ยม สมกับเป็นนายจริงๆ ฮาโรลด์ สโตร์ก ] – ยูสทัส

 

ฮาโรลด์และยูสทัส ต่างฝ่ายต่างหัวเราะออกมา อย่างไรก็ตาม นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 2 จะเป็นมิตรกัน เพราะรอยยิ้มที่ชั่วร้ายของทั้ง 2 คนนั้นมันดูราวกับการประกาศสงคราม 

 

—————————–

สนับสนุนแมวเลียได้ที่ 

กสิกร 0708329649 กิตติพิชญ์