แซเฟียร์ แร็กนารอส
ตัวเอกของฝ่ายมารในบทกวีแห่งผู้กล้า
บุตรชายของจอมมารมิตรกับราชินีองค์แรก เอียช่า แร็กนารอส
ทายาทจอมมารที่ทรงพลังที่สุด มากด้วยพลังแฝงที่หลับไหลภายในตัว เย็นชาและโหดเหี้ยม ผู้เปิดโปงความลับชาติกำเนิดของเคทลินในบทกวีแห่งผู้กล้า อันนำพาซึ่งสงครามล้างเผ่าพันธุ์ไลแคนโทรป
บทสรุปของสงครามในครั้งนั้นก็คือทั้งคริสต์ เคทลิน ราชินีเอเลน และแม่ทัพองครักษ์หลวงกาลาฮัด ทั้งสี่ถูกสังหาร รวมถึงเผ่าไลแคนโทรปที่สูญพันธุ์ไปจากโลกมาร
ในส่วนของทายาทตนอื่น
ทั้งหมดก็สูญเสียกำลังไปมาก ในขณะที่แซเฟียร์แทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย ทั้งที่เป็นผู้ริเริ่มสงคราม
แซเฟียร์ฆ่าเฟลิซีเพื่อแย่งชิงอัตสุภูติราตรี สังหารพี่ชายของนาง ผู้ได้รับกล่าวขานว่าเป็นเอลฟ์รัตติกาลที่เก่งกาจที่สุด
ชะตาของเจ้าหญิงอนาสทาเชีย เนคริออน และเจ้าชายวิคเตอร์ เนคริออน ก็ไม่ได้ต่างออกไป
แซเฟียร์ฆ่าล้างทายาททั้งหมดด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่มีทีท่าแสดงความนอบน้อมแม้แต่กับพี่ชายเลือดแท้อย่างเจ้าชายไบคาล แร็กนารอส
บรรดาลูกของนางกำนัลก็ไม่รอดพ้น กระทั้งพวกที่ติดตามแซเฟียร์เองก็ด้วย ไม่มีผู้ใดที่มีสายเลือดจอมมารเหลือรอด กระทั้งฉัตรที่หลบหนีซ่อนตัว ก็ไม่พ้นถูกตามล่าฆ่าทิ้งในที่สุด
ความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันล้างบางสร้างความกระทบกระเทือนให้กับจอมมารมิตรอย่างมาก
หลังจากสังหารทายาททั้งหมดจนเหลือรอดเป็นผู้เดียวที่สืบสายเลือดจอมมาร
แซเฟียร์ก็เข้ายึดราชบัลลังค์ สังหารเหล่าขุนนางที่ต่อต้าน แล้วรวมกองทัพเข้าบุกโลกมนุษย์
แซเฟียร์ แร็กนารอส
จอมมารที่ทรงพลัง และชั่วร้ายที่สุดของโลกมาร
นี่คือสาเหตุที่อินกองตั้งมั่นฝึกตนให้แข็งแกร่ง สาเหตุที่ทำให้เขาพยายามสร้างอิทธิพลทางการเมือง
เพื่อช่วยให้คริสต์ เคทลิน เฟลิซี และกระทั้งตัวเขาเองให้มีชีวิตรอด เขาต้องหาทางหยุดยั้งวันล้างบางเอาไว้ให้ได้
‘แซเฟียร์’
เพียงแค่คิดว่าจะต้องพบและยืนใกล้อสูรร้ายตนนี้ในที่ประชุมสภา…
อินกองก็หายใจติดขัด กล้ามเนื้อเกร็งไปทั่วร่าง ทั้งที่ความจริงจริง เขายังไม่ได้พบกับแซเฟียร์เสียด้วยซ้ำ
“ฉัตร?”
มีเสียงทักดังขึ้น แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรไป
“นี่ฉัตร เธอไม่สบายหรือเปล่า?”
ใบหน้าของเฟลิซีโผล่มาตรงหน้าเขา กรีนวินด์ส่งเสียงออกมาอย่างเป็นห่วง
‘นายท่านเหงื่อแตกออกมาก นายท่านไม่สบายตรงไหนหรือ?’
“อ่า ครับ ผมรู้สึกมึนๆนิดหน่อย”
อินกองตอบทั้งเฟลิซีและกรีนวินด์ เฟลิซีมองมาที่เขาอย่างลังเลก่อนจะพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้จะมีจัดประชุมสภา กระทันหันเหมือนครั้งที่แล้วเลยนะ ว่ามั้ย?”
ไม่มีเวลาให้อินกองตั้งตัวเฉกเช่นการประชุมสภาที่ผ่านมา
‘หวังว่าประชุมเสร็จ เราคงไม่โดนส่งไปทำภารกิจต่อแบบครั้งที่แล้วหรอกนะ?’
อินกองหัวเราะให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมา เฟลิซีเข้าใจเสียงหัวเราะของเขาในอีกความหมาย ก่อนนางจะตบไหล่เขาเบาเบา
“เอาละ กลับไปพักผ่อนซะ แล้วตอนเย็นฉันจะแวะไปหา ครั้งนี้เธอก็ต้องเตรียมตัวอีกเหมือนเดิม ว่ามั้ย?”
เฟลิซียักคิ้วให้กับเขาหลังพูดเสร็จ
“นูนะก็อย่าลืมพักผ่อนเหมือนกันครับ”
“แน่นอน”
เฟลิซีตีไหล่เขา ก่อนจะหันไปอีกทาง แอนนาที่มองเหตุการณ์อยู่ยิ้มแล้วพูดออกมา
“ออนนี่ดูเป็นกันเองจังเลย”
แอนนา เบียริ่ง และกุรปะ ต่างมีรอยยิ้มโผล่ขึ้นบนหน้า ทั้งหมดพยักหน้าก่อนหันมองเฟลิซีด้วยสีหน้าอันอบอุ่น แน่นอนว่าหูของแม่นางเอลฟ์รัตติกาลก็แดงระเรื่ออย่างเช่นเคย
‘นี่ก็บ่งบอกความสัมพันธ์ของพวกนี้ได้ระดับนึงละนะ’
การรวมตัวด้วยมิตรภาพที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นในเขตวังหลวง
อินกองเฝ้ามองคณะของเฟลิซีและดาฟเน่จากไป ก่อนจะขึ้นภาหนะของเขา เป็นรถเลื่อนของเอลฟ์รัตติกาล ที่ใช้เดรโก้แทนม้า
คารัคบอกจุดหมายให้เจ้าหน้าที่รถก่อนจะขึ้นมานั่งข้างอินกอง
“องค์ชาย แกไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“อืม อย่าห่วงเลย”
คารัคมองดูอินกองก่อนจะถามออกมาอย่างลังเล แต่นั่นไม่ใช่เพราะมันห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บ
มันกำลังเป็นห่วงตัวของมันเสียมากกว่า
“เอ่อ แล้วข้าต้องใส่ชุดประหลาดๆพวกนั้นเหมือนคราวที่แล้วด้วยเปล่า?”
ภาพคารัคในชุดสูทพ่อบ้านผุดขึ้นในหัวของอินกอง นั่นทำให้เขาผ่อนคลายจากความกังวลเกี่ยวกับแซเฟียร์แล้วยิ้มออกมา
“ถ้านายไม่สะดวก งั้นให้กัมมะไปแทนก็ได้นะ”
เจ้าออร์คนั่งเงียบ คิดหนักระหว่างยอมใส่ชุดสูทหรือว่าสละตำแหน่งให้กัมมะ
“ใต้ ใต้ฝ่าพระบาทตรัสอะไรเช่นนั้น?”
‘แล้วข้าละนายท่าน? ข้าอยากติดตามท่านไปทุกที่’
อินกองหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินสิ่งที่กรีนวินด์พูด แม้เขายังไม่มีนาตาช่าหรือเซคตัมติดตาม แต่สมาชิกเหล่านี้ก็ไม่เลวเสียทีเดียว
&
ในชั่วขณะต่อมา…
“เกร็งสุดๆ”
“งั้นหรือ? ผมก็ไม่ต่างกัน”
“เวลา… ข้าแค่ต้องใช้เวลา… ”
เป็นสภาพที่ไม่ต่างจากในการประชุมสภาครั้งแรก
คารัคไม่กล้าไม่แต่จะย่อตัว ด้วยความกลัวว่านั่นอาจทำให้ชุดของมันมีรอยยับ
“จะว่าไป เหมือนองค์ชายบอกว่าเรามีสมาชิกอีกหนึ่ง?”
มีทายาทจอมมารสามตนเข้าร่วมการประชุมสภาในครั้งนี้ แม้พวกเขาจะรอในห้องรับรองมาสักพัก แต่ในขณะนี้ก็มีเพียงฉัตร กับเฟลิซีเท่านั้น
เดเลียตอบออกมาอย่างใจเย็น นางยอมจำนนต่อความไร้มารยาทของเจ้าออร์คในที่สุด เช่นเดียวกับเซร่า
“ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินว่าองค์ชายแซเฟียร์จะทรงเสด็จเข้าที่ประชุมโดยไม่พำนักในท้องพระโรงเพคะ“
“อย่างนั้นแหละ แซเฟียร์อปป้าพิเศษในหลายๆด้าน”
เฟลิซีพึมพัมออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะเรียกแซเฟียร์ว่าอปป้า แต่เหมือนทั้งคู่จะไม่ถูกโฉลกกันสักเท่าไร
เฟลิซีแต่งตัวในชุดเปลือยหลังสีแดง นางมองดูนาฬิกาในห้อง เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้นก่อนพวกเขาจะเข้าที่ประชุม
เฟลิซีสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะหันมาจับบ่าทั้งสองของอินกอง
“ถึงแซเฟียร์อปป้าจะอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ก็เทียบไม่ได้กับความดีความชอบของเธอในคราวนี้ ได้เวลาแสดงให้พวกนั้นเห็นแล้วว่าเธอเจ๋งแค่ไหน”
คำพูดลักษณะเดียวกับที่เขาได้ยินในการประชุมสภาครั้งแรก ต่างที่ว่าผู้ที่กล่าวในคราวนี้เป็นเฟลิซี ไม่ใช่คริสต์ นั่นทำให้อินกองหัวเราะแซวออกมา
“อ่าว คริสต์ฮยองกลับมาแล้วหรือครับ?”
“ก็แค่นิดหน่อยนะ”
เฟลิซียักคิ้วอย่างร่าเริง ก่อนประตูสู่ที่ประชุมจะถูกเปิดออกจากอีกฝั่งโดยเหล่าบริวาร
“กราบเชิญองค์หญิงลำดับหกและองค์ชายลำดับเก้าพระพุทธเจ้าข้า/เพคะ”
แล้วเวลานี้ก็มาถึง เฟลิซีจ้องมองอินกอง ก่อนทั้งคู่จะผงกหัวรับเดินเข้าที่ประชุม
&
ที่ประชุมมีเหล่าขุนนางจำนวนมากนั่งอยู่รายล้อมเช่นเคย สิ่งที่ต่างจากเดิมก็คือแววตา
สายตาจำนวนมากจ้องมาที่ฉัตร แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่มองอย่างยินดี แต่นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉัตรเป็นที่จับตามองของขุนนางเหล่านี้
อินกองก้าวเข้าไปยืนยังตำแหน่งของเขา เขาวางมาดตีหน้าขรึมเช่นเดียวกับเฟลิซี เขามองไปรอบตัวก่อนจะหยุดอยู่ที่บุคคลหนึ่ง
‘อนาสทาเชีย’
เจ้าหญิงลำดับที่สี่อนาสทาเชีย เนคริออน ผู้นำของหนึ่งในสามขั้วอำนาจวังหลวง
อินกองจ้องมองนาง เส้มผมตรงยาวสีเทาออกเงินเป็นประกาย นางจัดเป็นหญิงงามในลักษณะที่ต่างไปจากเฟลิซี
สงบนิ่ง อ่อนโยน ทว่าเย้ายวน
อินกองมองนางอยู่ไม่นานก่อนจะคุกเข่าลง
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“องค์ชายลำดับที่สองแซเฟียร์ แร็กนารอส เสด็จมาถึงแล้วพระพุทธเจ้าข้า/เพคะ”
ประตูเปิดพร้อมเสียงฝีเท้าย่างก้าวเข้ามา อินกองรับรู้ได้โดยไม่ต้องเหลียวหลังไปมอง สายตาเหล่าขุนนางจดจ้องในทุกฝีก้าวที่แซเฟียร์ย่างเดิน
แล้วเสียงฝีก้าวก็หยุดลงพร้อมกับเสียงคุกเข่าของแซเฟียร์
หากเอื้อมมื้อออกไปในตอนนี้ เขาสามารถแตะตัวแซเฟียร์ได้ไม่ยาก
“ข้าจะกล่าวรายงานความดีความชอบของเหล่าทายาท”
เสียงของอิซเบลดังขึ้นท่ามกลางที่ประชุม
“เจ้าชายลำดับที่สองแซเฟียร์ แร็กนารอส”
แซเฟียร์ยืนขึ้นในทันทีที่ถูกขานชื่อ เขาอยู่ถัดไปจากอินกอง ห่างออกไปไม่มาก แต่ก็ยังอยู่นอกระยะมองเห็น
อิซเบลอ่านรายละเอียดความดีความชอบทั้งหมดของแซเฟียร์
แน่นอนว่าทั้งหมดน่าทึ่งมาก เพียงความดีความชอบของแซเฟียร์แต่ผู้เดียว ก็เกินพอที่จะเรียกจัดประชุมสภาได้
จากนั้นอิซเบลก็เรียกเฟลิซีและอินกองต่อตามลำดับ เนื่องจากข่าวลือเกี่ยวกับผลงานของอินกองในครั้งนี่ได้กระจายไปบ้างแล้ว ทำให้สายตาส่วนใหญ่ไม่แปลกใจมากนัก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกมองข้าม ความดีความชอบของอินกองถูกจำแนกพิเศษออกไป โดยเฉพาะรายงานเกี่ยวกับขอบชายแดนทางทิศเหนือ เรียกความสนใจจากเหล่าขุนนางได้เป็นอย่างดี
หลังจากรายงานทั้งหมดถูกอ่านเป็นที่เรียบร้อย อิซเบลข่มความตื่นเต้นเอาไว้ ราวกับรอคอยบางสิ่ง หรือบางเสียง
“ฉัตร”
จอมมารมิตรขานชื่อของเจ้าชายลำดับที่เก้าออกมา ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วที่ประชุมอีกครั้ง
ทั้งหมดต่างจดจ่อรอฟังข้อความ ข้อความที่สร้างความประหลาดใจมากกว่าเดิม
“เจ้าได้รับภารกิจ”
จอมมารไม่กล่าวอะไรไปมากกว่านี้ เขาหันไปจ้องอิซเบล ก่อนนางจะกลืนน้ำลายแล้วอ่านรายละเอียดออกมา
“คณะสำรวจที่ยี่สิบเจ็ด ซึ่งนำโดยแม่ทัพกาซบาล ได้ล้มเหลวในการเข้ายึดปราสาทธันเดอร์ดูมของอาณาจักรดวอฟ เจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา จงรวบรวมกำลังพล กำจัดอุปสรรคทั้งหมด แล้วเข้ายึดธันเดอร์ดูม”
เสียงร้องแตกตื่นดังขึ้นอย่างเงียบสงบ ไม่สิ ถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่มีเสียงร้องดังรอบที่ประชุม ทำลายความเงียบจากการที่จอมมารขานชื่อของฉัตรลงในพริบตา
นั่นก็เพราะรายละเอียดของภารกิจในครั้งนี้
แม่ทัพกาซบาลเป็นเผ่ามังกร ส่วนปราสาทธันเดอร์ดูม เป็นสถานที่สำคัญของซากอาณาจักรดวอฟที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นาน
เพราะเป็นภารกิจที่แม่ทัพเผ่ามังกรล้มเหลว จึงเป็นธรรมดาที่ภารกิจจะถูกส่งมอบต่อให้เจ้าชายจากเผ่ามังกร มีข่าวลือว่าแซเฟียร์ถูกเรียกตัวกลับวังก็เพื่อรับภารกิจนี้
แต่กลับกลายเป็นว่า ภารกิจนี้ถูกส่งมอบต่อให้เจ้าชายฉัตร ยิ่งไปกว่านั้น จอมมารมิตรยังเป็นผู้ส่งมอบภารกิจด้วยตนเอง
เฟลิซีหน้าซีด นางยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้ตนเองร้องอุทานออกมา อานาสทาเชียนัยน์ตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สายตาขุนนางหันไปทางจอมมารด้วยความฉงน
ทว่า สายตาจอมมารจดจ้องอย่างสงบมาที่ฉัตรเท่านั้น แม้แววตาคู่นั้นจะไม่ได้กดดันเหมือนอย่างคราวที่แล้ว แต่อินกองก็ยังรู้สึกหนักอึ้ง
และอินกองก็รับรู้ถึงอีกหนึ่งสายตาที่จดจ้องมาที่เขา…
สายตาของแซเฟียร์ แร็กนารอส