ตอนที่ 53 ร้องห่มร้องไห้

ตอนที่ 53 ร้องห่มร้องไห้

เมื่อเห็นหวังจาวตี้เอ่ยเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงเขียนใบสั่งยาให้ทันที

“พี่ได้ใบสั่งยาแล้วก็ไปถามคุณปู่ที่บ้านก่อนนะคะว่ามียาพวกนี้ไหม หากว่าไม่มี ก็เข้าไปรับยาที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนได้ค่ะ” เธอจำได้ว่าคุณปู่ของเธอมีสมุนไพรบางอย่างอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะมีครบหรือไม่

หลังจากหวังจาวตี้ได้รับใบสั่งยาแล้ว หล่อนก็รีบตรงกลับไปที่บ้านใหญ่ทันที

ซูหว่านอี๋มองตามแผ่นหลังของหวังจาวตี้ที่กำลังเดินจากไปก่อนจะหันกลับมามองลูกสาวของตน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน ตอนนี้ลูกเก่งมากจริง ๆ รักษาคนอื่นได้แล้วด้วย”

“แม่คะ เป็นเพราะสิ่งที่คุณปู่สอน จึงทำให้หนูได้เรียนรู้”

และหวังจาวตี้ก็กลับมาหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“มู่หลาน คุณปู่มีครบหมดเลย ฉันไม่ต้องเข้าเมืองไปรับยาแล้ว” เมื่อเอ่ยจบก็ยื่นตัวยาออกไปให้ดู “มู่หลาน เธอดูให้ฉันหน่อยสิ ว่าทั้งหมดนี้ต้องใช้ยังไงบ้าง”

ฉินมู่หลานเห็นว่าในถุงยามีชะเอมเทศ ขู่เซิน เปลือกถู่จิงและเปลือกไป๋เซียนผี พลางหันมองหวังจาวตี้แล้วเอ่ยขึ้น “ยาพวกนี้เอาไว้ทำความสะอาด…สุขอนามัยภายนอกน่ะค่ะ”

หลังจากนั้นก็เอ่ยบอกหวังจาวตี้เรื่องวิธีใช้ยาภายนอก ก่อนชี้ไปที่ถุงยาอีกห่อหนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณปู่จัดยาให้พี่มาสามขนาน กินได้สามวัน นำไปต้มกับน้ำสามชามแล้วเคี่ยวงวดจนเหลือหนึ่งชาม อีกสามวันฉันจะกลับมาตรวจให้ค่ะ”

“ได้สิ”

หวังจาวตี้พยักหน้าทันที ก่อนจะคิดไปล้างในตอนนี้เลย “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันไปต้มยาก่อนนะ”

“อื้ม”

ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากที่หวังจาวตี้จากไป ก็เอ่ยกับซูหว่านอี๋ผู้เป็นแม่ว่า “แม่คะ หนูไปหาคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะ”

“ได้สิ ลูกรีบไปเถอะ”

เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นหลานสาวของตน ดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยแววชื่นชม “มู่หลาน คนที่เขียนใบสั่งยาให้เมียของเคอเหล่ยคือหลานใช่ไหม หลานเริ่มรักษาคนได้แล้วจริง ๆ ใบสั่งยาทั้งสองแผ่นนั่นดีมากเลย”

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตรวจจับชีพจรของหวังจาวตี้ แต่เมื่อพิจารณาใบสั่งยาก็พอมองภาพออกว่าใบสั่งยาทั้งสองนั้นทรงประสิทธิภาพดีมาก

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยพร้อมทั้งรอยยิ้ม “ทั้งหมดเป็นเพราะคุณปู่สอนมาดีค่ะ”

“เป็นเพราะหลานรู้แจ้ง จึงเข้าใจได้อย่างถ่องแท้”

“นั่นเป็นเพราะคุณปู่ปูรากฐานมาให้เป็นอย่างดีค่ะ” ฉินมู่หลานกล่าว ก่อนจะพูดคุยกับฉินอวิ๋นเฮ่อเกี่ยวกับเรื่องฝังเข็ม “คุณปู่คะ ตอนนี้หนูฝังเข็มให้คนไข้ได้สองครั้งแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฉินอวิ๋นเฮ่อก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“จริงเหรอเนี่ย อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมมากเลย” ขณะเอ่ย สีหน้าของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยความคะนึงหา “เข็มทองชุดนั้นตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตะกูลฉินเรา หวังว่าเมื่อไปอยู่ในมือของหลานแล้ว จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของฉฺนมู่หลานก็จริงจังขึ้นมา “คุณปู่วางใจค่ะ หนูจะตั้งใจศึกษาเรื่องการฝังเข็มให้ดี”

เมื่อเห็นหลานสาวเป็นเช่นนี้ สีหน้าของฉินอวิ๋นเฮ่อก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ “ดี มู่หลานของเราเป็นหลานที่ดีของปู่จริง ๆ” เมื่อเอ่ยจบ เขาก็เอ่ยถามเรื่องการฝังเข็มอย่างอดไม่ได้

ฉินมู่หลานอธิบายเนื้อหาพื้นฐานบางอย่าง หลังจากนั้นจึงเอ่ยปิดท้าย คุณปู่คะ ตอนนี้หนูรู้เพียงเท่านี้ค่ะ“

“เท่านี้ก็ดีมากแล้ว”

หากฉินอวิ๋นเฮ่อยังไม่แก่มาก เขาเองก็อยากจะเรียนรู้บ้าง

ขณะนั้นเอง หลิวชุ่ยฮวาก็เข้ามา ก่อนจะมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “มู่หลาน อยู่กินข้าวกลางวันสักหน่อยเถอะ ย่าเตรียมของโปรดของหลานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

หลังจากได้ยินหลิวชุ่ยฮวาเอ่ยเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงยอมพยักหน้า “ได้ค่ะ”

เมื่อถึงเวลารับประทานข้าวเที่ยง หวังจาวตี้ก็ช่วยฉินมู่หลานดูแลเรื่องอาหารอย่างกระตือรือร้น นอกจากนี้ยังวางไข่จานใหญ่เอาไว้ตรงหน้าเธออีกด้วย “มู่หลาน เธอกินสิ ฉันจำได้ว่าเธอชอบกินไข่ไก่”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”

ซุนฮุ่ยหงเหลือบมองลูกสะใภ้คนโตด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน ถึงเริ่มไปเอาอกเอาใจฉินมู่หลานเสียแล้ว เพราะปกติลูกสะใภ้คนโตไม่เคยเอาอกเอาใจเธอขนาดนี้มาก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของซุนฮุ่ยหงจึงมืดมนลงทันที

แม้แต่ซ่งอวี้เฟิ่งเองก็มองหวังจาวตี้ด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน

ฉินมู่หลานมองจานไข่สีเหลืองสดใสตรงหน้าของตน ก่อนจะลงมือกินมันอย่างไม่ลังเล นอกจากนี้ยังบอกให้คุณย่ากับซูหว่านอี๋กินเพิ่มด้วย

ซูหว่านอี๋ทราบเหตุผลดี แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สุดท้ายแล้ว เรื่องอาการป่วยของหวังจาวตี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้

หวังจาวตี้เห็นฉินมู่หลานยอมรับน้ำใจของตนแต่โดยดี จึงอดโล่งใจเสียไม่ได้ ดูเหมือนว่าต่อไปข้างหน้าหล่อนจะไม่สร้างปัญหาให้น้องสามีอีกแล้ว และทำดีด้วยให้มากขึ้น ตอนนี้ฉินมู่หลานเก่งมาก เมื่อถึงเวลาตนคงต้องพึ่งพาเธอ

ฉินมู่หลานกินไข่ไปประมาณสองสามคำ หลังจากนั้นก็เริ่มไม่อยากกินอีก ในทางกลับกัน เธอเริ่มคีบผักป่าที่วางอยู่ตรงหน้ากินเพิ่มอีกสักหน่อย

หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉินมู่หลานก็เตรียมกลับ

ซูหว่านอี๋ทนไม่ไหวเมื่อเห็นลูกสาวผอมลงเรื่อย ๆ จึงรั้งลูกสาวของตนเอาไว้พลางเอ่ย “มู่หลาน แม่ว่าลูกลดน้ำหนักเยอะแล้ว ตอนนี้กำลังดีแล้ว ไม่ต้องลดอีกแล้วล่ะนะ”

หวังจาวตี้ที่อยู่ถัดจากกันก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ป้ารองคะ มู่หลานผอมลงแล้วดูดีขึ้นนะคะ ป้าดูสิคะ ตอนนี้เห็นโครงหน้าของหล่อนชัดแล้วนะ สันจมูกของมู่หลานตรงชัดมาก ตาก็กลมโตด้วย ถ้าไม่ได้เจอมู่หลานนานกว่านี้ฉันคงจำแทบไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้นถ้าลดน้ำหนักอีกสักนิด จะต้องดูดีขึ้นอีกมากแน่ค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหว่านอี่ก็อดหันมองหวังจาวตี้ไม่ได้

หวังจาวตี้คิดว่าที่ตนเองพูดก็ถูกแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าป้ารองหันมาจ้องทำไม แต่ก็ยังพอมีไหวพริบอยู่บ้าง จึงหยุดพูดไป

ซูหว่านอี่มองลูกสาวของตนแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลาน อย่าไปฟังที่พี่สะใภ้ใหญ่ของลูกพูดเลย ตอนนี้ลูกก็สวยมากอยู่แล้ว”

เทียบกับตอนที่ลูกสาวเพิ่งแต่งงาน ตอนนี้มู่หลานดูดีขึ้นมาก

“มู่หลาน เขียนบทความคงเหนื่อยมากแน่เลย เอาไว้มีเวลาค่อยเขียน ถ้าไม่มีเวลาก็พักผ่อนให้มากขึ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็อดยกยิ้มไม่ได้ “ได้ค่ะแม่ หนูเข้าใจแล้ว”

เมื่อฉินมู่หลานกลับถึงบ้าน ตระกูลเซี่ยทุกคนก็กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอกล่าวทักเหยาจิ้งจือ ก่อนจะเตรียมกลับเข้าห้องไปพักผ่อน

แต่ฉินมู่หลานยังไม่ทันได้กลับเข้าห้อง ก็มีเสียงคนร่ำร้องดังมาจากทางประตู

“พ่อ แม่ พวกพ่อกับแม่ต้องตัดสินใจเรื่องนี้แทนหนู…”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที เซี่ยเจ๋อน่ากลับมาอีกแล้ว

จากนั้นเซี่ยเจ๋อน่าก็ร้องไห้แล้ววิ่งเข้าบ้าน ก่อนจะเอ่ยทั้งน้ำตา “พ่อ แม่ เกาหยวนนั่นมันไม่ใช่คน มันทำร้ายหนู พวกพ่อกับแม่ดูที่มันทำกับหนูสิว่ามันเป็นอย่างไร”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงหันกลับมามอง ก่อนจะพบว่าเซี่ยเจ๋อน่ามีใบหน้าบวมเป่งจมูกฟกช้ำดำเขียว แม้แต่ตรงหลังมือก็มีรอยแผล

เมื่อเห็นดังนั้น ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เกาหยวนคนนี้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก แต่งงานไปได้เพียงไม่กี่วันก็เริ่มทำร้ายร่างกายคนเสียแล้ว

เมื่อเหยาจิ้งจือเห็นสภาพของลูกสาวเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกไม่พอใจในครั้งก่อน ๆ ก็หายวับไปทันที รีบวิ่งเข้าไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะเอ่ยถาม “น่าน่า ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ โดนเกาหยวนทำร้ายร่างกายมาใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ เกาหยวนทำ ฮือๆๆ…พวกแม่คิดว่าหนูจะทำตัวเองเหรอ”

เซี่ยเจ๋อน่าร้องไห้ด้วยสีหน้าคับข้องใจ ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของตนจึงน่าเศร้าเช่นนี้

เซี่ยเหวินปิงเห็นลูกสาวมีสภาพเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้า เขาจ้องมองเซี่ยเจ๋อน่าพลางเอ่ยขึ้น “นี่ไงคนที่แกเลือกเอง ดูสิ่งที่แกเลือกสิว่ามันทำอะไร ในเมื่อเกาหยวนทำร้ายร่างกาย อย่างนั้นแกก็ฟ้องหย่าได้”

เดิมทีเขาก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้อยู่แล้ว ซ้ำยังให้โอกาสลูกสาวได้เลือกอีกด้วย เขาอยากจะเลี้ยงดูลูกสาวไปตลอดชีวิต จึงไม่อยากให้หล่อนแต่งงานกับเกาหยวน แต่สุดท้ายลูกสาวก็ตามเกาหยวนไป จนถึงตอนนี้ลูกสาวน่าจะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเกาหยวนได้บ้างแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยเจ๋อน่าได้ยินเช่นนั้น สีหน้ากลับตกตะลึงนิดหน่อย

“พ่อ…หนู…ถ้าหนูหย่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผูกมิตรกับทางพี่สะใภ้บ้านแม่ได้แล้ว ทีนี้ศัตรูน่าจะลดลงบ้างละนะ

เป็นไงล่ะนังน่า เห็นธาตุแท้ของคนที่เธอเลือกแล้วใช่ไหม ทีนี้จะยอมฟังพ่อแม่บ้างยัง ไม่หย่าก็อยู่ให้มันทุบเป็นกระสอบทรายต่อแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)