ตอนที่ 297 – หญ้าหอมสวรรค์

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 297 – หญ้าหอมสวรรค์

“ไม่ได้หมายความว่าอะไร” เนี่ยอู๋ชางลุกขึ้นยืน ใส่ถุงมือ ใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้าเทียบสหายเต๋าโม่ไม่ได้ นอกจากกำลังกายนี้แล้ว อย่างอื่นไร้ความเชี่ยวชาญ จะออกไปได้อย่างไรก็ฟังสหายเต๋าทั้งสองเถิด”

“……” จิ่งสิงจื่อนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเก็บกระบี่คืนฝัก นั่งกลับลงไปใหม่ “ข้ามีอยู่หนทางหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าสหายเต๋าทั้งสองเต็มใจจะลองดูหรือไม่”

สายตาของโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางหันไปที่ร่างของเขาทันที

จิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “หนทางนี้พูดไปแล้วเรียบง่าย แต่ต้องเสี่ยงภัยระดับหนึ่ง”

โม่เทียนเกอจึงเอ่ยว่า “พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่ เมื่อครู่นี้โชคดี หากพบเจออสุรมารอะไรที่ยากตอแยอีกยังจะสามารถไปถึงที่ไหนได้ดี ๆ อีกหรือ สหายเต๋าจิ่งหากมีหนทางอะไรมิสู้พูดมาตรง ๆ”

เนี่ยอู๋ชางก็พยักหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้คัดค้าน

จิ่งสิงจื่อจึงยิ้มแย้ม ยกมือชี้นิ้วขึ้นไปเหนือศีรษะ “ในเมื่อพวกเราไม่อาจจำแนกทิศทาง มิสู่บินขึ้นไป หมอกหนานี่จะต้องมีจุดสิ้นสุดจริงหรือไม่”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนตะลึงไปทั้งสองคน โม่เทียนเกอใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า สหายเต๋าจิ่ง ด้านบนของซากโบราณสถานเหล่าเซียนนี้มีปราณเซียน พวกเรามิได้มีร่างแห่งมนุษย์เซียน รับปราณเซียนนี้ไม่ได้เลย หากไปกระทบถูกเข้าจะทำอย่างไร”

จิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “นี่ก็คือภัยที่ข้าพูด ปราณเซียนเหล่านี้เดิมก็ไม่สมควรดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นปราณเซียนมีคุณสมบัติขับไล่สิ่งของต่าง ๆ มากมาย สำหรับหมอกหนานี้ก็ต้องเป็นเช่นกัน ข้ากล้ายืนยันว่าในระหว่างหมอกหนากับปราณเซียนจะมีช่องว่าง ถ้าหากว่าโชคดี พวกเราจะสามารถผ่านช่องว่างนี้ออกไปได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์”

โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนตกอยู่ในห้วงภวังค์

เหตุที่ตอนเริ่มแรกตัดหนทางนี้ออกไปเป็นเพราะว่าที่ว่างเหนือซากโบราณสถานเหล่าเซียนมีการคงอยู่ของปราณเซียน พลังอำนาจอันกล้าแกร่งในปราณเซียนสำหรับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกเซียนค่อนข้างจะน่ากลัว แต่สิ่งที่จิ่งสิงจื่อพูดก็มิใช่ไร้เหตุผล พวกเขาติดอยู่ในหมอกหนาเช่นนี้ล้วนทราบกันว่าจะทนอยู่ได้นานเท่าไหร่ หนูลายทองฝูงนั้นเมื่อครู่นี้ล้วนอยู่ต่ำกว่าขั้นห้าก็จัดการได้ยากเย็นอย่างนั้นแล้ว หากพบกับอสูรมารขั้นห้าขึ้นไปแล้วควรจะทำเยี่ยงไร มิสู้ลองเสี่ยวดวง ไม่แน่ว่าจะสามารถออกไปได้จริง ๆ

“ตกลง” โม่เทียนเกอตัดสินใจ “หนทางนี้ของสหายเต่าจิ่งข้ารู้สึกว่าทำได้”

เนี่ยอู๋ชางก็พยักหน้า เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสในสำนักอาจารย์ของสหายเต๋าทั้งสองอยู่ใกล้เคียงหรือไม่”

โม่เทียนเกอและจิ่งสิงจื่อสบตากัน จิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “สหายเต๋าเนี่ยหมายความว่าให้เรียกพวกเขาหรือ”

“มิผิด” เนี่ยอู๋ชางกวาดสายตาไปมาระหว่างพวกเขาสองคน เอ่ยว่า “แน่นอนว่าทั้งสองท่านก็สามารถคัดค้าน ไม่แน่ว่าผู้ที่มาก่อนจะเป็นอาจารย์ข้า ถึงเวลา……”

โม่เทียนเกอขยับดวงตา ไม่ได้พูดจา เนี่ยอู๋ชางพูดเช่นนี้ดูท่านางจะเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหรินจริง ๆ อีกทั้งซงเฟิงซ่างเหรินก็มาที่ภูเขามารแล้ว

นี่ไม่ใช่ข่าวดีอะไรเลย ซงเฟิงซ่างเหรินถึงจะประพฤติตนย่ำแย่ แต่ความแข็งแกร่งกลับไม่เป็นที่กังขาสักนิด อีกทั้งมีความแค้นกับทั้งประมุขเต๋าจิ้งเหอและฉินซี ยังไม่เอ่ยถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอ ฉินซีก็อยู่ในหมอกหนาหย่อมนี้ หากถูกซงเฟิงซ่างเหรินพบเจอจะต้องยากจะรักษาชีวิตเอาไว้

โม่เทียนเกอคิดถึงตรงนี้ มองจิ่งสิงจื่อคราหนึ่ง

จิ่งสิงจื่อคล้ายกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นการเหลือบแลของนาง ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “นี่มิใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าในหมอกหนานี้ไม่อาจใช้เครื่องรางสื่อสาร ไม่รู้ว่าด้านบนจะได้หรือไม่”

เนี่ยอู๋ชางได้ฟังคำพูดนี้แล้วจึงพยักหน้า “วาจานี้ของสหายเต๋าจิ่งมีเหตุผลอยู่บ้าง ช่างเถอะ เครื่องรางสื่อสารพันลี้มีไม่มาก พวกเรายืนยันว่าสามารถออกไปได้แล้วค่อยว่ากันเถอะ”

โม่เทียนเกอโล่งอก นางกังวลจริง ๆ ว่าซงเฟิงซ่างเหรินจะมาหา

ทั้งสามคนพูดแล้วก็ทำเลย ก่อนอื่นพวกเขาต้องเสาะหาตำแหน่งอันเหมาะสมที่จะบินขึ้นไปแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานถึงจะสามารถบินชึ้นสูงกลางอากาศ แต่หมอกหนาที่นี่ลึกลับพิสดาร ยังคงระมัดระวังไว้หน่อยจึงจะดี อันดับต่อมา อาวุธเวท, เครื่องรางป้องกันล้วนต้องเตรียมให้พร้อมเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน สุดท้าย ทั้งสามคนตกอยู่ในห้วงคับขันด้วยกันแต่มิได้รวมใจเป็นหนึ่ง จะต้องป้องกันคนอื่นสักหน่อย

สำหรับสองคนนี้ โม่เทียนเกอไม่กล้าไว้ใจสักคน เนี่ยอู๋ชางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน จิ่งสิงจื่อเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก ไม่ว่าจะคนไหนล้วนไม่สามารถเชื่อถืออย่างเต็มที่ เผอิญว่าในสามคน ความแข็งแกร่งของนางอ่อนด้อยที่สุด ดังนี้จำต้องระมัดระวังทุก ๆ ประการ

ผ่านไปพักหนึ่ง ทั้งสามคนในที่สุด็เสาะพบสถานที่อันเหมาะสมที่จะบินขึ้นไปแห่งหนึ่ง

นี่ก็น่าจะเป็นเศษซากของเวทต่อสู้เซียและมารโบราณกาล ผาหินอันเป็นระเบียบถูกตัดจนเรียบเสมอกัน เปิดเผยเนื้อในของหินอันเป็นสีเขียวเทาน่าพรันพรึง ผ่านการกัดเซาะของลมมาหลายล้านปี มิได้มีขอบมุมอันแหลมคมอีกแล้ว แต่กลับยังคงหลงเหลือรูปลักษณ์ที่พิลึกพิลั่นเอาไว้

จิ่งสิงจื่อบินขึ้นไปหลายสิบจ้าง มองดูสถานการณ์ ลงมากล่าวว่า “เอาที่นี่เถอะ ดูแล้วไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด”

โม่เทียนเกอก็ขึ้นไปดูเอง ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด พยักหน้าเห็นพ้อง กลับเป็นเนี่ยอู๋ชางที่ท่าทางไม่อินังขังขอบ ไม่เคยจะไปดูให้ละเอียดเลย

จากนั้นทั้งสามคนต่างคนต่างนั่งสมาธิพักผ่อน เตรียมอาวุธเวท เครื่องราง และสิ่งของอื่น ๆ

ครึ่งวันให้หลัง จิ่งสิงจื่อถามขึ้นก่อนว่า “สหายเต๋าทั้งสองเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่” เขาคนนี้ถ้ามีใจจะเกี้ยวพาจะเรียกกูเหนียง ณ ตอนนี้เรียกพวกนางสองคนว่าสหายเต๋า เห็นได้ว่าระงับจิตใจลงไปแล้ว

โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนพยัหหน้า เนี่ยอู๋ชางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เดิมก็ไม่มีอะไรให้เตรียม โม่เทียนเกอระมัดระวังรอบคอบเสมอมา สิ่งของบนตัวจัดเก็บเอาไว้ในที่ที่คว้ามาได้โดยสะดวกที่สุดแต่แรกแล้ว

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เริ่มเลยเถิด”

“เดี๋ยว” เสียงของเนี่ยอู๋ชางดังขึ้นมา “พวกเราสามคนขึ้นไปด้วยกันเลยหรือ เหลือทิ้งไว้คนหนึ่งภายนอกจะสอดรับกันได้สะดวกหรือไม่”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว จิ่งสิงจื่อยิ้มขึ้นมา “พวกเราสามคน ใครที่ทิ้งไว้ด้านล่างแล้วจะสามารถทำให้คนวางใจ?”

“……” เนี่ยอู๋ชางและโม่เทียนเกอล้วนไร้คำพูด ตามนั้น เรื่องอย่างการทิ้งไว้สอดรับไม่ได้จำเป็นเลย หากเผชิญกับเรื่องราวด้านบนจริง ๆ ก็ได้แต่ถือว่าพวกเขาโชคร้ายแล้ว

ทั้งสามคนหยิบเอาอาวุธเวทบินของแต่ละคนออกมาเงียบ ๆ เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณคุ้มครองร่าง เริ่มต้นบินขึ้นไป

กระบวนการนี้ช้ามาก คล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่ปีนยอดเขาว่านเริ่นก่อนหน้านี้ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะพบเจอคือปราณเซียนแทนที่จะเป็นปราณมาร ต้องหลบเลี่ยงอย่างจริงจังตั้งใจเช่นเดียวกัน หรือต้องใช้พลังวิญญาณคุ้มครองร่างปกคลุม

ทั้งสามคนยิ่งบินยิ่งสูง ยิ่งมายิ่งอยู่ไกลจากพื้นดิน โม่เทียนเกอก้มหน้ามอง ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกว่าสภาพจิตใจไม่มั่นคงอยู่บ้างเสมอเลย

นางในวันนี้เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว สัมผัสถึงลิขิตสวรรค์แข็งแกร่งกว่าแต่เดิมมากนัก นี่มิใช่ลางดีจริง ๆ นางมองจิ่งสิงจื่อ พบว่าจิ่งสิงจื่อก็กำลังมองมาทางนางพอดี ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเช่นเดียวกัน นางจิตใจสั่นไหว กำลังอยากจะส่งเสียงลับถามสักคำ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าข้อเท้าแน่นตึง ถูกคนฉุดดึงลงไป

นางไม่มีเวลาคิดมากนัก กระบี่บินลอยออกมาจากในแขนเสื้อฟันฉับปลดปล่อยข้อเท้า และในเวลาเดียวกันก็ก้มหน้าลงมอง

มองครั้งนี้กลับทำให้ตะลึงงันครั้งใหญ่ เดิมทีนึกว่าเป็นใครในสองคนนี้ลอบโจมตีตนเอง แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นมือที่ยื่นออกมาจากในกำแพงหิน!

ท่องอยู่ในโลกฝึกเซียนมานานปี โม่เทียนเกอกลับพบพานเหตุการณ์ที่พิสดารอย่างนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะด้านชา ตกใจเสียจนเกือบจะฟันข้อเท้าของตนเองไปแล้ว

ในช่วงเวลาเพียงประกายไฟวูบขึ้น จิ่งสิงจื่อคว้าจับมือของนาง กระบี่บินฟันลงไป กระบี่บินของเขาเป็นอาวุธเวทโบราณกาลซึ่งเทียบได้กับกระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซี ภายใต้การฟันนี้ มือศิลานั้นถูกฟันจนขาด หลังจากถูกฟันขาด ศิลาเหล่านี้คล้ายกับว่าจะสูญเสียพลังชีวิตไป พากันร่วงลงไป

โม่เทียนเกอยังไม่ทันถอนหายใจโล่งอก ด้านเนี่ยอู๋ชางร้องออกมาเบา ๆ ถูกมือศิลาพัวพันเข้าเหมือนกัน

ทันใดนั้น หน้าผาที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่ยื่นเหยียดมือศิลาออกมานับไม่ถ้วน ตรงมาคว้าจับพวกเขา

ทั้งสามคนสู้กับมือศิลาเหล่านี้ขึ้นมา

จิ่งสิงจื่อยังดี กระบี่บินของเขาค่อนข้างแหลมคม ศิลาเหล่านี้รับการฟันของเขาไม่ได้เลย เนี่ยอู๋ชางลำบากหน่อย ถุงมือของนางมีหนามแหลม หากเป็นสิ่งอื่นต้องทนกำปั้นของนางไม่ได้ เผอิญว่าศิลาเหล่านี้ไม่ได้กลัวหนามแหลมเลย นางต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากกว่าปกติจึงสามารถทุบศิลาเหล่านี้ให้แตกได้

โม่เทียนเกอแทบไม่ต่างจากเนี่ยอู๋ชาง อาวุธเวทโจมตีบนตัวนางเดิมก็มีไม่มาก ขวดหยกธาตุน้ำและตราประทับธาตุดินนั้นไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้าเลย กระบี่บินที่เหลืออยู่อย่างเดียวก็ไม่อาจเทียบกับจิ่งสิงจื่อ ฟันอย่างกินแรงถึงสิบส่วน

เมื่อพบว่าตนเองใช้กระบี่บินเผาผลาญพลังวิญญาณไปเร็วมาก โม่เทียนเกอหยุดลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยเสี่ยวหั่วออกมาจากในกระเป๋าสัตว์วิญญาณ ให้มันยืนอยู่บนบ่าของตนเอง ใช้ไฟแท้ไท่หยางเผามือศิลาเหล่านี้ สุดท้ายจึงนับได้ว่าผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

ทั้งสามคนสู้กันไปรอบหนึ่ง ในที่สุดหลบหนีออกมาจากการพัวพันของมือศิลา บินออกไประยะทางหนึ่งจึงหยุดลง ไม่กล้าเข้าใกล้อีก

ทั้งสามคนสบตากันหลายครั้ง โม่เทียนเกอถามว่า “สหายเต๋าทั้งสอง นี่สรุปว่าเป็นสิ่งของใด”

เนี่ยอู๋ชางสั่นศีรษะด้วยสีหน้าซีดขาว ถึงความแข็งแกร่งของนางจะไม่อ่อนแอ แต่ศิลาอันพิสดารนี้แข็งไร้ที่เปรียบ กดนางจนอยู่หมัด ขณะนี้สู้จนอเนจอนาถอยู่บ้าง “ข้าไม่เคยพบเจอสิ่งของที่พิสดารเยี่ยงนี้เลย ก้อนหินจะเป็นดั่งสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร”

จิ่งสิงจื่อโบกมือ แสงกระบี่โอบล้อมร่างตนเอง เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ว่าในภูเขามารนี้สิ่งของพิสดารอะไรล้วนไม่แปลกประหลาด”

ใต้หล้ากว้างใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ อย่าว่าแต่ภูเขามารอันเป็นสถานที่แปลกประหลาดนี้เลย? สภาพแวดล้อมที่นี่ต่างจากโลกมนุษย์ บางที่กฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์คงไม่สามารถใช้การได้ที่นี่

ทั้งสามคนเงียบงันไปช่วงหนึ่ง สุดท้ายเนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “ช่างเถอะ มิใช่เวลาจะมาสืบเสาะเรื่องนี้ ในเมื่อบินมาถึงที่นี่ พวกเราไปต่อเถิด”

โม่เทียนเกอพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าไม่มีความเห็น สหายเต๋าจิ่งเล่า”

“อืม” จิ่งสิงจื่อตอบรับคำหนึ่ง เทียบกันแล้ว เขาสบายที่สุด ถึงจะผ่านการต่อสู้มาแต่แทบจะไม่ได้เสียพลังวิญญาณเลย

หลังจากผ่านการโจมตีของมือศิลา ทั้งสามคนยิ่งเพิ่มระมัดระวัง บินสูงกลางอากาศอันเต็มไปด้วยวายุทิพย์กำแพงอาคมและปราณเซียน ไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยเลย

บินขึ้นไปได้อีกช่วงหนึ่ง หน้าผาที่พวกเขาเพิ่งจะปีนป่ายขึ้นมาสิ้นสุดลงแล้ว โม่เทียนเกอมองไปทีหนึ่ง ถึงกับพบว่าบนยอดเขานั้นเติบโตไว้ด้วยดอกไม้ใบหญ้าสีชมพูทรงกลมมากมาย ดูแล้วคุ้นตาถึงสิบส่วน

นางมองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ร้อง “เอ๋” ออกมา ชี้ไปที่ดอกกลม ๆ สีชมพูเหล่านั้น “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านดู นั่นเป็นดอกหอมสวรรค์ที่จะงอกถั่วหอมสวรรค์ออกมาหรือไม่”

เนี่ยอู๋ชางเพียงกวาดมองทีหนึ่งแล้วละสายตาไปอย่างไม่สนใจ “ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าวิญญาณเลย จดจำไม่ออก”

จิ่งสิงจื่อมองนางด้วยแววตาประหลาด ๆ แล้วจึงพยักหน้า “คาดว่าคงจะใช่ หญ้าหอมสวรรค์ที่ภูเขามารไม่ถือว่าหายากมาก ข้าเคยได้ยินคนพูดถึง ดูคล้ายมากจริง ๆ”

เมื่อได้ยินคำยืนยัน โม่เทียนเกอลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายยังคงปล่อยวาง ช่างเถอะ เพิ่งประสบกับเรื่องเช่นนั้นมา นางไม่กล้าเสี่ยงอันตรายใด ๆ อีกแล้ว อย่างมากหลังจากออกไปซื้อถั่วหอมสวรรค์สักหน่อยก็พอ

………………………