ตอนที่ 42 กู้หมิงฉือ ในเขตตะวันออก (รีไรท์)
ตอนที่ 42 กู้หมิงฉือ ในเขตตะวันออก (รีไรท์)
“พี่ใหญ่ เราพาคนมาแล้ว พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์”
ชายที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวยาวถอดแว่นตาขอบเงินออก ปลายนิ้วเรียวสะบัดขี้เถ้าจากมวนบุหรี่ที่คีบอยู่ ดับก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่แก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ และเอ่ยเสียงเบา
“พาเข้ามา”
ผู้ที่เดินเข้ามาคือเหม่ยซิ่งเสียน เขาก้าวเดินเข้ามาด้วยขาที่สั่นเทา ท่าทางเหมือนกับไก่ง่อย
ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ไม่คิดไม่ออก ว่าไปทำให้ผู้คุมของเขตตะวันออกผู้นี้ขุ่นเคืองได้ยังไง
เขาแค่ทะเลาะกับยัยเมียโง่เรื่องที่ไปเถาหยาง และก็ไม่รู้ว่าเธอรู้ได้ยังไง โวยวายจนหัวเขาจะระเบิด หลังจากนั้นก็แค่อยากออกมาเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์ ใครจะไปคิดว่าพอออกมาแล้วจะถูกจับมัดใส่กระสอบ
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกจับมาไว้ที่ฉวนเหอโกวในเขตตะวันออก เขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ที่นี่คือเขตควบคุมของผู้คุมกู้หมิงฉือ
คนที่ตงหยางรู้ดีถึงความสามารถของท่านฉือในเขตตะวันออก เมื่อถูกเขาหมายหัวก็แทบจะไม่มีใครสามารถหนีได้เลย ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังรวบรวมคนเก่ง ๆ ไว้ด้วยกลุ่มหนึ่ง ครอบครองที่ดินผืนนี้ในเขตตะวันออก ซึ่งแม้แต่กองกำลังรักษาดินแดนก็ควบคุมไม่ได้
เหม่ยซิ่งเสียนยังไม่ได้สติกลับมา ก็มีคนถูกจับเข้ามาขังรวมกับเขาแล้ว คนหนึ่งเป็นหญิงชราที่ใบหน้าเสียโฉม อีกคนคือเด็กหนุ่มที่มีความสามารถควบคุมไฟ
ทั้งสามคนรู้สึกสับสนมึนงง หลังจากรออยู่ด้วยความตื่นตระหนกเป็นเวลาสองชั่วโมง ในที่สุดก็ถูกเรียกให้ไปพบผู้คุมคนนั้น
เมื่อผู้ชายที่อยู่หน้าโต๊ะยาวเห็นพวกเขาเข้ามาก็ยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง ลุกขึ้นทำท่าทางเชื้อเชิญ มองดูแล้วสุภาพมาก แต่ทั้งสามคนกลับรู้สึกว่าใบหน้ายิ้มแย้มและท่าทางเกรงใจนี้ กลับดูน่าหวาดกลัว
เสี่ยวตี้ที่อยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามาแตะพวกเขาทั้งสาม และพูดว่า “ท่านฉือให้พวกแกนั่ง พวกแกก็รีบนั่งลงสิ จะให้ท่านฉือเอาเก้าอี้ให้พวกแกด้วยเหรอ”
จบประโยคนั้นเหม่ยซิ่งเสียนก็เข้าใจในทันที อีกฝ่ายคือพี่ใหญ่ของเขตตะวันออก เขาจึงรีบร้อนหมอบกราบอย่างพ่ายแพ้
“สวัสดีครับท่านฉือ ท่านเรียกผมมามีอะไรให้รับใช้ครับ แค่ท่านพูดมา ผมเหม่ยซิ่งเสียนจะบุกน้ำลุยไฟ ทำให้สำเร็จให้ได้ครับ”
เมื่ออีกสองคนเห็นสถานการณ์แล้วจึงเลียนแบบเขาพูดประจบสอพลอ
กู้หมิงฉือแสยะยิ้ม ทิ้งตัวนั่งลงพลางเปิดเอกสารในมือ หน้าแรกของเอกสารนั้นเป็นภาพของเหม่ยซิ่งเสียน จากนั้นเปิดปากเอ่ยถามอย่างคลุมเครือ
“เหม่ยซิ่งเสียน อายุยี่สิบหก อาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการ ภรรยาชื่อว่าถานฟางชุน สองวันก่อนเกิดขัดแย้งกับซูเถา กวานจือหนิง และจวงหว่านที่โรงพยาบาลในตงหยาง หลังจากนั้นก็ถูกกวานจือหนิงชักปืนใส่ใช่ไหม?”
เหม่ยซิ่งเสียนงุนงง ในใจยังคงตกใจว่าคนตัวเล็ก ๆ อย่างเขาถูกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดชัดเจนแบบนี้ อีกฝ่ายต้องการทำอะไรกันแน่ ในใจเขารู้สึกกลัวมาก เพียงแต่ยังเงยหน้าขึ้นตอบ
“ใช่ครับ ๆ”
กูหมิงฉือแสยะยิ้ม ขยับมือพลิกเอกสารหน้าต่อไป พลางพูดกับหญิงสูงวัยที่ใบหน้าเสียโฉม
“เหวินเพ่ยเจิน ปีนี้อายุห้าสิบเก้า มีลูกสาวแต่งงานกับพ่อค้าปืนในฐานโส่วอัน ทำเงินได้เล็กน้อย จึงจองห้องสำหรับหนึ่งคนให้คุณในเถาหยาง หลังจากนั้นเนื่องจากขัดแย้งกับเถาหยาง จึงถูกทำร้ายและไล่ออกจากเถาหยางใช่ไหม?”
เหวินเพ่ยเจินที่ยังมีผ้าพันแผลบนใบหน้า เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือในลำคอ “ใช่ ๆ ที่นี่คือที่ไหน คุณ…พวกคุณต้องการจะทำอะไรน่ะ”
เสี่ยวตี้เหยียบเท้าลงบนเอวหญิงชรา “ถ้ายังไม่ได้ถามแกก็หุบปาก”
กู้หมิงฉือทำราวกับไม่ได้ยินไม่ได้เห็น และพลิกเอกสารหน้าถัดไป
“เจียงเจ๋อ อายุสิบเก้า มีพลังควบคุมไฟ เคยเช่าห้องคู่ในเถาหยางกับคนอื่น ต่อมาถูกไล่ออกจากเถาหยาง และยังถูกคนที่เถาหยางทุบตี ใช่ไหม?”
เจียงเจ๋อที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับอดีต เมื่อนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายก็กัดฟันกรอด “ใช่ พวกเขาหมู่มากรังแกคนหมู่น้อย รุมทุบตีผม”
ในที่สุดกู้หมิงฉือก็กระตุกยกยิ้มขึ้น “ดีมาก ทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนกไป ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้ามีอะไรที่โกรธแค้น ไม่พอใจอะไรเถาหยางก็พูดมาได้เลย ผมกู้หมิงฉือจะช่วยพวกคุณจัดการเอง”
ทั้งสามมองหน้ากันสักพัก และเป็นเจียงเจ๋อที่แสดงความคิดเห็นขึ้นก่อน
“ท่านฉือเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ ผมอดทนมานานแล้ว วันนี้ผมต้องพูดมันออกมาให้ได้”
กู้หมิงฉือส่งสายตาให้เสี่ยวตี้ กล้องก็จับภาพพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เจียงเจ๋อเอ่ยอย่างโกรธเคือง แทบจะบอกว่าเถาหยางเหมือนเป็นนรก ราวกับว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพวกกลุ่มโจรที่ปล้นสะดม แม้เหวินเพ่ยเจินจะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่ทุกคนก็มีความเข้าอกเข้าใจกัน พร้อมเอ่ยทั้งน้ำตาว่าถูกเถาหยางขับไล่ และถูกทำร้ายจนใบหน้าของเธอเสียโฉม
เหม่ยซิ่งเสียนค่อนข้างที่จะฉลาด รู้ว่าท่านฉือคนนี้ต้องไม่ได้ใจดีช่วยพวกเขาแน่ แต่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเถาหยาง เขานึกไม่ออกว่ากู้หมิงฉือคนนี้มีความบาดหมางอะไรกับเถาหยาง แต่เขาก็ยินดีอย่างมากที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น
เขาเพิ่มน้ำมันในเชื้อเพลิง และเล่าเรื่องวิธีการที่เถาหยางลักพาตัวพ่อของเขา ทั้งยังบอกอีกว่าเถาหยางได้รับพรสวรรค์จากพ่อของตนเอง ไม่รักษาคำพูด ไม่ให้อีกสามโควตากับเขา และกักขังหน่วงเหนี่ยวพ่อของเขาเอาไว้
ในเวลานี้ ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศคุกรุ่น เต็มไปด้วยความโกรธที่มีต่อเถาหยาง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและดวงตาสีอำพันอันลุ่มลึกของเขาก็เผยออกมาอย่างน่ากลัวภายใต้แว่นกรอบสีเงิน
……
เนื่องจากอาคารสำนักงานสร้างเสร็จแล้ว ในคืนนั้นซูเถาจึงนอนหลับอย่างมีความสุขบนโซฟาที่ชั้นหนึ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น และมีเสียงตื่นเต้นของจวงหว่านดังมา
“ซูเถา เธออยู่ไหน? ฉันเห็นตึกเล็ก ๆ สร้างอยู่หน้าตึกพักของเรา เป็นอาคารสำนักงานหรือเปล่า? สวรรค์! ฉันเห็นโต๊ะ เก้าอี้ และคอมพิวเตอร์จากหน้าต่างบนชั้นสองที่สูงจากพื้นจรดเพดาน”
ซูเถายิ้ม “ใช่ค่ะ เป็นอาคารสำนักงาน รีบเก็บเอกสารของพี่มาเร็วเข้า แล้วอย่าลืมเรียกให้เสี่ยวพ่านพาผู้อาวุโสเหม่ยมาด้วย”
“ได้ ๆ เธอนี่สุดยอดไปเลย ผู้อาวุโสเหม่ยต้องแปลกใจมากแน่ เครื่องมือและภาพวาดของเขาที่วางเกลื่อนเต็มโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น ตอนนี้จะมีที่วางแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จวงหว่านและอีกสองคนก็ปรากฏตัวที่หน้าอาคารสำนักงาน ซูเถารีบเชิญพวกเขาเข้าไป ให้ผู้อาวุโสเหม่ยและจวงหว่านลงทะเบียนลายนิ้วมือ เพื่อให้พวกเขาสะดวกต่อการเข้าออก
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาเห็นห้องนั่งเล่นกว้างขวางก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจวงหว่าน ที่เดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น “ต่อไปผู้เช่ารายใหม่มา ฉันจะได้นัดมาอบรมที่นี่ ทั้งกว้างขวางและเหมาะสมดีมาก”
จากนั้นก็เดินผ่านบันไดเวียนมาถึงชั้นสอง นั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกาย
“ตอนที่พ่อฉันยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกฉันว่าคนก่อนวันสิ้นโลกตอนทำงานจะมีโต๊ะทำงานของตัวเอง และมีคอมพิวเตอร์ด้วย ตอนนี้พวกเราเทียบเท่ากับยุคก่อนวันสิ้นโลกได้แล้ว หน้าต่างนี่ก็ใหญ่มาก แถมยังมองเห็นโรงอาหารจากตรงนี้ได้อีก”
ผู้อาวุโสเหม่ยเลื่อนรถเข็นไปแตะชั้นวางหนังสือ จมดิ่งอยู่ในความทรงจำ และเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีปลงตก
“ใช่ สำนักงานที่ฉันกับเจี้ยนอี้ทำในมหาวิทยาลัยก็มีลักษณะคล้าย ๆ อย่างนี้ แต่ด้านหลังของตึกสำนักงานยังมีห้องโถงนิทรรศการด้วย มีการจัดแสดงผลงานแบบจำลองทั้งหมดของนักศึกษา ในยามบ่ายช่วงพักฉันกับนักศึกษาจะนั่งที่ชั้นล่างของโถงนิทรรศการ จิบน้ำชาและพูดคุยกัน…”
ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นพวกเราก็ทำโถงนิทรรศการสักที่ ถ่ายภาพขั้นตอนการสร้างและพัฒนาการของเถาหยางออกมาเป็นภาพ ติดกระดานเขียนข้อความไว้ให้ทุกคนสามารถมาเขียนความเห็นที่มีต่อเถาหยางได้ หรือไม่ก็เขียนประสบการณ์การใช้ชีวิต”
ผู้อาวุโสเหม่ยหัวเราะเสียงดังลั่น “ดี ๆ เพิ่มที่นั่งด้วย หรือถ้าทำได้ก็วางชั้นหนังสืออีกตู้ ถ้ามีเวลาฉันจะเขียนหนังสือสักเล่มที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเถาหยาง อ่อใช่ ยังสามารถเอาสัญญาเช่าของเรารวมเล่มไว้ ถ่ายเอกสารหลาย ๆ ฉบับมาวางไว้ที่นี่”
“เรามีผู้เช่าที่ทำข่าวหนังสือพิมพ์ งั้นเราทำชั้นหนังสือเพิ่มและสร้างอารยธรรมทางจิตวิญญาณของเถาหยางขึ้นมาเอง”
ซูเถาและจวงหว่านรู้สึกว่าความคิดนี้ดีมาก ๆ ไม่เพียงสร้างเงื่อนไขทางวัตถุเท่านั้น แต่ยังสร้างเงื่อนไขทางจิตวิญญาณด้วย เถาหยาง ค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างเดียวดายจากหล่มของยุคก่อนวันสิ้นโลกมาทีละก้าว