บทที่ 26 คำเชิญ
บทที่ 26 คำเชิญ
เมอร์เซเดส-เบนซ์หยุดนิ่งอยู่ด้านนอกประตูทิศใต้ของช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า
โจวอี้ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังไม่ได้ลงจากรถ เพราะตอนนี้หยางเฉิงโซได้ขอร้องเขาอยู่
“ผู้เฒ่าหยาง ขอบคุณสำหรับความเมตตา แต่ผมจะไม่ไปเหยียนจิง เพราะภรรยาและลูกของผมอยู่ที่จินหลิง ผมต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลพวกเขา” โจวอี้ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
“โจวอี้ ครอบครัวมีความสำคัญ แต่อาชีพก็ไม่สามารถละทิ้งไปได้เช่นกัน ตราบใดที่คุณไปเหยียนจิงกับผม คุณก็สามารถพาภรรยาและลูกไปด้วยได้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนเหยียนจิงยังเป็นลูกศิษย์ของผม ผมจะขอให้เขาจัดหาตำแหน่งให้คุณอย่างใจกว้างที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะพอใจในอาชีพแพทย์ของคุณ” หยางเฉิงโซพูดอย่างจริงจัง
“ผู้เฒ่าหยาง ผมคิดว่าคุณเข้าใจผมผิดแล้ว ผมไม่มีความทะเยอทะยาน ผมแค่ต้องการช่วยผู้คนให้พ้นจากความเจ็บป่วยเพื่อหาค่าครองชีพ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือครอบครัว” โจวอี้กล่าว
“แต่คุณมีทักษะทางการแพทย์ที่ดี การเป็นแพทย์แผนจีนที่ยอดเยี่ยมคือตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด” หยางเฉิงโซยังคงแนะนำ
“ทักษะการทำอาหารของผมก็ดีเช่นกัน แบบนั้นผมต้องไปเป็นพ่อครัวหรือไม่ นอกจากนี้ผมยังมีความสามารถในการเขียนพู่กัน การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพ ผมต้องไปเป็นศิลปินเหรอ? แม้ว่าผมจะร้องเพลงได้ดี ผมอยากเป็นดาราไหม?” โจวอี้ส่ายหัว และพูดต่ออีกว่า
“อาจารย์ของผมมักจะดุว่าอย่าโลภมาก จงดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ที่จริงแล้ว เธอพูดถูก ทั้งหมดที่ผมต้องการตอนนี้คือให้ภรรยาและลูกมีกินสวมใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่น และรู้สึกสบายตัว”
หยางเฉิงโซตัวสั่นด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของโจวอี้ เขาเข้าใจดีว่าโจวอี้ไม่เพียงไม่เต็มใจที่จะไปกับเขาเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดที่จะเป็นหมออีกด้วย
เสียดายความสามารถ!
เฉินเจียนหรงมองดูชายแก่และชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “โจวอี้ ในเมื่อคุณต้องการอาศัยอยู่ในจินหลิง ทำไมคุณไม่มาทำงานที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงล่ะ”
“ลูกสาวผมอายุแค่สี่ขวบครึ่ง ผมอยากเป็นพ่อที่คอยดูแลลูก!” โจวอี้กล่าว
“ผมสามารถให้คุณทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนได้ คุณไม่จำเป็นต้องไปทำงานตรงเวลาทุกวัน คุณใช้เวลาเพียงสองวันไปโรงพยาบาลทุกสัปดาห์เพื่อวินิจฉัย ถ้าโรงพยาบาลเจอเคสยาก ๆ คุณก็ค่อยออกมาช่วยวินิจฉัยและรักษาก็ได้ ว่าไง?” เฉินเจียนหรงกล่าวโดยใช้วาทศิลป์ และยังพบว่าคิ้วที่ขมวดของชายชราค่อย ๆ คลายลง
ที่ปรึกษาทางการแพทย์?
ไปที่ทำงานสัปดาห์ละสองครั้งเท่านั้น?
โจวอี้เงินล้านไม่ได้ขาดเงินในขณะนี้ เขาจึงไม่สนใจเกี่ยวกับอาชีพการรักษา
แต่สภาพการทำงานที่นั่นไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ?
แม้แต่พนักงานออฟฟิศในทีวีก็ไม่เคยได้ทำงานง่าย ๆ ยกเว้นจะเป็น ‘เมียน้อยของซีอีโอ’ ใช่ไหม?
หยางเฉิงโซสังเกตเห็นความตั้งใจของโจวอี้ จึงกล่าวเสริมทันที “โจวอี้ การได้ฝึกฝนลงมือทำเป็นสิ่งที่ดี การทำงานในโรงพยาบาลแบบนั้นคุณจะสามารถพบกับปัญหามากมายและแก้ปัญหาได้ การได้เป็นหมอเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่เหรอ? คุณคงไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวังหรอกใช่ไหม?”
โจวอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ก็ได้! ผมเห็นด้วย”
เขาไม่สนใจโรคที่ยุ่งยากและซับซ้อน และไม่ได้ต้องการที่จะแก้ปัญหาทางการแพทย์
เหตุผลที่เขาเห็นด้วยในตอนนี้ก็คือคำพูดสุดท้ายของหยางเฉิงโซ อาจารย์ของเขาได้สอนทักษะทางการแพทย์ให้เขา แต่ตอนนี้เขากลับยังไม่สามารถทำตามความมุ่งหวังของอาจารย์ได้
ครู่ต่อมา…
ขณะที่โจวอี้ลงจากรถและเดินเข้าไปในพื้นที่วิลล่าแล้ว เฉินเจียนหรงก็ยิ้มอย่างผู้ชนะและหันไปถามชายชรา “อาจารย์ ผมทำได้ดีไหม?”
“คุณน่าจะทำงานฝ่ายบุคคลนะ” หยางเฉิงโซยิ้ม
“ฮ่า ๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้ยินคำชมจากคุณ” เฉินเจียนหรงยิ้ม แล้วพูดต่ออีกว่า “แม้ว่าผมจะเป็นรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะส่งโจวอี้ไปที่โรงพยาบาลของเราและเป็นที่ปรึกษาทางการแพทย์ คุณต้องช่วยผม”
“ใครเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงที่คุณทำงานอยู่” หยางเฉิงโซถาม
“เหมิงเว่ย”
“ชื่อนี้…ค่อนข้างคุ้น! เขาเป็นลูกศิษย์ของอวี๋หงมินใช่ไหม?” หยางเฉิงโซถาม
“ถูกต้อง”
“พรุ่งนี้ผมจะโทรหาอวี๋หงมิน และขอให้เขาพาลูกศิษย์ไปกินข้าวด้วยกัน” หยางเฉิงโซกล่าว
“ดี ๆ!” เฉินเจียนหรงกล่าวด้วยความความตื่นเต้น…
ในฐานะลูกศิษย์ของหยางเฉิงโซผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน เขาไม่เคยได้รับผลกำไรในฐานะลูกศิษย์มาก่อน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
ว่ากันว่าเหมิงเหว่ยอาจย้ายออกไปแล้ว ดังนั้นตำแหน่งผู้อำนวยการโรงบาลแห่งนั้นก็น่าจะว่างอยู่
อย่างไรก็ตาม รองผู้อำนวยการของพวกเขาแต่ละคนก็ล้วนกระตือรือร้นที่จะเข้ารับตำแหน่งนั้นแทน
หากปราศจากความช่วยเหลือจากอาจารย์ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะรับตำแหน่งผู้อำนวยการเช่นกัน…
แต่ถ้าอาจารย์สามารถช่วยเขาให้ได้รับการสนับสนุนจากอวี๋หงมินและ เมิ่งเหว่ยตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงก็แทบจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเขา
โจวอี้ พ่อดาวนำโชคของฉัน!
คราวนี้แหละฉันจะได้หลุดพ้นจากคำว่าไม่เจริญก้าวหน้าสักที!
โจวอี้กลับบ้านไปชาร์จโทรศัพท์มือถือที่ดับไปแล้วอีกครั้ง จากนั้นก็ไปอาบน้ำให้สบายตัว และปีนขึ้นเตียงเพื่อเข้านอน
เขานอนหลับสนิท…
รุ่งเช้า ข้างนอกยังคงมืดอยู่ แต่เขาตื่นขึ้นจากการนอนหลับเมื่อนาฬิกาชีวิตของเขายังคงทำงานตรงเวลาเช่นเดิม
เพียงแค่ล้างหน้า เปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายสีดำ และออกไปวิ่งบนทางเท้าภายในบริเวณวิลล่า หากเจอเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยระหว่างทางก็จะทักทายหรือหยุดคุยกัน
สิบเอ็ดโมงแล้ว!
หลังจากอาบน้ำ โจวอี้ก็ทำอาหารเช้าในห้องครัวโดยสวมผ้ากันเปื้อน
ในขณะที่วิลล่าข้าง ๆ
ถังหว่านออกมาจากห้องนอนและกำลังอารมณ์เสีย
เธอนอนไม่หลับ และเมื่อคิดว่าโจวอี้นอนอยู่บ้านข้าง ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกสับสน
“พี่เหม่ย ไม่ได้ทำอาหารเช้าเหรอ?” ถังหว่านถาม
“ฉันพบคุณโจวอี้ตอนที่ฉันออกไปซื้อผักเมื่อเช้า เขาบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องทำอาหารเช้าให้คุณ ถ้าคุณตื่นแล้วให้ไปทานอาหารเช้ากับเขาได้เลย”
เหม่ยหลานตอบขณะลุกขึ้นจากโซฟา
“นี่เขาป่วยหรือเปล่า ใครจะอยากไปทานอาหารที่บ้านเขากัน?!” ถังหว่านโกรธเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าเหม่ยหลานจะเชื่อฟังโจวอี้ขนาดนี้ “พี่เหม่ย คราวหน้าอย่าไปสนใจเขาเลย”
เหม่ยหลานพยักหน้า แต่เธอก็ถอนหายใจ…
เธอพบว่าถังหว่านและโจวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ดีนัก เห็นได้ชัดว่าถังหว่านไม่ต้องการที่จะพบหน้าโจวอี้
สถานการณ์เช่นนี้ หากเธอต้องการทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในวิลล่าสองหลังนี้ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผล
“เฮ้อ ทำไมฉันไม่ทำอาหารเช้าไว้นะ”
“ช่างเถอะ พี่เหม่ยไปส่งเหมียวเหมี่ยวให้ไปที่นั่นก็ได้” ถังหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “บอกเขาด้วยว่าหลังจากเหมียวเหมี่ยวกินเสร็จแล้ว ให้เขาไปส่งเหมียวเหมี่ยวที่โรงเรียนด้วย”
“ไม่มีปัญหา” เหม่ยหลานพยักหน้าและถามว่า “แล้วอาหารเช้าของคุณจะทำยังไง?”
“ตอนนี้ฉันไม่หิว เดี๋ยวไปหาอะไรกินที่บริษัท” ถังหว่านตอบ
อัลบั้มใหม่ของเธอกำลังจะออกในเร็ว ๆ นี้ ว่ากันว่าบริษัทได้รวบรวมเพลงบางเพลงไว้ให้เธอ วันนี้จึงต้องไปเลือกเพลงและอัดเสียง
คาดว่าวันนี้เธอคงจะยุ่งมาก