ตอนที่ 51 ชี้หน้าก่นด่า ตอนที่ 52 ตั้งชื่อ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 51 ชี้หน้าก่นด่า

ออกจากบ้านไปเดี๋ยวเดียวก็พาเด็กน้อยกลับมาด้วย เล่นเสียซ่งจินซานสองพ่อลูกตระหนกตกใจ

“เด็กนี่รูปลักษณ์ขาวอมชมพูจ้ำม่ำน่าดู มองดูแล้วไม่เหมือนจะถูกคนอื่นเขาทอดทิ้งได้ลงคอกระมัง? ไว้เดี๋ยวเขากินอิ่มแล้วค่อยถามไถ่ให้ดีๆ เกิดเดินออกมาจากครอบครัวไหนด้วยตัวเองแล้วจะทำอย่างไร คนเขาไม่ร้อนใจแย่แล้วหรือ” ซ่งจินซานมองเด็กผู้นี้ ในใจรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย

บนร่างเด็กคนนี้สวมใส่เพียงตู้โตวหนึ่งชิ้น ตู้โตวนี้ไม่รู้เช่นกันว่าทำจากวัสดุอะไร เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งเด็กๆ ในหมู่บ้านพวกเขาตลอดทั้งวันไม่ปีนต้นไม้ก็กระโดดแม่น้ำเล่นกัน มองดูแล้วสมบุกสมบันอย่างยิ่ง ไม่เหมือนเด็กคนนี้ ท่อนแขนขาวจ้ำม่ำราวกับรากบัวก็ไม่ปาน ไร้ร่องรอยตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น

“ข้าไม่มีพ่อแม่…ท่านป้าอา ท่านอย่าส่งข้าออกไปนะขอรับ แง้ บนเขามีตัวดุร้าย มีเสือ น่ากลัวมากเลย หากข้ากลับไปก็ต้องตายแน่ๆ จะถูกคนเลวกินแน่เลยขอรับ!” โสมน้อยกอดท่อนแขนหร่วนซื่อไว้แน่นไม่ปล่อยมือ

ซ่งอิงขมวดคิ้ว ค้นพบว่าโสมน้อยนี่ฉลาดมากทีเดียว คงนำคำพูดที่นางเอ่ยก่อนหน้าจดจำได้ขึ้นใจแล้วสินะ

หารู้ไม่ ภูตโสมในเวลานี้สะอิดสะเอียดจะแย่อยู่แล้ว

เรื่องหนีเขาไม่กล้าหนีหรอก แสงทองของคนชั่วร้ายอานุภาพรุนแรงเกินไป หนำซ้ำเกิดเผาภูเขาขึ้นมาจริง ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็เป็นอันดับสูญกันพอดี!

“ไม่ไป ไม่ไป…” หร่วนซื่อใจอ่อนยวบ รีบเอ่ยพูดกับซ่งจินซานทันควัน “ตังเจีย เขาเด็กขนาดนี้ เราจะเอาเขาไปส่งไหนหรือ เอาเช่นนี้ดีกว่า รับเขาไว้ก่อน จะว่าไปเด็กเล็กคนหนึ่งก็กินข้าวได้ไม่กี่คำหรอก นี่หากบ้านใครทำเด็กหาย เช่นนั้นจะไม่ออกมาตามหาได้หรือ ระยะนี้เจ้ากับลูกสวินก็ลองถามไถ่ดูให้ทั่ว หากหาครอบครัวเขาเจอแล้วจริงๆ ค่อยส่งเขาไปก็ยังไม่สาย”

จะให้นำเด็กวัยสี่ห้าขวบไปปล่อยทิ้งตีนเขาก็คงไม่ได้กระมัง

“ข้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งเขาไปตอนนี้หรอก” ซ่งจินซานรีบกล่าวเสริมขึ้นทันควัน

ซ่งสวินมองซ่งอิงแวบหนึ่ง

ไม่รู้ทำไม เขามักรู้สึกว่าเด็กน้อยนี่คล้ายกลัวน้องสาวเขาอย่างยิ่ง

ซ่งอิงล้วงเงินบนตัวออกมาหนึ่งตำลึงเงิน ยื่นส่งไป “วันนี้ยามกลับมาจากตัวอำเภอค่อนข้างรีบร้อน เดิมทีอยากซื่อปิ่นสักด้ามให้ท่านแม่…เงินนี้ ท่านแม่เก็บเอาไว้นะเจ้าคะ ไว้คราวหน้าข้าค่อยซื้อให้ท่าน”

หร่วนซื่อเห็นก้อนเงินตำลึงก็ตระหนกตกใจ “ไยจึงมากมายขนาดนี้! วันนี้นำลวี่โต้วกั่วไปร้อยกว่าจินเช่นกันมิใช่หรือ!”

ซ่งสวินเบนหน้าหนี

ที่น้องสาวเขายังมีอีกสามตำลึงเงินแหนะ!

“วันนี้มีคนขายผลไม้ป่าจำนวนมาก แต่ลวี่โต้วกั่วของเจ้าอื่นล้วนไม่อร่อย ดังนั้นข้าจึงขึ้นราคาผลไม้เจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวคำลวง

“นี่มันไม่เหมาะสม เป็นเพียงผลไม้ป่าเท่านั้น แม้จะรดน้ำผสมยาก็ตาม แต่คนอื่นเขาไม่รู้ด้วย เราขายแพงขนาดนี้ ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย” ซ่งจินกล่าวขึ้นทันที

“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ทว่าลวี่โต้วกั่วนี่ข้าจะขายอีกห้าวันก็ไม่ขายแล้ว ตอนนี้ขายจินละสิบอีแปะก็ไม่ถือว่าเกินไป อีกทั้งคนจำนวนมากยามที่มาซื้อผลไม้ป่าต่างก็ต้องชิมรสกันก่อน หากรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าก็คงไม่ซื้อหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครา

โดยปกติซ่งจินซานจะไม่ค่อยตำหนิสั่งสอนบุตรสาวเท่าใด ยามนี้บุตรสาวจ้องมองเขาด้วยแววตาชวนน่าสงสาร เขาจึงกล่าวคำปฏิเสธไม่ออก

“เงินนี่ก็ให้แม่เจ้าเก็บเอาไว้แล้วกัน ไว้ใช้ยามจำเป็นในภายภาคหน้า” ซ่งจินซานกล่าว “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”

ซ่งอิงมองไป รับฟังซ่งจินซานกล่าวขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ เรื่องงานแต่งทางด้านครอบครัวหลี่เหมือนจะล้มเหลวเสียแล้ว ได้ยินเพียงว่าคนจากหมู่บ้านข้างๆ นั่นมาถามหลี่จิ้นเป่าว่าป่วยเป็นโรคอะไรที่ไม่ได้บอกใครจริงๆ ใช่หรือไม่…แม้ครอบครัวหลี่ไม่ยอมรับ แต่ครอบครัวนั้นก็ไม่เชื่อ เพื่อชีวิตครึ่งหลังที่เหลือของบุตรสาวครอบครัวตนเอง เกินกว่าครึ่งคงต้องล้มเลิกงานแต่ง และเมื่องานแต่งเป็นอันต้องล้มเลิก…เกรงว่าครอบครัวหลี่คงจงเกลียดจงชังครอบครัวเราน่าดู”

“หลังจากนี้หากเจ้าเจอครอบครัวหลี่ซาน พยายามอยู่ให้ห่างไว้หน่อยแล้วกัน ครอบครัวนั้นปากคอเราะราย พวกเขาจะได้ไม่หาเรื่องชี้หน้าก่นด่าเจ้าเอาได้” ซ่งจินซานกล่าว

ตอนที่ 52 ตั้งชื่อ

ซ่งอิงและซ่งสวินสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาทั้งสองคนล้วนปรากฏความละอายแก่ใจเล็กน้อยชั่ววูบ

ซ่งสวินหันหน้าหนีอย่างไม่ขอข้องเกี่ยว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

ถอนหมั้น? ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวหลี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา นอกจากเขาและน้องสาว ไม่มีผู้ใดรู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเรื่องราวที่ว่ามีโรคแต่ไม่ได้บอกกล่าวผู้อื่นเป็นเขาแพร่งพรายออกไป

ทว่าเรื่องประเภทนี้เขาก็เพิ่งกระทำเป็นครั้งแรกเช่นกัน จึงทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“ครอบครัวพวกเขามีสิทธิ์อะไรมาเกลียดชังพวกเรา ร่างกายหลี่จิ้นเป่าบุตรชายพวกเขามีปัญหาเอง แต่กลับต้องการกล่าวโทษอาอิงของพวกเราได้อย่างไรกัน! จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!” หร่วนซื่อไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วซ่งอิงเล่นงานหลี่จิ้นเป่า ดังนั้นจึงโกรธเคืองจริงจัง “ต่อให้อาอิงทุบตีเขาแล้วจริงๆ แต่คิดดูแล้วเรื่องเหล่านั้นที่เขากระทำไว้ ก็สาสมกับเขาแล้วมิใช่หรือ! หัวอาอิงยังมีแผลเป็นอยู่เลย หากไม่ใช่เพราะเขา เด็กแสบกลุ่มนั้นจะปาของใส่อาอิงได้อย่างไรกัน!”

นึกถึงสภาพของบุตรสาวที่ถูกแบกมาวันนั้น นางยังตระหนกตกใจอยู่เลย!

ซ่งจินซานถอนหายใจ “โชคดีที่อาอิงไม่เป็นอะไร”

“ตังเจีย เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีนิสัยก้าวร้าว ข้าเพียงแต่สงสารลูก…คนนอกผู้นั้นรังแกยาโถวก็ว่าแย่แล้ว แต่ทางด้านบ้านใหญ่นั่น…หลานต๋าอายุเพียงสิบขวบ เขาก็มิใช่ไม่รู้ความใช่หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะอาอิง พี่ชายเขาจะได้อาศัยอยู่ในตัวอำเภอหรือ จะได้แต่งกับแม่นางในตัวอำเภอหรือ ทุกวันนี้ได้รับผลประโยชน์ไปแล้วแท้ๆ กลับด่าทออาอิง…ใครเขาทำกันเช่นนี้…” หร่วนซื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง

คำพูดนี้ นางอดกลั้นไว้หลายวันแล้ว

เมื่อก่อนนางไม่ชอบมีเรื่องมีราว มีอะไรล้วนพยายามอดทนอดกลั้น ทว่าอดกลั้นนานวันเข้า กลับทำให้บุตรสาวถูกเอาเปรียบเสียมากมายเพียงนี้!

“ข้าจะพูดกับพี่ใหญ่ ให้เขาดูแลสั่งสอนลูกเขาให้ดีๆ” ซ่งจินซานกล่าวอย่างจริงจัง

โสมน้อยสดับรับฟังคนครอบครัวนี้พูดคุยกัน เต็มไปด้วยความรู้สึกมึนงงสับสน

เขาฟังเข้าใจว่า อาอิง ยาโถว หมายถึงเจ้าของแสงสว่างสีทองชั่วร้ายผู้นี้…

ความหมายของพวกเขาคือ คนชั่วร้ายถูกรังแกเช่นนั้นหรือ

เป็นไปมิได้กระมัง?

ทว่าบนใบหน้าของจอมชั่วร้ายนี้ก็มีรอยแผลเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่งอยู่ด้วยจริงๆ คงมิใช่ขีดข่วนตัวเองไปได้หรอก จะต้องเป็นฝีมือผู้อื่นแน่นอน…

ก็ไม่ได้เก่งกาจนักหนานี่!

ภูตโสมตวัดสายตาดูถูกใส่ซ่งอิงแวบหนึ่ง

ซ่งอิงเผยสีหน้าประหลาดใจ เขาเป็นแค่โสม พืชชนิดหนึ่ง ทำได้เพียงโกยเผ่นแน่บเมื่อจะถูกคนกิน แล้วยังมีหน้าส่งสายตาดูถูกกันด้วยหรือ

“ท่านพี่ ท่านตั้งชื่อให้เด็กน้อยนี่สักชื่อสิ ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าเขาจะต้องอาศัยอยู่บ้านพวกเราตลอดไปก็ได้ ไม่มีชื่อเรียกคงไม่เหมาะสมเท่าไร” ซ่งอิงมองซ่งสวินพลางกล่าว

“ให้ข้าตั้งชื่อ?” ซ่งสวินนิ่งอึ้ง “เขาเติบโตเพียงนี้แล้ว ไม่มีแม้แต่ชื่อหรือ”

“บอกว่ามีเพียงชื่อเล่น นามว่ามู่โถว[1]” ซ่งอิงกล่าวจบ ตัวนางเองรู้สึกหรรษานำไปก่อนแล้ว

ซ่งจินซานสองสามีภรรยาได้ยินดังกล่าว มองไปยังเด็กน้อยผิวขาวอมชมพูน่าเอ็นดูอีกครั้ง รู้สึกว่าน่าขันดีเหมือนกัน “เด็กนี่ดวงตาช่างดูมีไหวพริบจริงๆ เหมือนเจ้าทึ่มเสียที่ไหนกัน…”

ภูตโสมเม้มปาก

“หากเขากลับไปหาพ่อแม่แล้ว หากจะใช้ชื่อที่พวกเราตั้งให้ก็คงไม่ดีกระมัง?” ซ่งสวินกล่าวขึ้น

“ท่านพี่ เขาทำได้เพียงอยู่ที่บ้านพวกเราเป็นแน่แท้แล้ว ต่อให้กลับไป…ไม่แน่ว่าก็ต้องมาเล่นบ้านพวกเราอยู่บ่อยๆ มีสักชื่อหนึ่งก็สะดวกดี ชื่อของท่านมาจากน้ำ เช่นนั้นท่านก็ตั้งชื่อให้เขาจากไม้สักชื่อแล้วกัน หากภายภาคหน้าท่านพ่อท่านแม่ให้กำเนิดน้องชายน้องสาวแก่พวกเรา ก็ค่อยนำทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินมารวมๆ กันสิ้นเรื่อง!”

“เจ้าลูกคนนี้! พูดจาเหลวไหลอะไร?!” หร่วนซื่อหน้าแดงก่ำ

ซ่งสวินคลี่ยิ้ม “หากตั้งจากไม้ละก็…เช่นนั้นก็นามว่าน้องหลิน[2]แล้วกัน จำง่ายดี”

ถึงอย่างไรก็ดีกว่านามว่ามู่โถวละนะ

ภูตโสมได้ยินดังกล่าว พยักหน้าทันใด “ข้ามีชื่อ…คนแล้ว! ขอบคุณท่านป้า ขอบคุณพี่ใหญ่!”

“รู้ความจริงๆ!” หร่วนซื่อถูกอกถูกใจเด็กคนนี้มาก ซ่งอิงลอบกลอกตามองบนอย่างเอือมระอา

ภูตโสมตนหนึ่ง รู้จักประจบสอพลอไม่น้อยเลยนี่!

[1] มู่โถว (木头) หมายถึง ไม้ มีความหมายแฝงแง่ลบ คือ หัวทึบ

[2] หลิน (林) หมายถึง ป่าไม้