ตอนที่ 1-1
[เล่มที่ 2]
เฉียวเวยตะลึงงัน นางคาดไม่ถึงเลยว่า หมอเทวดาที่ชางจิวบอกว่าสามารถชุบชีวิตคนได้นั้นก็คือบิดาของนางนี่เอง!
โดยหลักการแล้วดูเหมือนจะอธิบายได้ เพราะถึงอย่างไรนอกจากบิดาของนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีวิชาการแพทย์ล้ำเลิศกว่านางอีก
หากดูจากข้อสงสัยก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งอธิบายได้เข้าไปใหญ่ นางสงสัยแต่แรกแล้วว่าที่บิดามารดานางไม่ได้อยู่ที่เมืองเยี่ยเหลียงก็เพราะมาอยู่ที่เมืองเหนือยอดเมฆนี่ ดูเข้า ตนเดาถูกแล้วนี่ไง!
“ท่านพ่อ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงก็อยากถามเฉียวเวยเหมือนกัน “เจ้ามาได้อย่างไร หมิงซิวก็มาด้วยหรือ จอมยุทธเยี่ยน จอมยุทธไห่”
เป็นที่แน่ชัดว่าเฉียวเจิงเห็นคณะของจีหมิงซิวแล้ว จีหมิงซิวเลยอมยิ้มพลางเรียกขานว่าท่านพ่อ เขายังดูดีใจ แต่พอสายตาเหลือบมองราชันอสูร รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางลง “เขาเป็นใครกัน”
ราชันอสูร “โฮ่ง!”
ท่านพ่อเฉียวถูกเสียงคำรามใส่หน้าจนชะงักงันไป เดิมทีอยากถามว่าแม่ทัพน้อยมู่เป็นใคร ครานี้เลยตะลึงค้างจนถามไม่ออก
เฉียวเวยจับมือเขาไป “ท่านพ่อ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด!”
เฉียวเจิงพยักหน้า “ก็ดี อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หน้าประตูหาใช่ที่พูดคุยไม่” เฉียวเจิงพูดพลางพลิกมือกลับมาจับบุตรสาว แล้วเดินนำนางเข้าไปในห้อง
จีหมิงซิวก็เดินตามเข้าไปด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานเร่งฝีเท้าตามเข้าไป
ทิ้งไว้เพียงชางจิวที่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก เขามองตามพ่อลูกเดินจูงมือกันเข้าไปแล้วพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
เวลานี้เฉียวเวยไม่มีเวลามาสนใจชางจิว หลังตามบิดาตนเข้ามาข้างในแล้ว นางก็ถามถึงความเป็นมาเป็นไปของบิดากับมารดานางทันที
ในห้องจุดถ่านเอาไว้ ถือว่าอบอุ่นอยู่บ้าง เฉียวเจิงให้พวกเขานั่งลงแล้วชงชามาให้ จากนั้นตนก็ประคองบุตรสาวนั่งลง แต่ก็ไม่รีบร้อนจะเล่าเรื่องเฮ่อหลันชิงให้ฟัง แต่พอมองหน้าบุตรสาวก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นในใจ “นี่เพิ่งกี่เดือนกัน เจ้าผ่ายผอมลงไปโขทีเดียว”
“ข้าผอมลงหรือ” เฉียวเวยลูบหน้า ไม่เห็นรู้สึกเลย แต่ในใจนางอุ่นวาบ ถึงอย่างไรมีเพียงตอนที่ท่านแม่นางไม่อยู่เท่านั้น ท่านพ่อนางถึงจะตั้งใจสังเกตนางจริงๆ!
เฉียวเจิงถลึงตามองจีหมิงซิว “เจ้าดูแลบุตรสาวข้าอย่างไร บุตรสาวข้าผ่ายผอมถึงเพียงนี้แล้วเจ้ายัง…”
เฉียวเจิงคิดบอกพูดว่าอ้วนท้วน แต่พอได้เห็นใบหน้าจีหมิงซิวที่ดูจะซูบตอบลงไปยิ่งกว่า ทำอย่างไรก็พูดต่อไม่ออก
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวอยู่ด้วยกันทุกวัน ย่อมไม่สังเกตเห็น แต่เฉียวเจิงจำตอนที่พวกเขาสองคนออกเดินทางได้ พอมาเทียบกับตอนนี้ ความต่างจึงมีให้เห็น เขามองจีหมิงซิว แล้วหันไปมองบุตรสาวอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าบุตรสาวของตนดูแลจีหมิงซิวไม่ดี
จีหมิงซิวตอบอย่างว่าง่ายว่า “เป็นข้าที่ละเลยเอง ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงแล้ว วันหน้าข้าจะระวังให้มาก”
“อะแฮ่ม” เฉียวเจิงกระแอมเบาๆ “เจ้า…เจ้ารู้ตัวก็ดี”
“ขอรับ” จีหมิงซิวยิ้มบางๆ
เฉียวเวยเริ่มทนไม่ไหว รีบเข้ามาแทรกกลาง นางแนะนำแม่ทัพน้อยมู่ให้ท่านพ่อรู้จัก ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนจากจวนเทพสงคราม บอกเพียงว่าเขาคือสหายของตนกับจีหมิงซิว ชื่อคุณชายมู่
มู่เจิงเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท แม่ทัพน้อยมู่ใส่หมวกปิดหน้าอยู่ ชายผ้าของหมวกยาวลงมาต่ำเกินไป เฉียวเจิงเลยไม่ได้ตั้งใจมองหน้าอีกฝ่าย แต่แม่ทัพน้อยมู่แขนขวาแข็งเกร็ง ซึ่งทำให้เฉียวเจิงนั่งไม่ติดขึ้นมาทันที
อยู่ๆ แม่ทัพน้อยมู่ก็ลุกขึ้นยืน “ในห้องออกจะร้อน ข้าขอออกไปเดินเล่นก่อน”
ประโยคที่เฉียวเจิงกำลังจะบอกว่า “ข้าช่วยดูให้” จึงค้างอยู่ในลำคอ
แม่ทัพน้อยมู่ออกไปแล้ว
เฉียวเจิงถามถึงจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู “ตามหาพวกเขาเจอหรือยัง”
เฉียวเวยพยักหน้า “หาเจอแล้ว ไปเจอวั่งซูที่เมืองผู่ก่อน แล้วถึงได้เจอจิ่งอวิ๋นที่เมืองซยงหนีว์”
“เจอจิ่งอวิ๋นทีหลังหรอกหรือ จิ่งอวิ๋นเขา…” เฉียวเจิงไม่ได้พูดต่อ กระทั่งคนเป็นตาอย่างเขายังดูออกว่าเด็กคนนั้นจิตใจอ่อนไหว หากช่วยน้องสาวได้ก่อน เขาจะคิดว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขาหรือไม่
เฉียวเวยเล่าเรื่องระหว่างทางให้เฉียวเจิงฟังโดยละเอียด เฉียวเจิงได้ฟังยังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ เฉียวเวยจึงเอ่ยต่อว่า “ผ่านไปหมดแล้ว ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนถูกลักพาตัว จิ่งอวิ๋นก็ยังสบายดี ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”
เวลานี้เฉียวเจิงไม่ได้คิดเรื่องเป็นห่วงไม่เป็นห่วง แต่เขาปวดใจยิ่งนัก บอกไม่ถูกว่าปวดใจให้ใครมากกว่ากัน ต่อให้วั่งซูไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวกว่า ไม่รู้กระทั่งว่าตนถูกลักพาตัว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแก้วตาดวงใจของเขา เขาสงสารนางก็เหมือนกับที่เขาสงสารจิ่งอวิ๋น
อีกอย่าง วั่งซูยังเป็นเด็กหญิง
ความรู้สึกกลัวบางอย่างที่ทำให้คนเป็นตาอย่างเขานึกกลัวยิ่งนัก
วั่งซูตัวน้อยของเขาต้องกลัวมากเป็นแน่
พอคิดว่าเด็กตัวเล็กเพียงนั้นถูกลักพาตัวไปตอนหลับ ตื่นมาบิดามารดาก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว ความรู้สึกตื่นกลัวนั่น น่ากลัวว่าคงไม่ใช่ความรู้สึกที่คนเป็นผู้ใหญ่อย่างพวกเขาจะจินตาการได้
เขาย้อนนึกถึงบุตรสาวของตน นางก็ตื่นมาแล้วไม่พบบิดามารดาของตนเช่นกัน นางในตอนนั้น…ก็เคยนึกหวั่นใจเช่นกันใช่หรือไม่
เฉียวเจิงจับมือบุตรสาวไว้ ยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้น
เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนเล่าเสียน้ำไหลไฟดับนั้น ทำให้บิดาของตนเสียใจยิ่งนัก พอเห็นบิดานิ่งเงียบไม่พูดอะไร นางก็ถามด้วยความร้อนใจเล็กน้อยว่า “ท่านพ่อ อย่ามัวแต่ให้ข้าเล่าเลย ท่านกับท่านแม่เล่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านแม่ข้าล่ะ เหตุใดถึงไม่เห็นนางเลย”
พอเอ่ยถึงเฮ่อหลันชิง เฉียวเจิงก็ถอนหายใจช้าๆ “เฮ่อ ข้าก็กำลังตามหานางอยู่เช่นกัน”
เฉียวเวยตกใจใหญ่ “ท่านไม่ได้มาที่นี่พร้อมกับท่านแม่หรือ”
เฉียวเจิงเอ่ยตัดพ้อว่า “เดิมทีก็มาด้วยกัน แต่ตอนหลังคลาดกันไป”
“คลาดกันได้อย่างไร” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงเล่าว่า “คืนที่พวกเราออกจากเมืองหลวงนั้น พวกเราแยกกันไปจัดการไม่ใช่หรือ ที่ข้ากับท่านแม่เจ้าไล่ตามคนกลุ่มนั้นไปนั้นไปทางน้ำ พวกเขาก็ไปทางน้ำด้วย เดิมทีใกล้จะตามทันแล้ว แต่ข้าเกิดล้มป่วย กว่าข้าจะหายดีแล้วตามท่านแม่เจ้าไปอีกครั้ง คนพวกนั้นก็ออกจากต้าเหลียงไปแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ไปสามเมืองทางเหนือ พวกเขาน่าจะรู้ตัวว่าพวกเรากำลังสะกดรอยตามพวกเขาอยู่ เลยเดินทางอ้อมไปมา แล้วเข้าซยงหนีว์ไปทางตงจิ้น
พวกเราไม่มีหนังสือเดินทางเข้าตงจิ้น แม่เจ้าคิดจะใช้กำลัง แต่ข้าห้ามนางไว้ ข้าปลอมแปลงหนังสือเข้าเมืองใช้เวลาไปหลายวัน จึงเสียเวลาไปอีก แต่ยังดีที่ท่านแม่เจ้าเก่งกาจ สุดท้ายก็ตามพวกเขาจนทัน ตอนนั้นพวกเราออกจากซยงหนีว์ไปเข้าเมืองเล็กๆ อีกเมืองหนึ่งแล้ว”
“คงไม่ใช่เมืองหลงเฟิ่งกระมัง” เมืองแรกที่เฉียวเวยเจอหลังจากเข้าซยงหนีว์ก็คือเมืองหลงเฟิ่ง พอได้ยินเฉียวเจิงกล่าวเช่นนี้ ชื่อเมืองนั้นจึงขึ้นมาในสมองทันที
เฉียวเจิงส่ายหน้า “เมืองอะไรแน่ๆ นั้นข้าลืมไปแล้ว แต่ไม่ใช่เมืองหลงเฟิ่ง พวกเขาพูดกันแต่ภาษาเยี่ยหลัว ข้าฟังไม่เข้าใจ ต้องท่านแม่เจ้าถึงจะเข้าใจ ท่านแม่เจ้าจึงไปถามทางอยู่คนเดียว หลังจากเดินทางต่ออีกหลายวัน คนพวกนั้นก็เดินทางทางน้ำอีก พวกเราซื้อเรือลำหนึ่งตามไป ครั้งนี้นับว่าสกัดกั้นพวกเขาได้เสียที แต่จู่ๆ ในแม่น้ำก็เกิดน้ำหลาก เรือทั้งสองลำถูกพัดจม ข้ากับท่านแม่เจ้าเลยถูกกระแสน้ำพัดจนคลาดกันไปในตอนนั้น”
ครั้งก่อนเป็นน้ำท่วม ครั้งนี้ก็น้ำท่วมอีก เฉียวเจิงรู้สึกว่าสวรรค์เล่นตลกกับนางเก่งเกินไปแล้ว!
เฉียวเวยเอ่ยปลอบว่า “ท่านพ่อท่านไม่ต้องกังวล ท่านแม่ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
คนอ่อนแอเช่นท่านยังไม่เป็นอะไร ท่านแม่วรยุทธ์กล้าแกร่ง แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางเป็นอะไร
เฉียวเจิงก็ไม่คิดว่าเฮ่อหลันชิงจะเป็นอะไรเช่นกัน เขาคิดถึงในอดีตที่วรยุทธ์ของนางยังไม่ได้ถึงครึ่งของตอนนี้ ยังรอดมาได้ตอนถูกกระแสน้ำพัด เวลานี้ย่อมพาตัวเองออกมาจากภัยอันตรายได้แน่นอน สรุปก็คือเขาไม่ยอมรับว่าตนอ่อนแอก็แล้วกัน
เฉียวเวยถามต่อว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ถูกกระแสน้ำพัดไปหรอกหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่เมืองเหนือยอดเมฆนี้ได้”
เฉียวเจิงบอกว่า “เจ้าหมายถึงเมืองอวิ๋นจงน่ะหรือ”
“นี่เรียกเมืองอวิ๋นจงหรือ” เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ
เฉียวเวยบอกว่า “ใช่น่ะสิ เรียกว่าเมืองอวิ๋นจง วันนั้นพอข้าถูกน้ำพัดไปแล้ว จำได้ลางๆ ว่าท่านแม่เจ้าโยนขอนไม้มาให้ข้าอันหนึ่ง ข้ากอดขอนไม้นั้นลอยไปเรื่อยๆ ลอยไปลอยมาก็สลบไป ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ริมหนองน้ำแล้ว ข้างหนองน้ำยังมีใครอีกคนหนึ่งอยู่ เขาถูกงูพิษกัดจนเป็นแผล…”
“อากาศเย็นเพียงนี้ยังมีงูพิษอีกหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดสอดขึ้นอย่างทนไม่ไหว
เฉียวเจิงอธิบายว่า “เดิมทีก็ไม่มีหรอก แต่เขาขึ้นมาเด็ดสมุนไพร เด็ดไปเด็ดมาไปเจองูพิษเข้า เลยเอาใส่ไว้ในตะกร้า ในตะกร้ามีถุงน้ำร้อนอยู่พอดี เลยให้ความอบอุ่นจนงูพิษตัวนั้นตื่น งูพิษเลื้อยออกมาถึงได้มากัดเขาเข้า”
“หลังจากนั้นเล่า” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยอารมณ์เศร้าหมอง “หลังจากนั้นข้าก็รักษาพิษให้เขา เขาเห็นข้าฝีมือการแพทย์ไม่เลว ซ้ำยังไม่มีบ้านให้กลับ จึงพาข้ากลับมาด้วย โรงหมอแห่งนี้เขาก็เป็นคนเปิด ข้าได้ยินพวกเขาพูดคุยกันเป็นภาษาเยี่ยหลัวตลอด เลยเดาว่าตัวเองน่าจะมาถึงเยี่ยหลัวแล้ว ข้ากับท่านแม่เจ้าล้วนมีจุดหมายอยู่ที่เยี่ยหลัว หากนางหาแถวนั้นแล้วไม่เจอข้า จะต้องรู้ว่าข้ามาที่นี่แล้วแน่ ข้าเลยคิดจะให้ชื่อเสียงของตนแพร่ออกไป พอนางได้ยินว่าที่ใดมีหมอเทวดา นางจะต้องเดาได้แน่ว่าเป็นข้า”
ช่างใจตรงกันเหลือเกิน พอนางได้ยินว่ามีหมอเทวดา แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นบิดาของนาง
เฉียวเวยถามต่อว่า “ท่านมาถึงนานเท่าไรแล้ว”
เฉียวเจิงบอกว่า “ครึ่งเดือนได้แล้ว”
ท่านพ่อท่านแม่นางต้องเดินทางอ้อม แต่กระนั้นก็ยังมาถึงเร็วกว่าพวกนาง เฉียวเวยเลยยิ่งสงสัยว่าผ่านมาตั้งนานเพียงนี้แล้ว เหตุใดท่านแม่นางยังตามหาเมืองอวิ๋นจงไม่เจออีก ท่านแม่นางต้องใช้สมองก็มีสมอง ต้องใช้วรยุทธ์ก็มีวรยุทธ์ จะเกิดเรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้ หลงทางก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ หรือว่านางติดพันเรื่องอะไรอยู่
ไม่ว่าอย่างไรการได้ยินข่าวของทั้งสอง เฉียวเวยก็รู้สึกยินดียิ่ง นางตามหาบิดาของนางเจอแล้ว เชื่อว่าไม่นานก็จะหาท่านแม่นางเจอ
“ท่านพ่อ” จีหมิงซิวที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น “เมื่อครู่ตอนพวกเราเดินทางมา พบว่าในเมืองไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน”
เดิมทีคิดว่าเป็นเมืองร้าง แต่ฟังจากสิ่งที่เฉียวเจิงเล่า โรงหมอแห่งนี้มีคนเป็นๆ อาศัยอยู่ ส่วนเฉียวเจิงตรวจรักษามานานเพียงนี้ ก็น่าจะเจอคนเป็นๆ อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เฉียวเจิงร้องอ้อคำหนึ่ง “วันนี้เป็นวันที่สามของเดือน พวกเขาไปขอพรที่แท่นบูชากันหมดน่ะ”
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “ขอพรอะไรถึงต้องไปกันหมดเมืองเช่นนี้”
เฉียวเจิงนิ่งไป “ข้าก็ไม่ค่อยรู้ รู้แต่ว่าพวกเขามีลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่ ทุกวันที่สามของเดือน พวกเขาจะไปที่แท่นบูชากลางเมืองเพื่อทำพิธีขอพร หากไม่ใช่คนที่ลงจากเตียงไม่ไหว โดยปกติก็จะไปกันทั้งสิ้น”
เฉียวเวยคิดถึงประตูเมืองที่เปิดอ้ากว้างแล้วเบ้ปาก “ไปแล้วไม่ปิดประตูหน่อยหรือ”
เฉียวเจิงตอบยิ้มๆ “ในเมืองอวิ๋นจงไม่มีขโมยขโจร แล้วก็ไม่มีพวกโจรป่าด้วย”
เฉียวเวยเลิกคิ้วพร้อมร้องว้าว “เมืองคนดีนี่เอง”
“หึหึหึหึ…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะออกมาอย่างน่าตี “นายน้อย ท่านควรเรียนรู้คนเขาหน่อยนะว่าเขาเป็นขุนนางกันอย่างไร ท่านลองคิดดูสิท่านเป็นอัครเสนาบดีมานานกี่ปีแล้ว ขโจรขโมยในต้าเหลียงน่ะ เหตใดยังมากมายไม่หมดไม่สิ้นอยู่น่ะ”
จีหมิงซิวสะบัดสายตาไปให้เขา
เฉียวเจิงเอ่ยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยว่า “จอมยุทธ์เยี่ยนเข้าใจผิดแล้ว เมืองอวิ๋นจงไม่มีจวนขุนนางหรอก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดาะลิ้น “อะไรนะ ไม่มีจวนขุนนาง กองทัพเล่า”
“ก็ไม่มี” เฉียวเจิงบอก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ่งเดาะลิ้นดังกว่าเดิม “เช่นนั้น เมืองตั้งใหญ่เพียงนี้ ผู้ใดเป็นผู้ควบุคมดูแลหรือ”
เฉียวเจิงบอกว่า “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใคร่รู้จนดึงเก้าอี้ไปนั่งลงตรงข้ามเฉียวเจิง แล้วเริ่มซักถามเฉียวเจิงไม่หยุดปาก
เฉียวเวยจิ้มแขนสามีของตนเบาๆ ถามเสียงต่ำว่า “พอจะนึกถึงตำหนักธิดาเทพขึ้นมาหรือไม่”
จีหมิงซิวจับนิ้วที่ซุกซนของนางไว้ “อืม”
ที่ฮองเฮาควบคุมตำหนักธิดาเทพเพื่อให้ได้ควบคุบชนเผ่าถ่าน่าอีกทีนั่น ก็ใช้กลวิธีเดียวกันนี้ เพียงแต่ถึงอย่างไรชนเผ่าถ่าน่าก็ยังมีราชวงศ์เฮ่อหลันอยู่ ตำหนักธิดาเทพจึงไม่อาจคุมชะตาฟ้าด้วยมือเดียวได้ง่ายเพียงนั้น
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบาว่า “หากกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นนางปีศาจเฒ่านั่นแปดส่วนคงเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์นั่น?”
จีหมิงซิวลูบปลายนิ้วเรียวของนางเบาๆ “คงไม่หนีจากนี้มากนัก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำลังคุยกับเฉียวเจิง เฉียวเวยกำลังคุยกับจีหมิงซิว แม่ทัพน้อยมู่ออกไปข้างนอก เหลือแค่ไห่สือซานที่ไม่รู้จะสอดแทรกเข้าไปตรงใด กับราชันอสูรที่ไม่คิดอยากสอดแทรก ยืนกอดอกเหม่อลอย แผ่ไอดุดันออกมาทั่วตัว