ตอนที่ 2 คิดว่าข้าเป็นมนุษย์กินคนหรือไร ?
หลินเว่ยเว่ยชะงักไปชั่วครู่ ! สตรีนางนี้ทั้งผ่ายผอมและดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าหากสู้กับหมูป่าก็มีแต่ตายกับตาย ทั้งที่อยู่ต่อหน้าภัยอันตรายถึงเพียงนี้ก็ยังยอมใช้ชีวิตของตนแลกเวลาให้บุตรีได้หนีไป นี่คือพลังความรักของผู้เป็นมารดาใช่หรือไม่
เมื่อชาติที่แล้วหลินเว่ยเว่ยเป็นเพียงเด็กกำพร้า เมื่อได้มาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ความรู้สึกที่อธิบายมิถูกก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจ มันเป็นทั้งความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน อีกทั้งยังเป็นความรู้สึกที่หอมหวานมากด้วย ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง นางรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ออกแรงพลิกเจ้าหมูป่าจนมันกระแทกลงกับพื้น เอ่อ…หมูป่าตัวนี้อ่อนแอเกินไปหรือไม่ ? มันเป็นกระดาษหรือไรกัน ?
หลินเว่ยเว่ยใช้สองขาของตนดันร่างหมูป่าเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบก้อนหินขนาดใหญ่เท่าศีรษะทารกขึ้นมาแล้วทุบไปที่หัวของหมูป่าทันที
“ย๊ากกกก ! ” ในขณะเดียวกันนางก็ร้องตะโกนออกมาเพื่อรวบรวมพละกำลังแล้วทุบลงไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
บุตรสาวคนโตเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงทันใด ! แม้คนในครอบครัวจะรู้ดีว่าเจ้าเด็กโง่มีพละกำลังเหลือล้น ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าพละกำลังของเจ้าเด็กโง่มีมากมายมหาศาล ! ขนาดหมูป่าที่หนักหลายร้อยชั่งก็ยังถูกนางจัดการได้อย่างง่ายดายด้วยสองมือ
ครานี้ดวงตาของบุตรสาวคนโตได้จับจ้องไปบนร่างของหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยนึกถึงตอนที่ตนโดนอีกฝ่ายผลักไปประจันหน้ากับหมูป่า ทั้งที่เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ดูมีอายุไม่มาก ทว่ามีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ถึงขนาดกล้าผลักน้องสาวให้ไปเผชิญหน้ากับหมูป่าที่ดุร้ายได้ นี่มันเจตนาเอาชีวิตกันเลยนี่ ! หากมิใช่เพราะเจ้าของร่างเดิมมีพละกำลังมหาศาลแล้วเจ้าหมูป่าตัวนี้อ่อนแอเกินไปก็มีหวังว่าตนที่เพิ่งกลับมาเกิดใหม่คงมิทันได้ลองใช้ชีวิตก็ต้องไปยมโลกอีกคราเสียแล้ว ! เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจของนางก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น
ใบหน้าของนางดูไร้ความรู้สึก ในมือยังถือก้อนหินที่เปื้อนเลือดเอาไว้จากนั้นก็ทุบลงไปที่หัวของหมูป่าอีก ทว่าดวงตาของนางกลับจ้องเขม็งไปที่บุตรสาวคนโตหรือพี่สาวในโลกนี้นั่นเอง
บุตรสาวคนโตสั่นเทาไปทั้งร่างราวกับนกน้อยตกน้ำก็มิปาน รู้สึกว่ามีสายลมเย็นพัดวาบผ่านหลังไป รู้สึกราวกับว่าก้อนหินที่อยู่ในมือของเด็กโง่พร้อมทุบลงที่ร่างของนางได้ทุกเมื่อ มันช่าง…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก !
ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามภูเขามักมีคำที่พูดติดปากว่า ‘ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมด พลังการต่อสู้ของหมูป่าแข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือหมีและลำดับที่สามคือเสือ’ นั่นเพราะว่าหมูป่าสามารถระเบิดพละกำลังและความดุร้ายของมันออกมาได้มากที่สุด ทำให้อยู่เหนือกว่าหมีและเสือ ทว่าเจ้าหมูป่าที่โตเต็มวัยตัวนี้กลับถูกก้อนหินทุบจนสมองยุบเป็นโพรง มันตายจนมิสามารถตายได้มากกว่านี้แล้ว !
หลินเว่ยเว่ยวางก้อนหินในมือลง จากนั้นก็หย่อนก้นลงนั่งบนพื้นแล้วหอบหายใจออกมาอย่างรุนแรงเพราะความเหน็ดเหนื่อย แท้ที่จริงแล้วนางก็รู้สึกกลัวอยู่เช่นกัน เมื่อชาติก่อนแค่เห็นสุนัขขวางทาง นางยังต้องเปลี่ยนไปเดินอีกทาง แม้แต่ไก่สักตัวก็ยังมิเคยฆ่า ทว่าพอกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ได้ประเดิมฆ่าหมูป่าเป็นการต้อนรับ มันน่าตื่นเต้นเกินไปหน่อยหรือไม่ !
นางหวงตกใจกลัวจนสติหลุด นางยังเตะต่อยไปที่ซากหมูป่าอย่างสะเปะสะปะ ปากก็เอาแต่พึมพำให้บุตรสาวทั้งสองหนีไป…
หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ของตน จากนั้นก็หันไปมองพี่สาวคนโตที่ยืนอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายตกใจกลัวจนต้องถอยหนีไปหลายก้าวคล้ายกลัวว่าจะโดนนางจับกินอย่างไรอย่างนั้น !
ดังนั้นนางจึงอ้าปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “มัวแต่ยืนตกตะลึงอันใดกัน ? แบกท่านแม่ลงเขาไปสิ ! ”
บุตรสาวคนโตจึงทำหน้าราวกับว่ากำลังเห็นผี ‘เจ้าเด็กโง่เบาปัญญาผู้นี้พูดภาษาคนได้ด้วยหรือ ? สรุปแล้วโง่เขลาจริงหรือไม่ ? มันเป็นไปได้อย่างไร ? นี่ข้ากำลังฝันใช่หรือไม่ ? ’
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปสวมกอดด้านหลังของนางหวงที่ยังเสียสติอยู่ จากนั้นก็กระซิบที่ข้างหูมารดาเพื่อเป็นการปลอบประโลม “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ หมูป่าตายแล้ว ! ท่านมิต้องกลัวหรอก ท่านมีข้าอยู่ทั้งคน มิต้องกลัวแล้ว…”
อาการเสียสติของนางหวงจึงค่อย ๆ ทุเลาลง นางได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครา ทว่าหลังจากเห็นสภาพของหมูป่าที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด นางก็ตื่นตกใจจนต้องซุกหน้าเข้าในอ้อมกอดของหลินเว่ยเว่ยทันที จากนั้นนางก็ร้องโวยวายออกมาพร้อมร่างสั่นเทา “ลูกสาวคนรองของข้า… ลูกสาวคนรองของข้าอยู่ที่ใด ? ”
“ท่านแม่…ข้าอยู่นี่ ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกแสบจมูกพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา ขณะที่นางขานรับ ‘ท่านแม่’ ในโลกใบนี้
นางหวงเงยหน้ามองตามเสียง จากนั้นก็ยื่นมือเรียวยาวไปลูบใบหน้าของบุตรสาวแล้วสำรวจดูอย่างละเอียด ในที่สุดนางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทว่าทันใดนั้นนางก็รู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งกาย ก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบประคองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปหาพี่สาวคนโต ‘หายไปที่ใดแล้ว ? นางหนีไปเมื่อใดกัน ? อย่าบอกว่านางกลัวจนวิ่งป่าราบไปแล้ว ? นางกลัวอันใดกัน ? ฉันไม่ใช่มนุษย์กินคนเสียหน่อย ! เหตุใดนางต้องแอบหนีไปโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ? ในใจของนางมีแผนใดซ่อนอยู่หรือไม่ ? ’
“โบร๋ววววว” เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นจากป่าลึกในหุบเขา เสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิวทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าสะพรึง ความมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมผืนป่า เสียงร้องของนกดังผ่านป่าลึกออกมา ในป่ายามราตรีมีอันตรายอยู่รอบด้านและมิรู้ว่ากลิ่นคาวเลือดนี้จะไปดึงดูดสัตว์ตัวใดมาบ้าง ! คงอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้แล้ว อย่างไรก็ต้องลงเขาให้เร็วที่สุด !
หลินเว่ยเว่ยจ้องมองไปยังซากหมูป่าที่นอนตายอยู่บนพื้นดิน จากนั้นก็หันมามองนางหวงที่ยังอยู่ในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจยาวออกมา นางตัดสินใจแบกนางหวงขึ้นหลังแล้วเดินลงเขา ท้องร้องโครกครากด้วยความหิวราวกับว่ากำลังเสียดายหมูป่าที่มีน้ำหนักหลายร้อยชั่งนั่น
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองอีกครา นางมองไปยังร่างไร้วิญญาณของหมูป่าด้วยตาละห้อย ทว่าสุดท้ายก็จำใจเดินจากไป
เมื่อเดินไปจนใกล้ถึงเชิงเขา นางก็เห็นว่าในหมู่บ้านมีแสงไฟลุกโชนสว่างไสว จากนั้นก็เห็นว่าบุตรสาวคนโตพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามารับนางและนางหวงซึ่งในมือของพวกเขาแต่ละคนถือคบเพลิงเอาไว้ ‘หึ ! อย่างน้อยก็ถือว่ายังมีน้ำใจอยู่บ้าง ! ’
ทันทีที่พวกชาวบ้านพากันกรูเข้ามาหา นางก็รู้สึกราวกับว่าตนกลายเป็นเด็กสาวเนื้อหอมขึ้นมาทันที ทว่าจู่ ๆ ก็มีคนถามขึ้นมา “หมูป่าเล่า ? เจ้าเด็กโง่ เจ้าฆ่าหมูป่าตัวนั้นจริงหรือ ? ”
“ไอหยา ! เอาแต่ถามเจ้าเด็กโง่ปาว ๆ แล้วจะได้อันใดขึ้นมา ? เจ้าคิดว่านางจะตอบคำถามของเจ้าได้หรือ ? ” ชาวบ้านอีกคนเอ่ยออกมา จากนั้นก็เดินตามหลังบุตรสาวคนโตไปบนเขา
บุตรสาวคนโตพาพวกเขาไปยังบริเวณที่น้องสาวฆ่าหมูป่าตาย ทว่าไม่พบซากหมูป่าเลยสักตัว นอกจากรอยเลือดกองหนึ่งแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
“นี่ ! เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าหมูป่าตัวนั้นถูกฆ่าตายไปแล้ว เจ้าบอกให้พวกข้ามาแบ่งเอาเนื้อมันไปกินมิใช่หรือ ? แล้วหมูป่าอยู่ที่ใด ? ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยความผิดหวัง
“ตอนแรกมันยังอยู่ตรงนี้เลย ! พวกท่านก็ดูกองเลือดตรงนี้สิ ทั้งยังมีก้อนหินก้อนนั้นอยู่ด้วย ! เจ้าเด็กโง่ใช้หินก้อนนั้นทุบหัวหมูป่าจนตาย ! เหตุใดบัดนี้มันไม่มีแล้ว ? ”
นางคิดว่าหมูป่าที่ตัวใหญ่ถึงเพียงนั้น หากมินำกลับไปด้วยมีหวังต้องสูญเสียมันให้สัตว์ป่าตัวอื่นที่อาจมาลากมันไปกิน ดังนั้นนางจึงไปตามชาวบ้านให้มาช่วยกันขนย้ายมันกลับไป แม้ว่านางจะแบ่งมันให้กับชาวบ้านแต่ละครัวเรือนแล้ว ครอบครัวของนางก็จะมีเนื้อหมูป่าเหลืออีกมิน้อย ! ทว่าบัดนี้หมูป่าตัวนั้นหายไปที่ใดแล้ว ?
“หมูป่าตายแล้วจริงหรือ ? หรือว่าแท้จริงเจ้าคิดจะโน้มน้าวให้พวกข้ากลับมาช่วยแม่และน้องสาวกันแน่ เจ้าโกหกพวกข้าใช่หรือไม่ ? ” ชาวบ้านอีกคนจ้องมองนางราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ
“ข้ามิได้โกหกพวกท่าน ! ข้าคิดว่าเพื่อนบ้านทุกคนที่มาช่วยเหลือข้าออกตามหาน้องสาวบนภูเขาต้องพบกับความยากลำบาก ข้าจึงอยากให้ทุกคนมาแบกหมูป่าตัวนี้ลงไปเพื่อแบ่งเนื้อกัน และข้าก็ไม่รู้ว่าหมูป่าหายไปได้เช่นไร…” บุตรสาวคนโตรีบแก้ต่างให้ตนเองทันที
ลุงต้าซวนมองไปรอบด้าน จากนั้นก็เอ่ยด้วยความหวาดระแวง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะถูกฝูงหมาป่าลากไปแล้ว ? ”
สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับป่าลึกเป็นอย่างมาก พวกชาวบ้านต่างก็เคยเห็นฝูงหมาป่าบริเวณใกล้เคียงมาก่อน หากฝูงหมาป่ายังไปจากที่นี่ได้มิไกล มีหวังว่าพวกเขาทั้งสิบกว่าคนคงสู้พวกมันมิได้แน่ ! ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงไม่สนใจเรื่องหมูป่าอีกต่อไป ต่างคนต่างเดินลงภูเขาด้วยสีหน้าผิดหวัง
หลินเว่ยเว่ยแบกนางหวงเข้ามาในหมู่บ้านได้มินาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้โฮของเด็กน้อยคนหนึ่งดังมาจากประตูทางเข้าหมู่บ้าน “ท่านแม่ ท่านพี่… ฮึก ฮึก ฮือออ”
ในขณะเดียวกันเจ้าหนูน้อยก็มีคนคอยปลอบประโลมอยู่ข้างกายมิห่าง “อีกมินานท่านแม่และท่านพี่ของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว พวกเราไปรอพวกนางที่บ้านดีหรือไม่ ? ”
“ฮึกฮึกฮือออ…ข้าจะไปหาท่านแม่ ท่านแม่…” เด็กน้อยวิ่งไปตามถนนขึ้นภูเขา ปากก็ตะโกนเรียกหามารดาของตนมิหยุด “ท่านแม่ต้องไม่ตาย ! พวกชาวบ้านก็แค่โกหก ! ท่านแม่ไม่มีทางถูกหมูป่ากัดตายอย่างแน่นอน ท่านแม่…ท่านกลับมาหาข้าเถิด ข้ารู้สึกกลัวเหลือเกิน ! ”
เมื่อนางหวงที่อยู่บนหลังของหลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมาว่า “เอ้อร์หวาไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่…”
แม้ว่าเสียงของนางหวงมิได้ดังมากนัก ทั้งยังแฝงไปด้วยความอ่อนแรง แต่เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็รีบพุ่งตัวไปตามเสียงทันที มือน้อย ๆ ขยี้ตาของตนมิหยุด จากนั้นก็เห็นว่าบริเวณทางเข้าหมู่บ้านมีร่างขนาดใหญ่กำลังเดินอยู่ เด็กน้อยคิดว่าเป็นมารดาของตนจึงรีบสาวเท้าเข้าหาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ! ท่านแม่ ! ”
นางหวงพยายามดิ้นรนเพื่อจะลงจากหลังของหลินเว่ยเว่ย ทว่าทั่วทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย เจ้าหนูน้อยวิ่งเข้ามาข้างเงาดำ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าร่างใหญ่มิใช่มารดาของตนจึงจ้องมองหลินเว่ยเว่ยด้วยความตื่นตกใจ จากนั้นก็ถอยห่างเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “พี่รอง…”
หลินเว่ยเว่ยไม่เข้าใจ “เจ้าจะตกใจอันใดนักหนา ? คิดว่าข้าเป็นมนุษย์กินคนหรือไร ? ”
ตอนต่อไป