ตอนที่ 40 ภาษีลิขสิทธิ์

ค่ำวันนั้นหยางเฟิงติดต่อหลินเยวียนไปตามช่องทางการติดต่อที่ให้ไว้ “สวัสดีครับ คุณคือฉู่ขวงใช่มั้ยครับ ผมชื่อหยางเฟิง เป็นบรรณาธิการตรวจต้นฉบับซูเปอร์โนวาอวอร์ดของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู”

“สวัสดีครับ ใช่ครับ”

หลินเยวียนรับสายขณะที่อยู่ในหอพัก

หยางเฟิงยิ้มเอ่ย “ยินดีด้วยนะครับ คณะกรรมการตรวจต้นฉบับของซูเปอร์โนวาได้ตัดสินใจเลือกให้นิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของคุณอยู่ในลำดับที่ห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ดในครั้งนี้ หรือจะเรียกได้ว่านิยายของคุณได้รับโอกาสตีพิมพ์แล้ว สัญญาโดยละเอียดจะส่งให้คุณทางอีเมล เดี๋ยวแอดคอนแท็กก่อนได้มั้ยครับ”

หลินเยวียนตอบด้วยความดีใจ “ได้ครับ”

ถึงแม้ว่าระบบจะคุยโวซะใหญ่โต แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจว่านิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสนี้จะผ่านเข้ารอบการประกวดของนักเขียนหน้าใหม่แต่อย่างใด โทรศัพท์สายนี้ทำให้เขาวางใจลงได้บ้าง ดูแล้วระบบก็พอจะเชื่อถือได้ทีเดียว

หลังจากวางสาย

ทั้งสองก็เพิ่มรายชื่อติดต่อกัน

หยางเฟิงส่งสัญญามาให้อย่างรวดเร็ว เนื้อหาในสัญญาระบุไว้ว่าจำนวนการตีพิมพ์รูปเล่มของปรินซ์ออฟเทนนิสในระยะแรกคือหนึ่งแสนเล่ม ราคายี่สิบหยวนต่อหนึ่งเล่ม ภาษีลิขสิทธิ์ร้อยละห้า เป็นราคาที่ค่อนข้างมาตรฐานสำหรับหน้าใหม่

เรื่องนี้ต้องอธิบายก่อนว่า

สิ่งที่เรียกว่าภาษีลิขสิทธิ์ไม่ใช่ภาษีปกติตามที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องลิขสิทธิ์ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทที่ตีพิมพ์ เป็นผลประโยชน์ทางการเงินที่ผู้ผลิตทรัพย์สินทางปัญญาหรือลิขสิทธิ์เรียกเก็บจากผู้อื่นซึ่งใช้ทรัพย์สินทางปัญญานั้น

หลินเยวียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกโกงแต่อย่างใด

ถ้าหากเป็นตลาดนิยายซึ่งเป็นรูปเล่มในโลกเดิม นักเขียนหน้าใหม่ซึ่งออกหนังสือครั้งแรกมักจะถูกฝั่งผู้ตีพิมพ์ซื้อขาดลิขสิทธิ์ หลังจากนั้นหากตีพิมพ์เพิ่มก็จะไม่มีส่วนแบ่ง เมื่อนักเขียนรวบรวมทุนเองได้ถึงระดับหนึ่งจึงจะดีขึ้นมาสักหน่อย นอกเสียจากว่านักเขียนหน้าใหม่คนไหนมีลู่ทางปล่อยผลงานกับสำนักพิมพ์ ก็จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อมองจากมุมนี้แล้ว บลูสตาร์นับว่าค่อนข้างใจกว้างแล้ว

อ่านสัญญาจบ

หลินเยวียนก็เซ็นสัญญา

และเขาก็ยังส่งต้นฉบับของปรินซ์ออฟเทนนิสอีกหนึ่งแสนตัวอักษรให้อีกฝ่าย สำนักพิมพ์ต้องการเวลาอีกประมาณหนึ่งในการพิสูจน์อักษรและปรับแก้ ตัวอย่างเช่นประโยคที่ไม่เหมาะสม หรือว่าพวกคำผิด

เรื่องนี้หลินเยวียนเข้าใจดี

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ทีทางได้โอกาสทำงานนี้ เพราะระบบตรวจสอบคำผิดได้แม่นยำที่สุด และสิ่งที่ค่อนข้าง

เป็นอัตวิสัยอย่างการวางคำหรือรูปประโยคอาจมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย

เมื่อได้รับต้นฉบับ

หยางเฟิงไม่ได้แปลกใจ

ในเมื่อส่งต้นฉบับมาแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะผ่าน เนื้อเรื่องในเล่มแรกเขียนเสร็จล่วงหน้านั้นเป็นเรื่อง

ปกติมาก ทว่าขณะที่เขาคิดว่าจะพูดคุยกับฉู่ขวงต่อสักสองสามประโยค ก็พบว่าอีกฝ่ายได้ออฟไลน์ไปแล้ว!

หยางเฟิง “…”

ในสายอาชีพนี้ โดยทั่วไปนักเขียนหน้าใหม่มักจะประจบประแจงบรรณาธิการ ต่อให้เป็นนักเขียนนิยายซึ่งไม่ได้

โด่งดังมาก ก็จะวางท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อให้ได้รับการดูแลจากบรรณาธิการเป็นพิเศษ เมื่อต้องเจอกับการเร่งต้นฉบับของบรรณาธิการ พวกเขาส่วนมากก็ทำได้แค่รู้สึกสั่นสะท้าน ขังตนเองอยู่ในห้องแคบๆ มืดๆ ปั่นต้นฉบับออกมาด้วยตัวอันสั่นเทา

ทว่าฉู่ขวงนั้นต่างออกไป

เขาพูดคุยเรื่องสัญญากับตน แล้วก็ออฟไลน์ไปเลย นั่นทำให้หยางเฟิงงงงัน เขาไม่ได้หวังให้ฉู่ขวงคนนี้มาประจบสอพลอตนเอง ถึงขั้นที่รู้สึกต่อต้านปรากฏการณ์ที่นักเขียนต้องประจบบรรณาธิการด้วยซ้ำไป

แต่ปัญหาก็คือ

ตนยังอยากสนทนากับฉู่ขวงสักหน่อยน่ะสิ ถึงอย่างไรเขาก็ชื่นชมฉู่ขวงมาก เพราะฉะนั้นเดิมทีแล้วเขาเลยคิดว่าจะพูดคุยเรื่องตลาดและทิศทางของการผลิตผลงานในอนาคตสักหน่อย และถือโอกาสให้คำชี้แนะของมืออาชีพไปในตัว…

ในตอนนี้เผชิญหน้ากับภาพโปรไฟล์สีดำแล้ว

เขาทำได้เพียงเก็บงำคำพูดกลับไป

เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยังเป็นนักเรียนคนหนึ่ง คงไม่มีประสบการณ์ในการเข้าสังคม หยางเฟิงก็ไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกขบขัน ถ้ายังอยากเติบโตในสายอาชีพนี้ละก็ ต่อไปเด็กคนนี้ก็ต้องรู้จักความน่ากลัวของเหล่าบรรณาธิการไว้ด้วย

……

หลินเยวียนไม่ได้อยากเมินเฉยหยางเฟิง แต่ว่าตอนนี้เขากำลังจะหลับแล้ว ถึงแม้ระบบจะเพิ่มอายุขัยให้ แต่กลับไม่ได้ทำให้สภาพร่างกายของหลินเยวียนดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นร่างกายของหลินเยวียนในตอนนี้ก็ยังคงอ่อนแอ ผลของการนอนไม่ตรงเวลาจะร้ายแรงมาก

หลินเยวียนเป็นคนป่วย

บางทีโรครักษาไม่หายของเขาอาจได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนป่วยอย่างหลินเยวียนจะแข็งแรงกำยำ เขายังคงเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะเมื่อเทียบกับคนธรรมดา ฉะนั้นแล้ววิธีการของระบบจึงสอดคล้องกับการรักษามาก

อันที่จริงจุดนี้เรียกได้ว่าน่ารำคาญเหลือเกิน

หลินเยวียนใคร่ครวญว่าควรออกกำลังกายดีไหม

ทว่าร่างกายอย่างเขาต่อให้ออกกำลังกาย ก็ย่อมต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรซะพื้นฐานของเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่อยากให้ฝึกจนบาดเจ็บโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ติ๊งต่อง!”

ระบบคล้ายกับว่าจะรับรู้ถึงความหงุดหงิดใจของหลินเยวียน อยู่ๆ ก็ถึงกับโยนภารกิจมา “สัมผัสได้ถึงความปรารถนาเรื่องสุขภาพที่โฮสต์มี จึงมอบภารกิจพิเศษให้ ถ้าหากโฮสต์ทำภารกิจพิเศษนี้สำเร็จ ระบบจะรับประกันสุขภาพของโฮสต์จนถึงอายุสามสิบปีโดยไม่เจ็บไม่ป่วย”

[ชื่อภารกิจ: ร่างกายต่างหากที่เป็นต้นทุนของการปฏิวัติ]

[เนื้อหาภารกิจ: ชื่อเสียงด้านวรรณกรรมและดนตรีทะลุหนึ่งล้านทั้งสองหมวด]

[รางวัลภารกิจ: โฮสต์จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีชีวิตอยู่อย่างร่างกายแข็งแรงจนถึงอายุสามสิบ]

[หมายเหตุภารกิจ: มาตรฐานของสิ่งที่เรียกว่าร่างกายแข็งแรง หมายถึงโฮสต์มีร่างกายที่ระบบปรับแต่งอย่างละเอียดรอบคอบ สุขภาพดีกว่าคนทั่วไปมาก นอกจากนั้นแล้ว ภารกิจนี้จะมีผลถึงเมื่อโฮสต์มีอายุยี่สิบเจ็ดปี แล้วจะหมดอายุการใช้งาน]

ดูท่าระยะเวลาในการทำภารกิจนี้จะนานมากทีเดียว

ส่วนเหตุผลที่ภารกิจมีผลถึงอายุยี่สิบเจ็ด ก็เพราะขีดจำกัดอายุขัยของหลินเยวียนอยู่ที่อายุยี่สิบเจ็ด ถ้าเขาอายุถึงยี่สิบเจ็ดปีแล้วยังทำภารกิจไม่สำเร็จ หลินเยวียนก็คงต้องบอกลาโลกแล้ว

“รับภารกิจ”

สำหรับภารกิจนั้น แต่ไหนแต่ไรมาหลินเยวียนไม่เคยปฏิเสธ

อย่างไรซะต่อให้ทำภารกิจล้มเหลวก็ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร

เพียงแต่หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าจะมีภารกิจพิเศษพรรค์นี้ด้วย ร่างกายแข็งแรง อยู่อย่างไม่เจ็บไม่ป่วยจนถึงอายุสามสิบ ถ้าทำภารกิจสำเร็จ ก็เท่ากับว่าหลินเยวียนได้ซื้อประกันของระบบให้กับตนเองไว้แล้ว

ฟังดูดีอยู่หรอกนะ

แต่จะว่าไปแล้ว

ค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมกับดนตรี แต่ละหมวดทะลุหนึ่งล้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จากความเร็วในการเพิ่มขึ้นของชื่อเสียงหมวดดนตรีของหลินเยวียนแล้วสามารถบอกเป็นนัยได้ว่า ‘ฉันทำภารกิจมาลำบากมาก นายจะต้องเอาชนะปีศาจแห่งความเจ็บป่วยให้ได้’

ระบบ “…”

ระบบ “ขอแค่โฮสต์สามารถทำภารกิจทั้งชุดที่ระบบมอบหมายให้สำเร็จ ระบบก็จะเอาชนะปีศาจแห่งความเจ็บป่วยของโฮสต์ได้”

ซื่อสัตย์จริงใจอยู่นะ

หลินเยวียนพยักหน้า นอนละนะ

เมื่อรูมเมตในหอเห็นว่าหลินเยวียนเข้านอนแล้ว ก็ไปปิดไฟโดยอัตโนมัติ คุยโทรศัพท์ก็ออกไปคุยเบาๆ ที่ระเบียงทางเดินนอกห้อง ใช้คอมพิวเตอร์ก็ใส่หูฟังของตนเงียบๆ เพื่อไม่ให้เสียงเหล่านี้ไปรบกวนหลินเยวียน

หลินเยวียนเข้านอนตอนสามทุ่มทุกวัน

ช่วงสามทุ่มห้องอื่นๆ อาจจะยังคึกคักอยู่ แต่ห้องที่หลินเยวียนอยู่นั้นไม่มีใครส่งเสียงดังหลังสามทุ่มเลย เพราะรูมเมตเองก็รู้ว่าสุขภาพของหลินเยวียนนั้นไม่ดีนัก จึงโอนอ่อนผ่อนตามหลินเยวียนมาตลอด

“เห็นทีคงต้องออกไปอยู่ข้างนอก”

เพื่อนร่วมห้องโอนอ่อนผ่อนตามหลินเยวียน หลินเยวียนไม่มีทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เขาไม่ได้คิดว่าตนอ่อนแอแล้วตนต้องถูกเสมอ

ตอนนี้มีเงินแล้ว เขาจะขบคิดเรื่องออกไปเช่าบ้านข้างนอก

รูมเมตจะได้ใช้ชีวิตแบบนักเรียนมหาวิทยาลัยทั่วไปกันสักที เปิดปาร์ตี้ในหอกลางดึกอะไรเทือกนั้น

……………………………………….